โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ หรือเรียกอีกอย่างว่า “โรครองช้ำ”

เป็นโรคที่มีการอักเสบของเส้นเอ็นใต้ฝ่าเท้า ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะผู้หญิง  โดยมักมีอาการเจ็บบริเวณส้นเท้า ซึ่งสัมพันธ์กับการเดินลงน้ำหนักเท้า มักเป็นมากตอนเช้าขณะลุกจากเตียง อาการจะเป็น ๆ หาย ๆ ตามลักษณะการใช้งาน การอักเสบจะเกิดขึ้นบริเวณเอ็นส้นเท้าต่อเนื่องไปจนถึงเอ็นร้อยหวาย ในรายที่เป็นมานานหรือไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาการจะเป็นเรื้อรังมากขึ้นจนอาจเป็นตลอดวัน

สาเหตุ

เกิดจากการตึงตัวที่มากเกินของเส้นเอ็นฝ่าเท้าและอุ้งเท้าที่ทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกขณะที่เราลงน้ำหนัก จนเกิดเป็นพังผืด และเกิดการอักเสบเรื้อรังสะสมมาเรื่อย ๆ

ผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ

1.คนที่มีโครงสร้างร่างกายผิดปกติ เช่น อุ้งเท้าสูง เท้าแบน

2.น้ำหนักตัวที่มากเกินไป ทำให้มีแรงส่งไปที่เท้าเยอะขึ้น

3.คนที่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ

4.การวิ่งที่ลงน้ำหนักที่ส้นเท้ามากเกินไป

5.การวิ่งที่พื้นแข็งเกินไป หรือรองเท้าแข็งหรือบางเกินไป และรับแรงได้ไม่ดีเท่าที่ควร

6.คนสูงอายุ เนื่องจากพังผืดฝ่าเท้ามีความยืดหยุ่นลดลง

7.คนที่มีอาชีพที่ต้องยืนหรือเดินนานๆ ทำให้พงผืดฝ่าเท้าตึง

 อาการ

อาการของผู้ที่เป็นโรครองช้ำ คือ จะปวดฝ่าเท้ารอบ ๆ ส้นเท้าไปถึงเอ็นร้อยหวายในช่วงแรกที่เริ่มใช้งาน เช่น ตอนตื่นนอน ตอนลุกจากการนั่งนาน ๆ เป็นต้น โดยจะมีอาการปวดเหมือนมีเข็มมาแทงหรือโดนของร้อน อาการจะดีขึ้นเมื่อมีการใช้งานไปสักระยะ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาการปวดจะเรื้อรังและรุนแรงมากขึ้นจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้

การวินิจฉัย

โดยทั่วไป การวินิจฉัยโรครองช้ำสามารถทำได้จากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย โดยแพทย์อาจจะส่งตรวจเพิ่มเติม ได้แก่

เอกซเรย์: หากมีการอักเสบของจุดเกาะเส้นเอ็นเป็นเวลานาน ร่างกายจะสร้างแคลเซียมมาพอกไว้ ซึ่งหากเอกซเรย์พบแคลเซียมที่มาพอกจุดเกาะเส้นเอ็น จะเป็นการสนับสนุนการวินิจฉัยโรครองช้ำ

อัลตราซาวด์: สามารถบ่งบอกการบวมหนาของเส้นเอ็นฝ่าเท้าได้ ซึ่งจะบอกถึงการอักเสบของเส้นเอ็นฝ่าเท้า

การรักษา

จะเริ่มจากการใช้ยาไปพร้อม ๆ กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หากยังไม่หาย จะเริ่มมีการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาช่วยการรับประทานยา เช่น ยาแก้อักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด เป็นต้น แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และระยะเวลาการรับประทานยาไม่ควรนานจนเกินไป

  • การใช้เฝือกอ่อน โดยจะใช้ในช่วงแรกเพื่อลดอาการอักเสบ
  • ฝึกยืดเหยียดฝ่าเท้า และแช่เท้าในน้ำอุ่น
  • การใช้แผ่นรองเท้าที่มีลักษณะนิ่ม หรือสวมรองเท้าที่เหมาะสม
  • การทำกายภาพบำบัด ใช้ความร้อนแบบอัลตราซาวด์
  • การรักษาด้วยคลื่นกระแทก (Shock wave) มักทำในกรณีที่ทานยาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังไม่หาย หรือต้องการให้อาการหายเร็วขึ้น

การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่การรักษาแบบไม่ผ่าตัดเป็นระยะเวลาหนึ่งไม่สำเร็จ โดยจะมีหลายเทคนิค ซึ่งแพทย์จะเป็นคนเลือกให้เหมาะสมที่สุดกับผู้ป่วยแต่ละราย

การป้องกัน

โดยทั่วไปโรคนี้สัมพันธ์กับพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้นสามารถดูแลตัวเองได้ ดังนี้

  • เลือกรองเท้าที่เหมาะสม ได้แก่ รองเท้าที่ไม่รัดจนเกินไป มีส้นที่นิ่ม มีแผ่นรองรองเท้า โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่น้ำหนักเยอะ หรือใช้งานเท้าเยอะ
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้ฝ่าเท้าเป็นเวลานาน หรือการเดินเท้าเปล่าบนพื้นแข็ง
  • หากมีการออกกำลังโดยการวิ่งอยู่ประจำ ควรปรับท่าวิ่งให้เหมาะสม ได้แก่ ก้าวให้สั้นลง และลงน้ำหนักให้เต็มเท้า
  • หากต้องใช้ฝ่าเท้าหรือใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ควรมีการถอดออกมาพัก และยืดเส้นเอ็นเป็นระยะ
  • ในผู้ที่มีโครงสร้างของเท้าที่ผิดปกติ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตัดรองเท้าให้เหมาะสม
<