การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 มีประโยชน์กว่าการไม่ฉีด

การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 มีประโยชน์กว่าการไม่ฉีด ดังนี้

1. ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่าการไม่ได้ฉีดวัคซีน

2. ลดโอกาสการเกิดอาการ Long COVID

3. ลดโอกาสเกิดอาการรุนแรง

4. ลดการนอนโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากโควิด 19

ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตจากโควิด 19 โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์หรือไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น

 

ปัจจุบันได้มีคำแนะนำการฉีดด้วยวัคซีนป้องกันโควิด 19 รุ่นล่าสุด คือ วัคซีนชนิดโมโนวาเลนต์ (monovalent) สายพันธุ์ XBB.1.5 แก่ผู้ที่มีความจำเป็นต้องดั้บการป้องกันโรค ดังนี้

1. ผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนโควิด 19 (ไม่ว่าจะเคยป่วยเป็นโควิด 19 มาแล้วหรือไม่ก็ตาม) จำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด 19 รุ่นล่าสุดอย่างน้อย 1 เข็ม

2. ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 รุ่นต้นแบบ (สายพันธุ์อู่ฮั่น) หรือวัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ (bivalent: สายพันธุ์อู่ฮั่นและสายพันธุ์ BA) มาก่อน จำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด 19 รุ่นล่าสุด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยฉีดห่างจากเข็มสุดท้ายหรือการติดเชื้อครั้งล่าสุดตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนเข็มที่เคยฉีดมาก่อน ดังนี้

2.1 ผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่

- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์

- ผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางโรค เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคตับ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคอ้วน โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจและหลอดเลือด

- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อหรือแพร่เชื้อ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ดูแลผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการเชื้อไวรัส

2.2 ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปานกลางหรือรุนแรง ที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ที่มีภาวะดังนี้

- มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด

- ได้รับการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะหรือเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก

- เป็นผู้ป่วยโรคเอดส์ที่มีระดับ CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อไมโครลิตร

กำลังรับยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเณ้ง ยากดภูมิต้านทาน ยาคอร์ติโดสเตียรอยด์ (corticosteroids) หรือยาฉีดกลุ่มชีวภาพ

2.3 ประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 18-59 ปี (ตามความสมัครใจ) หากคุณไม่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีน เช่น เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อวัคซีนป้องกันโควิด 19 มาก่อน สามารถเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด 19 รุ่นล่าสุด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ได้ตามความสมัครใจ และในปัจจุบัน* พบว่า สายพันธุ์โอมิครอนเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดไปทั่วโลกกว่า 99% รวมถึงประเทศไทย ซึ่งสายพันธุ์ดังกล่าวมีสายพันธุ์ย่อย คือ XBB.1.5, XBB.1.16, EG.5, JN.1 โดยสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายและรวดเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้าถึง 3 เท่า สามารถลดระดับภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อหรือรับวัคซีนลดลงภายใน 4-6 เดือน ส่งผลทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำในคนที่เคยติดเชื้อมาก่อน หรือเกิดการติดเชื้อแม้จะได้รับวัคซีนมาแล้ว (*ข้อมูลเดือนมีนาคม 2567)

<