ยาตีกัน ภัยเงียบผู้ใช้ยา อันตรายถึงตายได้

ยาตีกัน ภัยเงียบผู้ใช้ยา อันตรายถึงตายได้

โดย ภก.จตุพร ทองอิ่ม เภสัชกรประจำศูนย์บริการสาธารณสุข 51 วัดไผ่ตัน สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร 

ยาตีกันคืออะไร

           “ยาตีกัน” หมายถึงการที่ฤทธิ์ของยาตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเมื่อได้รับยาอีกตัวหนึ่งร่วมด้วย โดยผลที่เกิดขึ้นอาจก่อให้เกิดผลการรักษาที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ตั้งใจ หรือเกิดอาการไม่พึงประสงค์ หรืออาจทำให้ผลการรักษาลดลงก็ได้ หรือบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม ยาตีกันจะเกิดผลมากน้อยขึ้นกับสภาวะของผู้ป่วย ระยะเวลาที่ใช้ยาร่วมกัน และขนาดยาที่ใช้ด้วย

สาเหตุของยาตีกัน มาจากอะไร 

         -  อาจมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ป่วย หรือ การได้รับยาจากสถานพยาบาลหลายแห่ง แพทย์ หรือเภสัชกรคนละคน  โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเรื้อรังซึ่งต้องรักษาต่อเนื่องและกินยาหลายขนาน  เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง  มักได้รับยามาจากสถานพยาบาลหลายแห่ง โดยแต่ละแห่งไม่ทราบข้อมูลว่าผู้ป่วยรับประทานยาอะไรอยู่บ้างเป็นประจำ 

    -  หรืออาจมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตัวผู้ป่วยเอง เช่น การที่ผู้ป่วยไปหาซื้อยา อาหารเสริม หรือแม้แต่สมุนไพรมารับประทานเอง นอกจากเกิดปัญหาการได้รับยาซ้ำซ้อนแล้ว ยังอาจเกิด “ยาตีกัน” ได้ 

 

กรณีตัวอย่างของยาตีกัน ที่พบได้บ่อย และเป็นอันตรายมีอะไรบ้าง 

         - ยาปฏิชีวนะบางชนิดจะตีกันกับยาที่ผู้ป่วยได้รับอยู่แล้ว เช่น ยาลดไขมัน  ยาหัวใจ ยาขยายหลอดลม เป็นต้น ทำให้ระดับยาในเลือดของยาเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น  ในผู้ป่วยบางคนอาจเป็นอันตรายได้ 

        - ผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ต้องระมัดระวังในการซื้อยาหรืออาหารเสริมมารับประทานร่วมด้วย   เพราะอาจเกิดปฏิกิริยากัน ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติและอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้ 

          - การรับประทานยาฆ่าเชื้อบางกลุ่ม ร่วมกับยาลดกรด หรือแคลเซียม  เหล็ก  วิตามินบางชนิด จะทำให้การดูดซึมของยาฆ่าเชื้อลดลงกว่าครึ่ง  ผลการฆ่าเชื้อก็ลดลงด้วย

        - ยาตีกับอาหารเสริม หรือสมุนไพรบางชนิด นอกจากยาตีกันเองแล้ว อาหารเสริมที่ไม่ได้จัดเป็นยาหรือสมุนไพรบางชนิดก็สามารถ “ตีกับยา” ได้  เช่น น้ำผลไม้บางชนิด กระเทียม หรือแป๊ะก๊วย อาจเพิ่มฤทธิ์ของยาที่ต้านการเกาะกันของเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน หรือยาที่ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin ได้ 

 

. ในส่วนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร หรือการรับประทานอาหารเสริม รวมถึง การสูบบุหรี่ หรือ การดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งเหล่านี้จะมีฤทธิ์ตีกับยาหรือไม่ อย่างไร?

        - พฤติกรรมของผู้ป่วย ในเรื่องการรับประทานอาหาร การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า ล้วนมีผลต่อการออกฤทธิ์ของยาทั้งสิ้น การสูบบุหรี่จะทำให้ยาทั้งหลายออกฤทธิ์ลดลง ผู้ป่วยที่สูบบุหรี่ส่วนใหญ่ต้องการขนาดยาที่จะได้ผลการรักษาที่สูงกว่าคนอื่นทั่วไป เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์จะทำให้ผลการรักษาของยาเปลี่ยนแปลงไป  

          - ยาบางอย่าง เช่น ยาเบาหวาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือเกิดอาการที่เรียกว่า disulfiram-like effect

         -  น้ำผลไม้บางชนิดโดยเฉพาะน้ำเกรฟฟรุต (ขนาด 250 ซีซี) จะทำให้ระดับยาในเลือดของยาที่รับประทานร่วมด้วยสูงขึ้น เช่น ยาลดไขมัน ยากดระบบประสาท เป็นต้น

        - อาหารเสริม หรือสมุนไพรบางชนิด    นอกจากยาตีกันเองแล้ว อาหารเสริมที่ไม่ได้จัดเป็นยาหรือสมุนไพรบางชนิดก็สามารถ “ตีกับยา”ได้  เช่น น้ำผลไม้บางชนิด กระเทียม หรือแป๊ะก๊วย อาจเพิ่มฤทธิ์ของยาที่เพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ 

แนวทางการแก้ปัญหายาตีกัน ใช้ยาซ้ำซ้อน

          - จากปัญหาในการใช้ยาที่กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ  และจากภารกิจหลักของเภสัชกรที่จะต้องสร้างหลักประกันความปลอดภัยในการใช้ยาให้กับผู้ป่วยและประชาชน สภาเภสัชกรรม จึงได้จัดทำ “สมุดบันทึกยา” ขึ้น  เพื่อบันทึกประวัติการใช้ยาประจำตัวผู้ป่วย  ใช้เป็นเครื่องมือของเภสัชกรในภาคส่วน   ต่าง ๆ ทั้งในโรงพยาบาลและร้านยาที่จะได้ร่วมกันดูแลความปลอดภัยในการใช้ยาของประชาชน  

      - “สมุดบันทึกยา”  นี้จะมีข้อมูลรายการยาที่ผู้ป่วยใช้  ไม่ว่าจะได้จากสถานพยาบาลใด ซึ่งจะช่วยให้ตรวจสอบ ดูแล ปัญหาการใช้ยาของผู้ป่วย ได้อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการรักษา ช่วยให้แพทย์หรือเภสัชกรไม่จ่ายยาที่ซ้ำซ้อนกับยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่  หรือเลือกจ่ายยาที่ไม่ “ตี” กับยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่  เป็นต้น  ทำให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการใช้ยา   ในสมุดบันทึกยานอกจากจะมีรายการยาทั้งหมดที่ผู้ป่วยได้รับแล้ว  ยังมีการบันทึกรายละเอียดที่สำคัญของผู้ป่วยไว้ ทั้งประวัติการแพ้ยา อาการข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย  พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์  เป็นต้น

       - สภาเภสัชกรรมได้ขอความร่วมมือจากเภสัชกรในโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งเภสัชกรในร้านยา  ให้ช่วยบันทึกรายการยาหรือออกบันทึกยาที่จ่ายให้กับผู้ป่วยและประชาชนที่เข้ารับบริการด้านยาจากท่านทั้งในโรงพยาบาล  ร้านยา  ศูนย์บริการสาธารณสุข ต่าง ๆ   พร้อมให้คำแนะนำการใช้ยาอย่างถูกวิธี  เพื่อเพิ่มผลการรักษา ลดความซ้ำซ้อนของยา ป้องกันผลข้างเคียงรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยในการใช้ยา    โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง   

     - อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ป่วยและประชาชนผู้ใช้ยา ควรดูแลบันทึกการใช้ยาของตนเองด้วยเพื่อความปลอดภัย   รวมถึงการบันทึกรายการยา สมุนไพร อาหารเสริม ที่ประชาชนหาซื้อมาใช้เองเพิ่มเติม เพื่อให้มีบันทึกยาที่สมบูรณ์ ที่จะเป็นเครื่องมือในการป้องกันอันตรายจากยาและช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยาอย่างแท้จริง

จะขอรับสมุดบันทึกยาได้ที่ไหน 

      -ผู้ป่วยโรคเรื้องรังสามารถขอคำปรึกษาจากเภสัชกรที่อยู่ประจำหน่วยบริการ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล หรือร้านยา โดยเฉพาะ “ร้านยาคุณภาพ”  ซึ่งจะช่วยดูแลการใช้ยาอย่างต่อเนื่องเสมือน “เภสัชกรประจำครอบครัว (Family Pharmacist)” พร้อมขอรับสมุดบันทึกยา  โดย รวบรวมยาทุกรายการที่ใช้อยู่เป็นประจำมาให้เภสัชกรตรวจสภาพและลงบันทึก รายการและขนาดยาทั้งหมดในบันทึกยาประจำตัวท่านได้ตั้งแต่วันนี้   และควรพกสมุดบันทึกยานี้ติดตัวทุกครั้งที่ไปพบแพทย์หรือไปซื้อยากับเภสัชกรที่ร้านยา  เพื่อลงรายการยาที่ได้รับเพิ่ม ทั้งนี้เพื่อผลการรักษาที่คุ้มค่าและปลอดภัยกับตัวท่านเอง

<