ถอดจากการสัมภาษณ์ ในรายการ Happy&Healthy ช่วง Health Talk FM.102 ทุกวันเสาร์ 09.00 -10.00 น. โรคมะเร็งตับ
มะเร็งตับ คืออะไร และ เป็นมากในผู้หญิงหรือผู้ชาย
ในส่วนของมะเร็งตับจะแบ่งได้ 2 แบบ คือ
1. มะเร็งแบบปฐมภูมิ เป็นมะเร็งที่เกิดจากเนื้อตับหรือท่อน้ำดีในตับ
2. มะเร็งแบบทุติยภูมิ เป็นมะเร็งที่แพร่กระจายจากบริเวณอื่นๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม ที่มีการแพร่กระจายมาที่ตับ
มะเร็งตับชนิดปฐมภูมิจะพบบ่อยเป็นอันดับ 5 ของมะเร็งทั่วโลกถ้าในประเทศไทยปัจจุบันจากข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ จะพบว่าเป็นมะเร็งอันดับ 1 ในเพศชาย และ เป็นอันดับ 2 ในเพศหญิง ปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นในแบบปฐมภูมิมากกว่า แต่แบบแพร่กระจายจะเป็นได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งชนิดอื่นๆในระยะไหน ถ้าเป็นในระยะที่ 4 ส่วนใหญ่จะพบแพร่กระจายมาที่ตับค่อนข้างเยอะเช่น มะเร็งตับทุติยภูมิ
สาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ
สาเหตุจะขึ้นอยู่กับภูมิภาค ของทางเอเชีย หรือ ประเทศไทย ส่วนมากจะเป็นเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งการติดเชื้อจะเป็นเรื้อรัง และ สาเหตุสำคัญจะเป็นการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก โดยพบว่าเป็นสาเหตุ 60 % ของมะเร็งตับในคนไทย ซึ่งสถิติคนไทยมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีประมาณถึง 6,000,000 ราย ผลของการติดเชื้อจากไวรัสตับอักเสบบี จะทำให้มีการอักเสบของเนื้อตับเรื้อรังเกิดพังผืดเป็นตับแข็ง และกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด พาหะในความหมายของทางการแพทย์ คือ มีไวรัสอยู่ในระดับต่ำอยู่ แต่ไม่มีอาการแสดงของตัวโรค แต่มีโอกาสที่จะติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ แต่พาหะของไวรัสตับอักเสบบีในประเทศไทย คนที่เป็นพาหะส่วนใหญ่จะมีเชื้ออยู่ในร่างกาย แต่เป็นระยะสงบของตัวโรคก็เลยทำให้เข้าใจว่าพาหะไม่เกิดโรค แต่ถ้าวันหนึ่งมีอาการร่างกายอ่อนแอลง ไวรัสที่ซ่อนอยู่ในเซลล์ตับก็มีโอกาสที่จะเพิ่มจำนวน ทำให้เกิดโรคตามมาได้ ซึ่งหลักๆวิธีที่จะป้องกันได้ คือการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และการตรวจคัดกรองในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง และท้ายสุดถ้าตรวจเจอว่ามีโรค การให้ยาต้านไวรัสตับอักเสบบี สามารถที่จะช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งตับได้
การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีต้องฉีดกระตุ้นทุกกี่ปี
ถ้าเป็นเด็กยุคใหม่เด็กแรกเกิดในประเทศไทย จะมีการฉีดวัคซีนให้ตั้งแต่แรกเกิด จะเป็นการฉีดแบบครอบคลุม 100 % ถ้ากรณีไปตรวจแล้วภูมิไม่ขึ้น แต่ฉีดผ่านไปแล้วหลายปีแต่ไม่มีภูมิขึ้น จำเป็นต้องฉีดกระตุ้นหรือไม่ จะมีวิธีการฉีดกระตุ้นที่สามารถช่วยกระตุ้นภูมิได้ ไม่จำเป็นต้องฉีดทุกปี ฉีดกระตุ้นแค่ครั้งเดียวพอ แต่จะมีข้อยกเว้นกรณีเดียว คือ วัคซีนที่เคยฉีดกระตุ้นได้ผลแล้วอาจจะไม่ได้ผล คือ ในกลุ่มผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ได้ยาสเตียรอยด์ กลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง กลุ่มผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ที่มีเม็ดเลือดขาวในตัวต่ำ (CD4) มากๆ จะทำให้ภูมิคุ้มกันที่เคยมีลดลงได้ นอกจากไวรัสตับอักเสบบี อีกหนึ่งตัวก็คือ ไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งจะเจอบ่อยในแถบฝั่งตะวันตก แต่ในประเทศไทยจะมีอยู่ประมาณ 10-20% คนที่มีความเสี่ยงจะเป็นผู้ที่ใช้ยาเสพติดที่ฉีดเข้าเส้น กลุ่มพวกสักลายที่มีการใช้เข็มไม่สะอาด และปัจจุบันที่พบบ่อยจะเป็นกลุ่มชายรักชายที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันก็สามารถติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ได้เช่นกัน แต่ปัจจุบันยาที่ใช้รักษาไวรัสตับอักเสบซี มีประสิทธิภาพค่อนข้างดีรับประทานแค่ 3 เดือนก็หายขาด 95-98% แต่ถ้าเป็นไวรัสตับอักเสบบี ส่วนใหญ่ที่ทำได้จะเป็นการกดที่ไม่ให้ไวรัสขึ้นในปริมาณที่เยอะ แต่จะให้กำจัดเชื้อออกจากร่างกายค่อนข้างยาก เพราะเชื้อจะไปหลบซ่อนอยู่ใน DNA ทำให้การกำจัดเชื้อให้หายได้ยากอยู่ และอีกสาเหตุที่พบบ่อย คือ การดื่มสุราเป็นประจำ ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง ทำให้เป็นตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับได้ 2 สาเหตุสุดท้ายจะเป็นในเรื่องของไขมันเกาะตับ ปัจจุบันจะมีคนที่น้ำหนักตัวมากมีปัญหาโรคอ้วนตามมา ทำให้เป็นไขมันเกาะตับได้ และเกิดมะเร็งตับได้ในที่สุด อีกสาเหตุจะเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีสารอะฟลาทอกซิน เช่น การทานก๋วยเตี๋ยวที่มีพริกแห้งพริกป่นหรือถั่ว ถ้าไม่สะอาดก็จะมีโอกาสปนเปื้อนสารพิษจากเชื้อราได้ ซึ่งสามารถทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
มะเร็งตับมีกี่ระยะและสามารถรู้ได้อย่างไรว่าเป็นมะเร็งตับ
มะเร็งตับจะคล้ายๆ มะเร็งทั่วไป คือ ระยะแรกหรือระยะที่รักษาได้ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ และในผู้ป่วยที่มีอาการ ส่วนใหญ่ที่มาถึงก็จะเลยระยะเวลาที่จะสามารถรักษาให้หายขาดได้แล้ว จะแนะนำให้ตรวจคัดกรองโดยใช้ตัวอัลตร้าซาวด์ร่วมกับการตรวจเลือด เช่น ผู้ป่วยตับแข็งไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ควรตรวจคัดกรองมะเร็งตับทุก 6-12 เดือน ถ้ากรณีผู้ชายอายุ 40 ปี ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรที่จะต้องทำการตรวจคัดกรองมะเร็งตับทุก 6 เดือน ส่วนกรณีผู้หญิงจะตรวจที่อายุ 50 ปี แต่จะต้องทำการดูประวัติของครอบครัวร่วมด้วย ถ้าครอบครัวมีประวัติจะต้องมาตรวจเร็วกว่าปกติทั่วไป ถ้าเป็นระยะหลังจะมีอาการปวดท้องด้านขวา เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง ตาเหลือง ขาบวม ระยะของมะเร็งตับจะมี 4 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 (แรก) : ก้อนเนื้อมะเร็งมีขนาดเล็ก และมีเพียงก้อนเนื้อเดียว
ระยะที่ 2 (ปานกลาง) : มีการลุกลามของก้อนเนื้อเข้าหลอดเลือดในตับ และ/หรือ มีก้อนเนื้อหลายก้อน แต่ยังเป็นก้อนเล็กๆ
ระยะที่ 3 (ลุกลาม): ก้อนเนื้อมะเร็งโตมาก และ/หรือ ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อข้างเคียงตับ และ/หรือ เข้าหลอดเลือดดำใหญ่ในท้อง และ/หรือ ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ตับ
ระยะที่ 4 (ระยะสุดท้าย): โรคมะเร็งแพร่กระจายตามกระแสโลหิต(เลือด) มักเข้าสู่ตับกลีบอื่นๆ และปอด แต่อาจเข้าสู่อวัยวะอื่นๆได้ เช่น สมอง และ/หรือ กระดูก หรือ แพร่กระจายยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกลออกไปจากตับ เช่น ในช่องท้อง หรือ บริเวณไหปลาร้า
ระยะแรก ระยะปานกลาง ซึ่ง 2 ระยะนี้ จะอยู่ในช่วงที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ถ้าเป็นระยะลุกลาม หรือ ระยะท้าย ส่วนใหญ่การรักษาจะมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้นให้อยู่ได้นานขึ้น แต่โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดได้จะเป็นไปได้ยาก ดังนั้นเพื่อการป้องกันควรมาตรวจทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี ส่วนใหญ่ในโปรแกรมการตรวจสุขภาพของโรงพยาบาลทั่วไปจะมีการตรวจอยู่แล้ว แต่กรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงอาจจะไม่ได้ตรวจ หลักๆที่ต้องตรวจจะเป็นผู้ป่วยที่มีประวัติตับแข็ง มีไวรัสตับอักเสบบีผู้ป่วยกลุ่มนี้จะต้องตรวจเป็นพิเศษ
ถ้ากรณีเป็นไขมันเกาะตับจะมีวิธีการรักษาก่อนที่จะลุกลามอย่างไร
การรักษาในปัจจุบันไม่ได้เน้นการรักษาด้วยยา ถ้ากลุ่มที่เป็นไขมันเกาะตับจะแนะนำให้ผู้ป่วยทำการลดน้ำหนักประมาณ 7-10% จะสามารถช่วยลดการอักเสบของตับและพังผืดได้ แต่หลักๆ ที่สมาคมโรคตับทั่วโลกแนะนำ คือ ให้ผู้ป่วยออกกำลังกายร่วมกับปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
ความเสี่ยงที่มีไขมันเกาะตับและกลายไปเป็นมะเร็งตับ หรือ ตับแข็ง จะมีความเสี่ยงสูงหรือไม่
ปัจจุบันมีความเสี่ยงสูง แต่จะมีการตรวจไขมันเกาะตับอยู่ 2 วิธี ถ้ากรณีไขมันเกาะตับอยู่ 30% ตัวอัลตร้าซาวด์ตับจะสามารถตรวจพบได้ ถ้าต้องการตรวจอย่างละเอียดจะเป็นการตรวจ Fibro Scan เป็นการตรวจที่สามารถวัดไขมันในตับได้ รวมถึงดูค่าการมีพังผืดในตับได้เช่นเดียวกัน
วิธีการรักษาระยะแรกของไขมันเกาะตับเป็นอย่างไร
วิธีการรักษา จะเป็นการดูแลคนไข้ร่วมกันระหว่างอายุรแพทย์ ศัลยแพทย์ และแพทย์รังสี จะดูว่าทางเลือกไหนเป็นทางเลือกที่เหมาะกับคนไข้ที่สุด ถ้าก้อนมีขนาดเล็กจะใช้วิธีการผ่าตัดเป็นทางเลือกแรก จะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดได้ แต่เงื่อนไขจะดูว่าขนาดหรือก้อนต้องมีขนาดไม่ใหญ่เกิน 5 เซนติเมตร ไม่มีการกระจายของมะเร็ง ไปยังบริเวณเส้นเลือดใกล้เคียงอื่นๆ และการทำงานของตับยังดีอยู่ ถ้าการทำงานของตับไม่ดีบางทีตับที่เหลืออยู่อาจไม่เพียงพอต่อการอยู่รอดชีวิตได้ หรือ การทำงานของตับได้ ซึ่งปกติทางศัลยแพทย์จะมีการประเมินว่าตัดได้หรือเปล่า ถ้ากรณีผู้ป่วยมีตับแข็งจะมีอาการเข้าได้ กับโรคตับระยะท้ายๆ และมีมะเร็งตับร่วมด้วย กรณีนี้วิธีการรักษาที่ดีที่สุด ถ้าก้อนไม่ใหญ่มากและยังอยู่ในระยะที่ยังไม่แพร่กระจาย และอยู่ในเกณฑ์กำหนด คือ การปลูกถ่ายตับ คือ การเอาตับเก่าที่มีมะเร็งออก และ เอาตับใหม่ที่ไม่มีมะเร็งใส่กลับเข้าไป แต่ปัจจุบันค่อนข้างทำได้น้อยอยู่จะทำได้ในโรงพยาบาลใหญ่ หรือโรงเรียนแพทย์ ปัญหาในปัจจุบัน คือ การขาดแคลนผู้ป่วยที่บริจาคอวัยวะ จึงทำให้จำนวนผู้ป่วยที่ต้องการกับจำนวนของตับที่มีให้ยังมีจำกัด ค่าใช้จ่ายในการเฉลี่ยปลูกถ่ายตับประมาณ 1,000,000 บาท ในการผ่าตัดจะเป็นรัฐบาลออกให้จะครอบคลุมเฉพาะข้าราชการและผู้ที่มีประกันสังคม ยังไม่ครบคลุมผู้ป่วยบัตรทองขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผนเพื่อขยายการเข้าถึงการรักษาให้ได้วงกว้างมากขึ้น ปัจจุบันสามารถผ่าตัดได้ปีละ 100 - 200 ราย เพราะมีทรัพยากรที่ค่อนข้างจำกัด และอีกวิธีหนึ่งถ้าเป็นก้อนขนาดเล็กยังอยู่ในระยะไม่เกิน 2 เซนติเมตร ที่ใช้ค่อนข้างเยอะ คือ การใช้เป็นคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง ซึ่งความถี่สูงจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ไปทำลายตัวมะเร็งตับ ซึ่งมีผลการศึกษาที่รับรองว่าหายขาดได้ ไม่แตกต่างกับการผ่าตัดตับ ในก้อนมะเร็งก็ขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร ซึ่งต่างประเทศจะนิยมมาก เพราะค่านอนโรงพยาบาลกับการผ่าตัดค่อนข้างแพง และผู้ป่วยหลายรายที่ไม่อยากผ่าตัด หรือ มีความเสี่ยงในการผ่าตัดที่ค่อนข้างสูงก็จะเลือกใช้วิธีนี้ แต่เรื่องการเลือกใช้วิธีการรักษาจะต้องประเมินเป็นรายๆไป เนื่องจากตำแหน่งของก้อนจะมีผลกับการรักษา และอีกระยะหนึ่งที่เป็นระยะลุกลามแล้ว ไม่สามารถให้การรักษาโดยการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ หรือ จี้ไฟฟ้า จะมีการรักษาอีกวิธีหนึ่งเป็นการรักษาที่เรียกว่า “TACE” คือการฉีดยาเคมีบำบัดเข้าไปที่ก้อนมะเร็งโดยตรง ร่วมกับฉีด Gelfoam ไปอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง แต่การรักษาไม่ได้ทำให้มะเร็งหายขาด แต่สามารถทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและอยู่ได้นานขึ้น
คำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลตัวเองก่อนที่จะเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ
ฝากเรื่องการป้องกันเพราะการป้องกันก็ดีกว่าการรักษา ในบุคคลทั่วไปถ้าพยายามลดปัจจัยเสี่ยง เช่น การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี หรือ ซี ต้องระวังพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้น การสักลาย และ พยายามหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไปหรือไม่เหมาะสม สุดท้ายจะเป็นเรื่องการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพราะไขมันเกาะตับก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งตับที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง และในผู้ป่วยที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี แนะนำให้ฉีดวัคซีน ซึ่งจะป้องกันที่จะทำให้เกิดโรคได้