โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder : ADHD)

โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder : ADHD)

เป็นโรคทางสมองชนิดหนึ่งที่พบได้ในเด็กวัยเรียน มีสาเหตุจากความบกพร่องของสารเคมีในสมองที่ใช้ในการควบคุมสมาธิ มักแสดงอาการในช่วงวัย 4-5 ขวบขึ้นไป อาการสามารถพบได้ทั้งปัญหาการเรียน เช่น ไม่มีสมาธิในการเรียน ทำงานไม่เสร็จ จดการบ้านไม่ทัน หรือปัญหาทางพฤติกรรม เช่น เล่นรุนแรงโลดโผน พูดแทรกผู้ใหญ่บ่อย ๆ หุนหันพันแล่น ทั้งนี้ผู้ใหญ่หลายคนมักเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กเรียนไม่เก่งหรือเป็นเด็กซนตามวัย ซึ่งเมื่ออาการเหล่านี้ไม่ได้รับการรักษาจะทำให้เกิดเป็นปัญหาในหลาย ๆ ด้านต่อมาโดยเฉพาะปัญหาครอบครัวเมื่อผู้ป่วยเข้าสู่วัยรุ่น                                           

ดังนั้นโรคสมาธิสั้นไม่ใช่โรคใหม่แต่อย่างใด แต่ในปัจจุบันมีการพูดถึงโรคสมาธิสั้นมากขึ้นเนื่องจาก ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ดีขึ้น และมีเกณฑ์การวินิจฉัยโรคที่ชัดเจนมากขึ้น

  • โรคสมาธิสั้นพบได้บ่อยถึงร้อยละ 8-12 ในเด็กวัยเรียน  มักพบในเด็กผู้ชาย  อาการแสดงประกอบด้วย 3 อาการหลัก ได้แก่

1.อาการขาดสมาธิ (Inattention) เช่น วอกแวกง่าย เหม่อลอย ทำงานไม่เสร็จ ขี้ลืม

2.อาการซน/ หุนหันพันแล่น  (Hyperactivity/Impulsivity)  เช่น อยู่ไม่นิ่ง  ซน  ยุกยิก มืออยู่ไม่สุก  อยู่นิ่งไม่ได้  ต้องขยับตลอด นั่งไม่ติดที่ชอบเดินไปมา  พูดเก่ง  พูดไม่หยุด  รอคอยอะไรไม่ได้ คิดอะไรจะทำทันที

3.เป็นทั้งสองอย่างควบคู่กัน (Combine Type)

การวินิจฉัยทำได้อย่างไร

-โรคสมาธิสั้นสามารถวินิจฉัยได้ง่าย เพียงแค่พามาตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การวินิจฉัยโดยอาศัยประวัติและอาการทางคลินิก ไม่จำเป็นต้องใช้การตรวจอื่น ๆ ที่ยุ่งยาก อาจมีการขอประวัติจากทางโรงเรียนเพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย นอกจากนี้อาจต้องส่งตรวจประเมินระดับสติปัญญา (IQ test) หรือส่งประเมินทักษะการอ่าน-เขียน-คำนวณเพิ่มเติมในแต่ละรายไป

-นอกจากโรคสมาธิสั้นแล้ว โรคอื่น ๆ ที่สามารถพบร่วมกัน ได้แก่โรคปัญหาการเรียนรู้บกพร่อง (Learning Disorder : LD) และโรคดื้อต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder : ODD) ซึ่งทำให้โรคสมาธิสั้นมีความรุนแรงมากขึ้น จำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาควบคู่กันไป

 

 

การรักษาโรคสมาธิสั้น

 เด็กสมาธิสั้นทุกคนจำเป็นต้องกินยาหรือไม่

-การรักษาสมาธิสั้นโดยทั่วไปแพทย์จะให้คำปรึกษากับพ่อแม่ในการปรับพฤติกรรมเบื้องต้นก่อนที่จะเริ่มใช้ยา พ่อแม่สามารถเริ่มปรับพฤติกรรมโดยให้คำชมเวลาที่เด็กมีพฤติกรรมดี สามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้ นอกจากนี้การทำข้อตกลงกับเด็กก่อนจะทำให้เด็กสามารถควบคุมพฤติกรรมได้ดีขึ้น

-เมื่อแพทย์ได้ประเมินเด็กอย่างละเอียด  และเห็นว่ายามีความจำเป็น เช่น ในกรณีที่เด็กไม่ร่วมมือในการปรับพฤติกรรม แพทย์จะให้คำแนะนำถึงประโยชน์และผลข้างเคียงจากการใช้ยาร่วมกับการติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอเพื่อวางแผนในการใช้ยารักษาสทาธิสั้นอย่างครอบคลุม

ยาสมาธิสั้นมีประโยชน์และผลข้างเคียงอย่างไร

  • ยาสมาธิสั้นมีประโยชน์อย่างมากในการควบคุมสมาธิและลดปัญหาพฤติกรรมในห้องเรียนนำมาสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่ดีขึ้น โดยที่ยาไม่ได้ไป “กด” สมองแต่อย่างใด ยาจะช่วยให้สมองทำงานอย่างเป็นระบบมากขึ้น
  • ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะกลัวผลข้างเคียงของยา เช่น เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ ปวดท้อง ซึ่งผลข้างเคียงนี้สามารถเกิดได้ในเด็กบางรายและเกิดจากยาบางชนิดเท่านั้น นอกจากนี้ผลข้างเคียงจากยาจะค่อย ๆ หายไปเองเมื่อเด็กรับประทานยาติดต่อกันไปสักระยะหนึ่ง
  • ทั้งนี้แพทย์จะใช้ยาควบคู่กับการปรับพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง เมื่อแพทย์เห็นว่าเด็กมีอาการดีขึ้นจะค่อย ๆ ลดขนาดยาลงจนสามารถหยุดยาได้

 

 

 

 

<