น้ำดื่มสมุนไพร ช่วยคลายร้อน

น้ำดื่มสมุนไพร ช่วยคลายร้อน           หลายคนบอกว่า ฤดูร้อนปีนี้อากาศร้อนมากๆ จะไปไหนก็เจอแต่ไอแดดและไอร้อน แม้จะนั่งอยู่เฉยๆ ในบ้านก็ยังได้รับไอร้อน หลายๆ คนบอกว่าอากาศร้อนอย่างนี้ทำให้ไม่อยากรับประทานอะไรเลย นึกถึงแต่น้ำและน้ำแข็ง ที่จะมาช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลงได้บ้าง หลายคนจะนึกถึงเครื่องดื่มนานาชนิดที่ทำให้ “ชื่นใจ” น้ำดื่มสมุนไพรก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยดับกระหายคลายร้อน แถมยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย น้ำกระเจี๊ยบ นอกจากจะช่วยแก้กระหายน้ำและทำให้สดชื่นแล้ว น้ำกระเจี๊ยบยังช่วยขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ช่วยย่อยอาหาร และเป็นยาระบายอ่อนๆ แถมยังช่วยลดไข้และแก้ไอได้อีกด้วย  น้ำเก็กฮวย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยให้สดชื่น ลดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะอากาศร้อน  น้ำว่านหางจระเข้ ช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แถมยังช่วยให้ระบบขับถ่ายดีและท้องไม่ผูก น้ำดื่มสมุนไพรชนิดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนนอนดึกและอ่อนเพลีย  น้ำรากบัว เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดนี้ ได้มาจากรากบัวต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเพื่อดับกระหาย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณแก้ท้องร่วง แก้ร้อนใน ขับเสมหะ และบำรุงกำลัง น้ำว่านกาบหอย ทำมาจากใบว่านกาบหอย ใช้ดื่มเพื่อแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และยังแก้ฟกช้ำภายในได้ด้วย น้ำบัวบก เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันดี ช่วงที่อากาศร้อนแบบนี้ เกือบทุกคนจะนึกถึงน้ำใบบัวบก น้ำสมุนไพรนี้ได้มาจากใบบัวบกสด มีสรรพคุณแก้เจ็บคอ กระหายน้ำ แก้ช้ำใน ทำให้สดชื่น และยังช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ด้วย น้ำใบเตย เพิ่มความสดชื่น ช่วยในการบำรุงหัวใจ ลดอาการกระหายน้ำ               ที่สำคัญคือ อากาศแบบนี้ อย่าปล่อยให้จิตใจเราร้อนตามอากาศรอบกายก็แล้วกัน    

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

7 วิธี ขับรถให้ประหยัด ในช่วงหน้าฝน

7 วิธี ขับรถให้ประหยัด ในช่วงหน้าฝน          ช่วงนี้อาจจะต้องทำใจกันหน่อย หากรถจะติดมากกว่าเดิม ด้วยเพราะฝนที่ตกลงมา นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะช่วงนี้ราคาน้ำมันค่อนข้างแพง ทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์ต้องแบกรับภาระจากผลกระทบของราคาน้ำมัน ลองนำ 7 วิธี นี้ไปใช้ เพื่อช่วยประหยัดน้ำมันในช่วงฤดูฝน      1. หลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลาหลังฝนตกใหม่ๆ โดยหันมาใช้การติดต่อกันทางโทรศัพท์ อีเมล์ หรือหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้าใต้ดินแทนก็จะสะดวกและประหยัดน้ำมัน ทั้งยังช่วยลดปัญหาการจราจร ที่ติดขัดอีกด้วย      2. ตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้พร้อมก่อนเดินทาง หากมีความจำเป็นต้องเดินทางช่วงฝนตก ควรตรวจเช็คเครื่องยนต์เป็นพิเศษ เพราะหากรถดับหรือเสีย ขณะการเดินทางจะทำให้เสียเวลาและทำให้การจราจรติดขัดยิ่งขึ้น       3. ตรวจเช็คเส้นทางให้พร้อมก่อนเดินทาง โดยเลือกเส้นทางการจราจร ที่ใกล้ที่สุดหรือตรวจสอบเส้นทางได้จากรายการวิทยุ สวพ.91 จส.100 หรือโทร.1197 เพื่อให้ไปถึงจุดหมายโดยใช้ระยะทางที่ใกล้ไม่หลงทาง ช่วยทำให้ประหยัดน้ำมัน และควรเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานบริการช่วยเหลือกรณีรถเสียระหว่างทาง เช่น สถานีวิทยุชุมชน ร่วมด้วยช่วยกัน 1167      4. ตรวจเช็คลมยางและสภาพยางให้ได้มาตรฐาน โดยตรวจเช็คลมยางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะหากลมยางต่ำกว่ามาตรฐานจะทำให้การขับขี่สิ้นเปลืองน้ำมันประมาณร้อยละ 2 และหากสภาพยางไม่ได้มาตรฐานจะทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลงซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน      5. ตรวจเช็คผ้าเบรก เพราะช่วงหน้าฝนถนนลื่นกว่าปกติทำให้ต้องแตะเบรกบ่อยครั้ง โดยผู้ขับขี่ควรสังเกตจากเสียงขณะเบรก หรือเบรกแล้วรถไม่หยุดในระยะปกติซึ่งทำให้เปลืองน้ำมันประมาณวันละ 400 ซีซี ฉะนั้นผู้ขับขี่ควรเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน      6. ตรวจเช็คความเร็ว หากใช้ความเร็วสูงเกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในขณะขับรถจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันประมาณร้อยละ 10-25 ดังนั้นควรขับรถความเร็วที่ระดับ 80-90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อลดอุบัติเหตุและช่วยประหยัดน้ำมัน      7. ตรวจเช็คความเย็น ลดอุณหภูมิโดยไม่ปรับแอร์ในรถให้เย็นเกินไป เพราะหน้าฝนอากาศเย็น และควรปิดแอร์ก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี แต่หากไม่ใช้แอร์เลยตลอดการเดินทาง 20-30 นาที จะประหยัดน้ำมันได้ 300 ซีซี        ถ้าผู้ใช้รถทุกท่านปฏิบัติได้ ทั้ง 7 วิธี ที่กล่าวมานี้ รับรองได้ว่านอกจาก ประหยัดน้ำมันแล้ว ยังช่วยประหยัดในกระเป๋า และยังช่วยให้ขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ขอบคุณข้อมูลจาก กระทรวงพลังงาน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การดูแลรักษารองเท้า ในช่วงฤดูฝน

การดูแลรักษารองเท้า ในช่วงฤดูฝน การดูแลรักษารองเท้า ในช่วงฤดูฝน            ถ้ารองเท้าของคุณ เปียกน้ำและ เหม็นอับจนขึ้นรา เพราะเปียกฝน แล้วละก้อ ลองนำวิธีดูแลรักษารองเท้าที่เรานำมาฝากไปใช้ ก็ไม่ว่ากันนะคะ รองเท้าเปียกน้ำ            ควรใช้น้ำที่สะอาดล้างทำความสะอาดภายนอก ห้ามใช้สบู่หรือผงซักฟอก แล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด แล้วนำไปผึ่งลม ห้ามตากแดด ควรวางรองเท้าให้เอียง 45 องศา กับพื้น โดยให้ส้นรองเท้าเสมอพื้น หมั่นเทน้ำออก จนกว่ารองเท้าจะแห้งสนิท แล้วจึงนำไปลงครีมขัดเงาและตากแดดอ่อนๆ ประมาณ 2 ชั่วโมง ชิ้นส่วนรองพื้นที่อยู่ด้านใน ถ้าเป็นแบบถอดออกได้ ให้นำไปล้างและทำให้แห้งโดยวิธีเดียวกัน รองเท้าเปียกน้ำ ไม่ควรนำมาใช้ จนกว่าจะแห้งสนิท เพราะจะทำให้หนังยืดและเสียรูปทรง  รองเท้าขึ้นรา            ใช้สำลีหรือผ้าชุบน้ำ เช็ดล้างทำความสะอาด หลังจากนั้นลงครีมขัดเงา ตากแดดจัดทิ้งไว้สักพักแล้วนำกลับมาลงครีมขัดเงารอบ 2 ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วขัดเงา สำหรับรองเท้าที่ขึ้นรา ต้องหมั่นนำออกตากแดดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ต่อครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูฝน อากาศชื้นต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะรองเท้าที่เคยขึ้นราแล้ว จะกลับมาขึ้นราอีกได้  ขอบคุณข้อมูล mcot.net  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องตรวจโรคกระดูกสันหลัง รพ.วิภาวดี

ห้องตรวจโรคกระดูกสันหลัง รพ.วิภาวดี          เคยได้ยินบ้างไหมคะว่า.. ถ้าโครงสร้างไม่ดี อาจทำให้ชีวิตของคุณพังได้ คงเปรียบได้กับกระดูกสันหลังที่เป็นเสาหลักของร่างกายของคนเรา ดังนั้นรพ.วิภาวดี จึงพร้อมดูแลเอาใจใส่เสมอ ในทุกเรื่องราวของกระดูกสันหลังด้วยหลากหลายเทคโนโลยี          ถ้าพบสัญญาณอันตรายดังต่อไปนี้ อย่านิ่งนอนใจ 1. อาการปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ โดยทันทีหรือเรื้อรัง 2. อาการปวดคอ ร่วมกับปวดหัว และอาการร้าวไปแขนหรือขา 3. อาการปวดรอบๆ ไหล่ หรือข้อศอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาหลับ 4. มีอาการชาของกล้ามเนื้อที่แขน ขา หรือลำตัว 5. เดินลำบาก เดินได้ระยะสั้น มีอาการปวดน่อง ปวดขา  6. มีกระดูกส่วนคอ หรือส่วนหลังที่ผิดรูป 7. หลังตึง พร้อมอาการปวดคอ ปวดหลัง ปวดก้นกบทันทีหรือเรื้อรัง 8. ปวดหลัง และค่อยๆลามไปที่ต้นขา ขา และเท้า ฯลฯ           ห้องตรวจโรคกระดูกสันหลัง รพ.วิภาวดี ให้บริการให้คำปรึกษาและตรวจรักษา สำหรับผู้ที่มีอาการต้นคอ หลัง จนถึงบริเวณเอว ทั้งที่ทราบสาเหตุและไม่ทราบสาเหตุ สามารถรักษาได้โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อาทิ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ แพทย์ประสาทศัลยศาสตร์ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ได้ให้การดูแล และวินิจฉัย รวมทั้งการรักษา ทางยา ทางกายภาพบำบัด การแพทย์ทางเลือก หรือการผ่าตัด  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ รพ.วิภาวดี โทร. 0-2561-1111 ต่อ 4142-3

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

อัมพาตครึ่งท่อน หรือทั้งตัวคุณกลัวไหม..

อัมพาตครึ่งท่อน หรือทั้งตัวคุณกลัวไหม..           กระดูกสันหลังของคนเรา กระดูกแต่ละชิ้นจะวางเรียงกันเป็นแนวยาวลงมาตามลำตัว โดยเชื่อมกันด้วยข้อต่อและหมอนรองกระดูก ช่วงกลางของแนวกระดูกจะมีช่องว่าง ซึ่งเป็นที่อยู่ของเส้นประสาทใหญ่ไขสันหลัง ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นที่กระดูก ข้อต่อ หรือ หมอนรองกระดูก จึงมีโอกาสที่เส้นประสาทดังกล่าวจะได้รับอันตราย จนถึงขั้นเป็นอัมพาตได้ อัมพาตครึ่งท่อน หรือทั้งตัวคุณกลัวไหม..           เนื่องจาก กระดูกสันหลังของคนเรา กระดูกแต่ละชิ้นจะวางเรียงกันเป็นแนวยาวลงมาตามลำตัว โดยเชื่อมกันด้วยข้อต่อและหมอนรองกระดูก ช่วงกลางของแนวกระดูกจะมีช่องว่าง ซึ่งเป็นที่อยู่ของเส้นประสาทใหญ่ไขสันหลัง ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นที่กระดูก ข้อต่อ หรือ หมอนรองกระดูก จึงมีโอกาสที่เส้นประสาทดังกล่าวจะได้รับอันตราย จนถึงขั้นเป็นอัมพาตได้   อาการที่บ่งบอกว่ามีการกระทบกระเทือนต่อเส้นประสาท มีดังนี้ ส่วนคอ – ปวดต้นคอ ไหล่ แขน และศีรษะ อ่อนแรงหรือชา แขน มือ นิ้วมือ ถ้ารุนแรงมากทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัวหรือครึ่งตัวได้ ส่วนอก – ปวดหลัง บริเวณกลางหลัง หรือ ระหว่างสะบักทั้งสองข้าง ชา และอ่อนแรง ตั้งแต่ระดับอกลงไป ถึงปลายเท้า สูญเสียการควบคุม การขับถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ ส่วนเอว – ปวดหลัง ปวดขาร้าวลงไปถึงนิ้วเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นส่วนๆ อาจมีเดินแล้วสะดุด รองเท้าหลุดได้ ส่วนก้น – ปวดกระดูกส่วนก้น ชารอบก้นและอวัยวะเพศ ไม่สามารถกลั้นอุจจาระได้ สาเหตุ ความเสื่อมตามอายุของกระดูก ข้อต่อ และหมอนรองกระดูก โรคบางชนิด เช่น โรครูมาตอยด์ โรคภูมิคุ้มกันบางอย่างที่มีต่อกระดูก ภาวะกระดูกพรุน ภาวะติดเชื้อ เช่น วัณโรคกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังติดเชื้อแบคทีเรีย  โรคเนื้องอกกระดูกสันหลังเอง หรือมะเร็งแพร่กระจายมาที่กระดูกสันลัง ภาวะกระดูกสันหลังผิดปกติตั้งแต่เกิด ภาวะกระดูกสันหลังบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ การรักษา           ทางเลือกในการรักษา เช่น การรับประทานยา เช่น กลุ่มยาระงับปวด ยาบำรุงเส้นประสาทและการทำกายภาพบำบัดซึ่งจะเหมาะกับ ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ส่วนผู้ป่วยที่อาการรุนแรง หรือรักษาด้วยยาไม่ได้ผล อาจพิจารณาการรักษาโดยวิธีผ่าตัด การรักษาโดยการผ่าตัด การรักษาโดยการผ่าตัดนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อ นำสิ่งที่กดทับเส้นประสาทออกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความพิการมากขึ้น สร้างความแข็งแรงกระดูกสันหลังให้อยู่ในภาวะปกติมากที่สุด สามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายและระบบประสาทได้เร็วขึ้น ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา เช่น ภาวะแผลกดทับ ภาวะปอดติดเชื้อ ภาวะกล้ามเนื้อลีบและอ่อนแรง เป็นต้น   ผ่าตัดมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดและ ลักษณะของโรคนั้นๆ อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดในปัจจุบันแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ได้ 2 ประเภท คือ การผ่าตัดกระดูกสันหลังทั่วไป การผ่าตัดกระดูกสันหลังที่มีบาดแผลขนาดเล็กขนาดประมาณ 2.5 ซม.โดยสอดท่อเข้าช่วยผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยเจ็บน้อยฟื้นตัวเร็วกลับไปทำงานในระยะเวลาอันสั้น 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ต่อมทอนซิลอักเสบ【Tonsillitis】 อาการแบบไหนเข้าข่ายควรตัด ✂

คำว่าต่อมทอนซิล หมายถึง ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ข้างผนังคอ เมื่อเราอ้าปากเต็มที่จะมองเห็นต่อมทอนซิลอยู่ที่ผนังคอด้านข้างซ้ายและขวา โดยทั่วไปเชื่อกันว่าต่อมทอนซิลมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะทำหน้าที่ในการกัก และทำลายเชื้อโรคในปาก สาเหตุ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ต่อมทอนซิลอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อโรคที่มีชื่อว่า สเตปโตคอคคัส และอาจเกิดจากเชื้อชนิดอื่นได้บ้าง อาการ ผู้ป่วยที่ต่อมทอนซิลอักเสบ จะมีอาการ เจ็บคอ มีไข้ กลืนอาหารลำบาก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ในรายที่เป็นเด็กอาจจะมีอาเจียนร่วมด้วย จะพบว่า ต่อมทอนซิลมีขนาดโตบวมแดง ถ้าหากในระยะนี้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โรคจะหายไปได้ภายใน 4-5 วัน แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะมีการอักเสบอย่างรุนแรง ลุกลามไปถึงกล้ามเนื้ออ่อนรอบๆ ทอนซิล ก็จะเกิดฝีรอบต่อมทอนซิล ซึ่งมีอาการรุนแรงกว่าการอักเสบธรรมดา หรืออ้าปากไม่ขึ้น รับประทานอาหารไม่ได้ มีไข้สูง ร่างกายขาดน้ำ จำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาโดยผ่าเอาหนองออก และอาจจะต้องรับเข้าอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อให้ยาทางเส้นเลือด คนที่มีการอักเสบของต่อมทอนซิลบ่อยๆ ขนาดของต่อมจะโตขึ้น เกิดเป็นการอักเสบเรื้อรัง ประโยชน์มีน้อยลง ประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อโรคก็ลดลง การรักษาที่ดีที่สุด คือ การผ่าตัดต่อมทอนซิลออก อย่าปล่อยให้เป็นบ่อย มีโอกาสลุกลาม นอกจากนั้นเมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นบ่อยๆ เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุสำคัญที่จะลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบของหูชั้นกลาง กลายเป็นหูน้ำหนวก เกิดไตอักเสบ ลิ้นหัวใจรั่ว ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ฉะนั้นเมื่อมีอาการเจ็บคอต่อมทอนซิลอักเสบ ควรจะได้พบแพทย์เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และให้พิจารณาเป็นรายๆ ไป การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกในปัจจุบัน ทำได้โดยง่าย ซึ่งจะเสียเวลาพักอยู่ในโรงพยาบาลเพียง 1- 2 วัน ผู้ที่อยู่ในข่ายที่ควรตัดทอนซิลออกคือ พบว่าต่อมทอนซิลมีลักษณะซึ่งบ่งชี้ถึงอาการอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้หายใจทางจมูกไม่สะดวก หรือกลืนลำบาก หูอักเสบบ่อยๆ โดยมีสาเหตุจากการติดเชื้อในลำคอ มีอาการอักเสบของต่อมทอนซิลบ่อยๆ เช่น ในผู้ใหญ่อักเสบปีละ 3-4 ครั้ง ถึงแม้ว่าขนาดจะไม่โตก็ตาม เคยเป็นฝีรอบๆ ต่อมทอนซิล นอนหายใจลำบาก นอนกรนเสียงดัง (OBSTRUCTIVE SLEEP APNEA) ซึ่งตรวจพบว่าเกิดเนื่องจากต่อมทอนซิลโต และปิดกั้นทางเดินหายใจ พบว่ามีเชื้อดิฟทีเรียในคอตลอดเวลา มีการอักเสบของอวัยวะอื่นๆ ที่สงสัยว่ามีสาเหตุมาจากการอักเสบของต่อมทอนซิล เช่น ข้ออักเสบ ไตอักเสบ ลิ้นหัวใจรั่ว คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการจะตัดทอนซิล ผู้ที่ต้องการตัดทอนซิลจะต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ และรักษาให้หายอักเสบเสียก่อน และแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าควรตัดหรือไม่ ทีมแพทย์โสต ศอ นาสิก และลาริงซ์ ประจำ รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ปรับสุขภาพการกินให้เป็นนิสัย

ปรับสุขภาพการกินให้เป็นนิสัย           การรับประทานอาหารในแต่ละวันของคุณ ได้รับสารอาหารมากน้อยเพียงใดเพราะหากเลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายย่อมส่งผลต่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง ยิ่งถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก จะรู้สึกดีกว่าหรือง่ายกว่าไหม หากจะรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การรับประทานเพื่อสุขภาพให้เป็นนิสัยมีหลักการง่ายๆ ดังนี้       * ทานอาหารเช้าทุกวันและทำมื้อกลางวันของคุณให้เป็นมื้อใหญ่ที่สุดในแต่ละวัน แต่ก็ ไม่ได้หมายความว่ารับประทานใจชอบ       * เริ่มต้นรับประทานแต่ละมื้อ ด้วยอาหารไขมันต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกทอด ปรุงแต่งด้วยกะทิ       * เลือกดื่มน้ำผลไม้ที่ให้ความหวานจากธรรมชาติ นมพร่องมันเนยหรือน้ำเปล่าแทน น้ำอัดลม งดเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์       * รับประทานผลไม้ เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ล แทนการรับประทานขนมหวาน      * เลือกรับประทานผัก และผลไม้ให้ได้มากที่สุดในแต่ละมื้ออาหาร       * เคี้ยวช้าๆอย่างละเอียด              การรับประทานอาหารไม่ควรบริโภคเกินความจำเป็นของร่างกาย คุณลองมาปรับสุขภาพการกินให้เป็นนิสัย รับรองว่านอกจากจะมีสุขภาพดี และมีรูปร่างที่สมส่วนอีกด้วย แผนกโภชนาการ โรงพยาบาลวิภาวดี  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เสาหลักของชีวิตไม่ดี อาจทำให้ชีวิตคุณพังได้

เสาหลักของชีวิตไม่ดี อาจทำให้ชีวิตคุณพังได้           ไพรัช บุญลือ หนุ่ม Office วัย 33 ปี เข้ารับการผ่าตัดด้วยอาการของหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท ที่คลินิกโรคกระดูกสันหลังของ รพ.วิภาวดี อาการของหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท เป็นอย่างไร และอันตรายมากแค่ไหน คุณไพรัช จะมาเล่าให้เราฟังกัน           ผมเป็นหนุ่ม Office งานของผมต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เป็นประจำ ผมมีอาการปวดบริเวณเอวและหลังบ่อยมาก เรียกว่า เป็นๆ หายๆอยู่ตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งผมมีอาการปวดที่บริเวณบั้นเอวและร้าวมาถึงก้นกบ นั่งก็ปวด เดินก็ปวดมาก จนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ อาการปวดดังกล่าว มีความรุนแรงมากขึ้น และเริ่มปวดร้าวลงไปถึงต้นขา ผมปวดมากจนทนไม่ไหวต้องมาพบแพทย์ที่ รพ.วิภาวดี อาการตอนนั้นคือ ผมเริ่มมีอาการชาตั้งแต่หัวเข่าจนถึงข้อเท้าและนิ้วเท้า และรู้สึกว่าแขนขามีอาการอ่อนแรง พญ.กัลยา ดำรงศักดิ์ อายุรแพทย์ประสาทวิทยา รพ.วิภาวดี ตรวจและแนะนำให้ผมทำ MRI (Magnetic Resonance Imaging คือ การตรวจอวัยวะต่างๆของร่างกาย โดยใช้สนามแม่เหล็กแรงสูงและความถี่วิทยุร่วมกับคอมพิวเตอร์ ภาพที่ได้จะมีรายละเอียดชัดเจนเหมือนภาพถ่ายจริง) ผลจากการทำ MRI พบว่า หมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท ซึ่งคุณหมอกัลยาจึงส่งต่อให้ นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ศัลยแพทย์ประสาทวิทยารพ.วิภาวดีดูแลรักษาต่อไป คุณหมอเมธีอธิบายให้ผมฟังว่า เกิดการปลิ้นของไส้ในของหมอนรองกระดูกสันหลัง ที่มีลักษณะคล้ายเจลลี่มาทางด้านหลัง เข้าไปในโพรงของไขสันหลัง และไปเบียดทับเส้นประสาทที่มาเลี้ยงความรู้สึก และการทำงานของกล้ามเนื้อแขนขา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมมีอาการชาตั้งแต่บริเวณหัวเข่าจนถึงนิ้วเท้า คุณหมอแนะนำให้ผมเข้ารับการผ่าตัด เพราะถ้าไม่ได้รับการผ่าตัด อาจจะทำให้ผมเป็นอัมพาตได้            ผมตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดทั้งๆ ที่ในใจยังรู้สึกกลัวมาก แต่ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณหมอเมธี ว่าท่านมีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดมาก บวกกับมีความมั่นใจในเครื่องมือ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ของ รพ.วิภาวดี ผมจึงตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด หลังจากผ่าตัดคุณหมอเมธีบอกกับผมว่า ผลของการผ่าตัดออกมาดี แต่ผมต้องนอนรักษาตัวต่อที่ รพ. อีกซักระยะหนึ่ง เพื่อนบอกกับผมว่า แผลผ่าตัดของผมเล็กนิดเดียว ซึ่งก็คงเป็นเพราะว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ของ รพ.วิภาวดี ตอนนี้ผมไม่มีอาการปวดร้าว หรือชาที่บริเวณขาเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังมีอาการเจ็บแผลบริเวณที่ผ่าตัดอยู่บ้าง คุณหมอเมธีแนะนำให้ผมออกกำลังกาย ทำกายภาพบำบัด รวมถึงแนะวิธีการนั่งทำงานที่ถูกลักษณะ และไม่ควรนั่งทำงานนานๆ ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ผมปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่ง จนวันนี้ผมมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ และสามารถกลับไปทำงานได้เหมือนเดิมแล้วครับ            เพราะโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลัง ไม่ได้เป็นแต่เฉพาะผู้สูงวัยเหมือนแต่ก่อนแล้ว ปัจจุบัน วัยหนุ่มสาวก็เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังมีมากขึ้น โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ Office ทั้งหลาย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการปวดหลังเป็นประจำ อย่านิ่งนอนใจ คลินิกโรคกระดูกสันหลัง รพ.วิภาวดี พร้อมให้บริการคุณ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ความดันโลหิตสูง สาเหตุของความดันโลหิตสูง อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่

ความดันโลหิตสูง สาเหตุของความดันโลหิตสูง อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ สาเหตุของความดันโลหิตสูง อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่      1. พวกที่หาสาเหตุได้ เช่น จากโรคไตอักเสบ เส้นเลือดแดงตีบ พิษแห่งครรภ์ เป็นต้น       2. พวกที่หาสาเหตุไม่พบ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงส่วนมากมักจะเป็นชนิดนี้ บุคคลประเภทใดที่มักจะเป็นความดันโลหิตสูง      1. ส่วนมากมักพบได้ในผู้สูงอายุโดยเฉพาะอายุตั้งแต่ 40-50 ปีขึ้นไป      2. พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวัยหมดประจำเดือนพบได้บ่อย      3. พบมากในคนอ้วน แต่คนผอมก็พบบ้างเหมือนกัน      4. อาจเนื่องจากกรรมพันธุ์ประมาณ 30-40 %      5. ในบุคคลที่มีอารมณ์รุนแรง เคร่งเครียด ตื่นเต้น ตกใจง่าย ดีใจง่าย เสียใจง่าย อารมณ์ที่เปลี่ยน แปลงรวดเร็วอาจจะกระตุ้นให้ความดันโลหิตสูงขึ้นชั่วคราวในตอนแรก แล้วจะค่อยลดลงเอง แต่ถ้าเกิดบ่อยและนานเข้า ความดันโลหิตก็จะสูงอย่างถาวรซึ่งถ้าสูงมากก็เป็นอันตรายได้ อาการ           ผู้ป่วยด้วยความดันโลหิตสูงระยะเริ่มแรกส่วนใหญ่จะไม่มีอาการอาจตรวจพบโดยการตรวจเช็คสุขภาพประจำปี หรือเจ็บป่วยด้วยโรคอื่นแล้วแพทย์วัดความดันของเลือดพบว่าผิดปกติ สำหรับที่รายมีอาการจะมีอาการมึนงง ตาพร่ามัว ปวดศรีษะตรงท้ายทอย มักจะปวดตอนตื่นนอน เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย บางรายเลือดกำเดาออกบ่อยๆ อาการดังกล่าวอาจเกิดจากโรคอื่นได้อีกหลายโรคและที่สำคัญที่สุดความดันโลหิตสูงบางรายอาจไม่มีอาการใดเลยก็ได้ นอกจากตรวจวัดด้วยเครื่องมือแพทย์จึงจะทราบ ฉะนั้นถ้าท่านสงสัยว่าเป็นโรคนี้หรือท่านที่มีอายุเกิน 35 ปี ควรตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง การปฏิบัติตัว           ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ เพื่อรักษาให้ความดันเลือดลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ และเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น หัวใจโต หรือการไหลเวียนของเลือดในไตลดลง หลอดเลือดในสมองแข็งและเปราะ ฯลฯ การรักษาความดันโลหิตสูงต้องเป็นการรักษาของแพทย์ ที่จะตรวจและให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัว การใช้ยา แต่ผู้ป่วยก็ต้องปฏิบัติตัว เพื่อช่วยให้ความดันโลหิตลดลงได้ง่ายขึ้น คือ      1. การพักผ่อนต้องพักผ่อนทั้งทางร่างกายและจิตใจ พยายามควบคุมอารมณ์และจิตใจไม่ให้ตึงเครียด ขุ่นมัวและวู่วาม      2. คนอ้วนต้องลดน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ      3. ระวัง อย่าให้หกล้ม หรือศีรษะ กระทบกระแทก เพราะอาจจะทำให้หลอดเลือดในสมองแตก เป็นอัมพาตได้      4. ไม่ควรวิตกกังวลหรือให้ความสำคัญกับระดับความดันโลหิตที่วัดไว้แต่ละครั้ง ความดันโลหิตในบุคคลเดียวกันเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามภาวะแวดล้อมต่างๆในแต่ละวัน ควรให้แพทย์เป็นผู้ตัดสินว่า ระดับความดันโลหิตที่เปลี่ยนแปลง มีความสำคัญอย่างไรหรือไม่      5. ต้องควบคุมอาหาร  อาหารสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง       1. หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด เพราะเกลือทำให้ความตึงตัวของผนังหลอดโลหิตแดง เพิ่มขึ้น ทำให้ความ ดันเลือด Diastolic สูงขึ้น      2. อาหารพวกเนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่วเมล็ด ซึ่งเป็นอาหารพวกโปรตีน ถ้าไตทำหน้าที่ได้ตามปกติก็ไม่ต้อง ลดลง แต่ถ้ามีอาการทางไตแทรกซ้อน ต้องลดโปรตีน      3. อาหารไขมันอยู่ระดับกลาง ค่อนข้างต่ำ ควรหลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์และพวกกะทิ      4. อาหารหวานจัด เช่น ขนมหวานทุกชนิดพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด เพราะจะทำให้น้ำหนักตัว และระดับไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น      5. เครื่องดื่มต่างๆ เช่น ชา กาแฟ ซึ่งมีสารคาฟอีนสูง กระตุ้นให้หัวใจทำงานหนักขึ้น สูบฉีดโลหิตแรงขึ้น เป็นอันตรายสำหรับผู้มีความดันโลหิตสูง      6. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ จะทำให้หลอดเลือดขยายตัว การไหลเวียนของโลหิตเร็วและแรงขึ้น หัวใจต้องทำงานหนักและแรงโลหิตจะพุ่งสูงขึ้นนับว่าเป็นอันตรายยิ่ง ควรงดเด็ดขาด และงดสูบบุหรี่  สรุป           การจัดอาหาร สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ถ้ามีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ จะต้องลดลงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และผู้ที่มีน้ำหนักตัวปกติก็ต้องระวังไม่ให้เพิ่มมากขึ้น ควรรับประทานอาหารที่มีแรงงานต่ำ ไม่มีไขมันและแป้ง น้ำตาลมากรส อาหารค่อนข้างจืด จะเติมเกลือ ซอส น้ำปลาได้บ้าง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัดทุกชนิด รวมทั้งอาหารที่เก็บถนอม โดยการใช้เกลือ เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ผักดองเค็ม หมูแฮม เบคอน และขนมปังเค็ม ชนิดต่างๆ  ด้วยความปรารถนาดีจากโรงพยาบาลวิภาวดี  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

วัยทอง หรือหมดประจำเดือนคืออะไร

วัยทอง หรือหมดประจำเดือนคืออะไร           วัยทองเป็นวัยหนึ่งของชีวิต ซึ่งเริ่มด้วย วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน วัยทอง วัยรุ่นและวัยทองเป็นวัยที่รังไข่สร้างฮอร์โมนออกมาน้อยและไม่สม่ำเสมอ ทำให้มีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ รังไข่ทำงานน้อยลง ทำให้สร้างฮอร์โมนออกมาน้อยลง (Estrogen ,Progesterone) ทำให้บางท่านอาจจะมีประจำเดือนมากขึ้น บางคนน้อยลง บางคนประจำเดือนห่าง บางคนก็มาถี่ ฮอร์โมนนี้จะช่วยในการมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ ความแข็งแรงของกระดูก ลดระดับ cholesterol  วัยทองจะเริ่มเมื่อไร           หญิงอายุตั้งแต่30 ปีขึ้นไปจน 50 ปีสามารถเกิดวัยทองได้ โดยเฉลี่ยคืออายุ 51 ปีผู้ที่สูบบุหรี่จะเกิดวัยทองได้เร็วกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่ ผู้ที่ตัดรังไข่ก็สามารถเกิดวัยทองได้ทันทีหลังตัดรังไข่ อาการเตือนของวัยทองมีอะไรบ้าง           เมื่อระดับฮอร์โมน Estrogen และ Progesterone ลดลงจะทำให้เกิดอาการหลายอย่างบางคนเป็นมากบางคนเป็นน้อย( ผลของเอสโตรเจนต่อร่างกาย) อาการอาจจะเป็นไม่กี่เดือนก็หาย แต่โดยเฉลี่ยประมาณ 4 ปี อาการต่างๆมีดังนี้      1. ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เช่น มาเร็ว มาช้า มามาก มาน้อย มานาน       2. ร้อนตามตัว ผู้ป่วยจะมีร้อนโดยเฉพาะส่วนบนของร่างกาย แก้ม คอ หลังจะแดงหลังจากนั้นจะตามด้วยเหงื่อออกและหนาวสั่นในเวลากลางคืน อาการนี้จะเป็นนาน 1-5 นาที       3. ปัญหาเกี่ยวกับช่องคลอดและกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากระดับ Estrogen ลดลงทำให้เยื่อบุช่องคลอดแห้งและบางลง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดขณะร่วมเพศ และมีการติดเชื้อในช่องคลอดบ่อยขึ้น นอกจากนั้นยังมีเรื่องกั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ดเวลาจามหรือไอ       4. การคุมกำเนิด ควรคุมกำเนิดอย่างน้อย 1 ปีหลังประจำเดือนครั้งสุดท้าย ผู้ป่วยบางคนจะมีความรู้สึกทางเพศลดลง แต่บางรายมีความรู้สึกทางเพศสูงขึ้น       5. มีปัญหาเรื่องการนอน นอนหลับยาก ตื่นเร็ว อาจจะตื่นกลางคืนและเหงื่อออกมาก ผู้ป่วยจะบ่นเรื่องเหนื่อย       6. ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ผันผวนโกรธง่าย       7. การเปลี่ยนแปลงทางรูปร่าง เอวจะเริ่มหายไป ไขมันที่เคยเกาะบริเวณขาจะเปลี่ยนไปเกาะบริเวณเอวกล้ามเนื้อลดลง มีไขมันเพิ่ม ผิวหนังเริ่มเหี่ยว       8. ปัญหาอื่น เช่น ปวดศีรษะ ความจำลดลง ปวดตามตัว  วัยทองกับโรค            เมื่อเข้าสู่วัยทองจะมีโรคหลายโรคเกิดมากในวัยนี้ ได้แก่ โรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน มะเร็งเต้านม แต่ไม่ใครสามารถที่จะคาดเดาว่าจะเป็นใครจะเป็นโรคดังกล่าว แต่เราจะพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงว่าวัยทองคนใดมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอะไร ดังนั้นท่านที่อยู่ในวัยทองท่านจะต้องรู้สิ่งต่อไปนี้เพื่อการตัดสินใจรับฮอร์โมนทดแทน      • รายละเอียดเกี่ยวกับโรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน โรคมะเร็งเต้านม       • ปัจจัยเสี่ยงของแต่ละโรค       • ผลของฮอร์โมนทดแทนต่อภาวะดังกล่าว  โรคที่มักจะเกิดกับวัยทอง      • ผู้ป่วยจะเกิดโรคกระดูกพรุนได้เร็ว       • ผู้ป่วยวัยทองจะมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มผู้ป่วยควรควบคุมปัจจัยเสี่ยง       • มะเร็งเต้านม  เมื่อเข้าสู่วัยทอง ต้องทำอะไรบ้าง       • ให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ลดไขมัน       • ลดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ       • เลิกบุหรี่และแอลกอฮอล์       • ใช้สารหล่อลื่นก่อนร่วมเพศ       • ตรวจเต้านม มะเร็งปากมดลูกทุกปี  การรักษาโรคที่มากับวัยทองโดยไม่ใช้ฮอร์โมน           ก่อนการให้ฮอร์โมนทดแทนจะต้องประเมินความรุนแรงของโรคที่พบร่วมกับวัยทอง เช่น อาการร้อนตามตัว กระดูกโปร่งบางและต้องมาเปรียบเทียบกับความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจากการให้ฮอร์โมน เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ หลอดเลือด และจะต้องพิจารณาว่ามีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่ในการรักษาภาวะเหล่านี้ ถ้าหากท่านมีอาการร้อนตามตัวจะแก้ไขอย่างไร       • เมื่อเริ่มเกิดอาการร้อนให้ไปอยู่ที่เย็นๆ       • ให้นอนในห้องที่เย็น       • ให้ดื่มน้ำเย็นเมื่อเริ่มรู้สึกร้อน       • หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดๆ และร้อน       • หลีกเลี่ยงสุรา       • หลีกเลี่ยงความเครียด เมื่อเวลาเครียดให้หายใจเข้าออกยาวๆ ช้าและใจเย็นๆ       • ถ้าหนาวให้ใส่เสื้อหลายชั้น และหากร้อนก็สามารถถอดทีละชั้น       • แพทย์บางท่าแนะนำให้ใช้วิตามิน อี ซึ่งจะลดอาการได้ร้อยละ 40 clonidine และยาลดอาการซึมเศร้ากลุ่ม SSRI เช่น Prozac Zoloft       • อาหารซึ่งมีถั่วเหลืองจะช่วยลดอาการร้อนตามตัว  อาการช่องคลอดแห้ง เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ปัสสาวะบ่อยจะแก้ไขอย่างไร      • เนื่องจากเนื้อเยื่อของช่องคลอดและกระเพาะปัสสาวะจะฝ่อทำให้เกิดอาการดังกล่าว และหากมีข้อห้ามในการรับประทานฮอร์โมนทดแทน หรือผู้ป่วยไม่อยากจะรับความเสี่ยงจากการให้ฮอร์โมนก็สามารถใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดทาช่องคลอดได ้โดยระดับยาในเลือดจะมีน้อยกว่าชนิดรับประทาน 1 ใน 4 แต่จะให้ผลดีต่อช่องคลอดมากกว่าชนิดรับประทาน 4 เท่า ในการใช้ยาครั้งแรกให้ทาทุกวันหลังจากนั้นให้ทาอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งหรือแล้วแต่การปรับของผู้ป่วย       • นอกจากนั้นบางคนอาจจะใช้ยาที่เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ช่องคลอดแต่ไม่ทำให้เนื้อเยื่อหนาตัว อาการนอนไม่หลับและอารมณ์แปรปรวน       • ใช้ยายาลดอาการซึมเศร้ากลุ่ม SSRI ซึ่งจะไปเปลี่ยนแปลงระดับ Serotonin ในสมองทำให้ลดอาการซึมเศร้า  การให้ฮอร์โมนทดแทนในผู้ป่วยวัยทอง           ก่อนการให้ฮอร์โมนทดแทนจะต้องประเมินความรุนแรงของโรคที่พบร่วมกับวัยทอง เช่น อาการร้อนตามตัว กระดูกโปร่งบางและต้องมาเปรียบเทียบกับความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจากการให้ฮอร์โมน เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ หลอดเลือด และจะต้องพิจารณาว่ามีทางเลือกอื่นอีก หรือไม่ในการรักษาภาวะเหล่านั้นผู้ป่วยบางคนเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทองแพทย์จะให้ยาคุมกำเนิดรับประทานซึ่งมีผลดีหลายประการ เช่น ทำให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ลดอาการร้อนตามตัว ลดอัตราการเกิดมะเร็งรังไข่ ข้อเสียคือไม่ทราบว่าหมดประจำเดือนหรือยัง ถ้าสงสัยก็ให้หยุดยาคุมกำเนิด 4-5 เดือนแล้วดูว่าประจำเดือนมาหรือไม่ เมื่อเข้าสู่วัยทองจริงแพทย์จะพิจารณาให้ฮอร์โมนที่มีส่วนประกอบของ Estrogen และ Progesterone ผลดีของการให้คือ ลดอาการ ป้องกันกระดูกพรุน และป้องกันโรคหัวใจ แต่ต้องระวังโรคแทรกซ้อนคือ โรคตับอักเสบ ไขมัน triglyceride สูง โรคมะเร็งเต้านม Phytoestrogen           พืชหลายชนิด เช่น ธัญพืช ผัก ถั่วต่าง ถั่วเหลือง จะมีสารซึ่งออกฤทธิ์คล้าย Estrogen แต่ยังไม่แนะนำให้ใช้รักษาเนื่องจากยังไม่มีรายงานเรื่องประสิทธิภาพ และผลข้างเคียง  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
<