10 พฤติกรรมทำลายไต ควรลดเลี่ยง

10 พฤติกรรมทำลายไต ควรลดเลี่ยง ไต เป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วเหลือง มี 2 ข้าง อยู่ด้านหลังใต้กระดูกชายโครงบั้นเอว ซ้ายขวาข้างละ 1 อัน   หน้าที่ของไต ขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญอาหาร  รักษาความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย สร้างสารควบคุมความดันโลหิต กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด กำจัดสารพิษ สารเคมี รวมทั้งขับถ่ายยาออกจากร่างกาย   10  พฤติกรรมทำลายไต ควรลดเลี่ยง กลั้นปัสสาวะ Holding Urine ดื่มน้ำไม่เพียงพอ Do not Drinking Enoungh Water รับประทานอาหารรสเค็มมากเกินไป Excessive Salt Intake  ไม่รักษาอาการติดเชื้อทั่วไปอย่างถูกต้องในทันที Do Not Treat The Intection Immediately รับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป Excessive Animal Protein Intake ใช้ยาฉีดอินซูลิน ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน To Long Use Of Insulin ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป Excessive Alcohl Use พักผ่อนไม่เพียงพอ Sleep Deprivation ใช้ยาระงับความเจ็บปวดบ่อยๆ Painkillers Abuse รับประทานอาหารไม่เพียงพอ Vitamin and Mineral Deficiency   ด้วยความปรารถนาดี รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

หลับสบายด้วย 10 ข้อแนะนำ

หลับสบายด้วย 10 ข้อแนะนำ   การนอนหลับถือได้ว่ามีส่วนสำคัญพอๆ กับการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย เพราะทั้ง 3 ส่วนนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง สำหรับสุขลักษณะการนอนของผู้ใหญ่ไว้ 10 ข้อ ดังนี้ 1. กำหนดเวลานอนและตื่นนอนเป็นประจำ 2. ถ้าคุณมีนิสัยที่ชอบหลับพักกลางวัน ก็ไม่ควรจะนอนกลางวันเกิน 45 นาที 3. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนอน 4 ชั่วโมง และไม่สูบบุหรี่ 4. หลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนก่อนนอน 6 ชั่วโมง ซึ่งรวมถึงกาแฟ ชา และโซดา รวมถึงช็อกโกแลตด้วย 5. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด หรืออาหารที่มีรสหวานก่อนการนอนหลับ 4 ชั่วโมง สามารถรับประทานอาหารว่างได้ก่อนนอนได้ 6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 7. ใช้เตียงนอนในแบบที่นอนแล้วรู้สึกสบายที่สุด 8. ตั้งอุณหภูมิของห้องให้เหมาะสม และถ่ายเทสะดวก 9. ปิดเสียงรบกวนทั้งหมด รวมถึง ลดแสงสว่างให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 10. ใช้เตียงในการหลับนอนเท่านั้น หลีกเลี่ยงการนำงานมาทำบนเตียง                                              ที่มาจาก : เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

มารู้จักการจัดฟันกันเถอะ

การจัดฟัน คืออะไร การจัดฟัน (Orthodontic Treatment) เป็นการเคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม การจัดฟัน คืออะไร การจัดฟัน (Orthodontic Treatment) เป็นการเคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม โดยอาศัยเครื่องมือบางชนิดซึ่งมีทั้งแบบถอดได้และแบบที่ยึดติดอยู่กับตัวฟัน แบบที่อยู่ในช่องปากและแบบที่อยู่นอกช่องปาก นอกจากนี้ การจัดฟัน ยังรวมไปถึง การแก้ไขลักษณะนิสัยที่ผิดปกติในการบดเคี้ยว การเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของขากรรไกรอีกด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านความสวยงาม และการทำหน้าที่ ข้อดีและข้อเสียของการจัดฟัน ข้อดีของการจัดฟัน 1. การบดเคี้ยวอาหาร การจัดฟันจะทำให้บดเคี้ยวอาหารได้ดียิ่งขึ้น และย่อยอาหารได้ดียิ่งขึ้น กระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป เนื่องจากการบดเคี้ยวเป็นขั้นแรกในการย่อยอาหาร 2. ทำให้ปัญหาต่างๆ ทางทันตกรรมลดลง - ฟันซ้อนเกจะทำให้เราทำความสะอาดหรือแปรงฟันได้ยาก และไม่ทั่วถึง ส่งผลให้มีคราบอาหารและคราบจุลินทรีย์รวมทั้งหินปูนมาเกาะจับที่ตัวฟันอยู่เยอะ ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้นานๆ ก็จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดฟันผุและโรคเหงือกได้ - ฟันซ้อนเกจะทำให้เมื่อเราใช้ฟันในการบดเคี้ยวอาหารประจำวัน จะเกิดการสึกของฟันในตำแหน่งที่ไม่ควรจะเกิด ทำให้การสบฟันผิดจากตำแหน่งปกติที่ควรจะเป็น จึงส่งผลให้ยิ่งนานไป ยิ่งจะทำให้เกิดปัญหาต่อตัวฟัน เหงือกและข้อต่อขากรรไกร 3. ความสวยงาม การจัดฟันจะทำให้ฟันเรียงตัวสวยงาม เป็นการเสริมสร้างบุคลิกภาพและเพิ่มความมั่นใจแก่ตัวเองอีกด้วย ข้อเสียของการจัดฟัน                                      1. ฟันผุ เหงือกอักเสบ เนื่องจากการที่เรามีเครื่องมือจัดฟันอยู่ในช่องปาก จะทำให้การทำความสะอาดเป็นไปได้ยาก ส่งผลให้เกิดฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่าย ผู้ที่จัดฟันจึงควรแปรงฟันอย่างสะอาดทั่วถึงหลังจากมื้ออาหารทุกมื้อ 2. อาการแพ้สาร ที่เป็นส่วนประกอบในเครื่องมือจัดฟัน บางคนแพ้สารนิเกิลที่เป็นส่วนประกอบในเครื่องมือจัดฟัน แต่พบได้น้อยมาก 3. อาการเจ็บ พบได้เกือบทุกคนที่จัดฟัน อาการเจ็บนี้มักเกิดจากการเคลื่อนตัวของฟัน หรือเกิดจากเครื่องมือจัดฟันไปทิ่มกับเนื้อเยื่อภายในช่องปาก อาการเจ็บจะเป็นในบางช่วงของการจัดฟันเท่านั้น 4. อาการปวดข้อต่อขากรรไกร อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการจัดฟัน เนื่องจากฟันเคลื่อนตัวไปในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมต่อการบดเคี้ยว 5. ฟันตายหรือรากฟันมีการละลายตัว พบได้ไม่บ่อยนักในผู้ที่มีการจัดฟัน อย่างไรก็ตามเราพบว่าในระหว่างการจัดฟันนั้น ฟันที่ตายไปแล้ว อาจจะย้อนกลับมามีชีวิตดังเดิมได้ และในคนปกติที่ไม่ได้จัดฟันรากฟันก็จะมีการละลายตัวได้เองอยู่แล้ว ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดฟัน                  ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดฟันนั้น จะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย โดยเฉลี่ยการจัดฟันแบบติดแน่นนั้นใช้เวลาประมาณ 1.5 - 2.5 ปี แต่ก็ยังมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดฟันแตกต่างกันไป ดังนี้ 1. ผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า มักจะใช้ระยะเวลาในการจัดฟันมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 2. การจัดฟันที่มีการถอนฟันร่วมด้วย มักจะใช้เวลาในการจัดฟันมากกว่าการจัดฟันที่ไม่มีการถอนฟันร่วมด้วย 3. การจัดฟันที่มีการผ่าตัดขากรรไกรร่วมด้วย มักจะใช้เวลามากกว่าการจัดฟันที่ไม่มีการผ่าตัดขากรรไกร 4. การผิดนัดบ่อยๆ ย่อมทำให้เวลาในการจัดฟันนานขึ้น         5. การไม่ปฏิบัติตามที่แพทย์สั่ง เช่น การใส่ยางหรือการใส่เครื่องมือจัดฟันชนิดถอดได้ ย่อมทำให้เวลาในการจัดฟันมากขึ้น 6. การรับประทานอาหารโดยการไม่ระมัดระวัง จะทำให้เหล็ก ยางหรือลวดจัดฟันหลุด หรือเสียหาย ย่อมทำให้ระยะเวลาในการจัดฟันมากขึ้น  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

WORLD KIDNEY DAY 2018

 WORLD  KIDNEY   DAY    2018    ตรงกับวันที่ 8  มีนาคม  พ.ศ.2561 หัวข้อเรี่อง  Kidneys & Women s  Health ไตและสุขภาพของผู้หญิง            โรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease :CKD) เป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลก ผลที่ตามมาคือภาวะไตวายและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ผู้หญิง 195 ล้านคนทั่วโลกเป็นโรคไตเรื้อรัง เป็นสาเหตุตายอันดับที่ 8 ทุกปีจะมีผู้หญิงตาย เกือบ 600,000 คนด้วยโรคไต   ความเสี่ยงของหญิงและชายเท่ากัน และอาจมากกว่าในบางแห่งผู้หญิงพบ 14% ผู้ชายพบเพียง 12% แต่ผู้หญิงจะได้รับการรักษาน้อยกว่าทั้งการฟอกเลือดและการปลูกถ่ายไต ผู้หญิงมักเป็นผู้บริจาคไตมากกว่าผู้รับไตจำเป็นที่จะต้องให้ได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมกัน           โรค เอส แอล อี (SLE) เป็นโรคที่พบบ่อยในผู้หญิงเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองมีโรคแทรกซ้อนทำให้ไตอักเสบและไตทำงานน้อยลงในที่สุดเป็นโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย  การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะพบบ่อยในผู้หญิงทุกวัยตั้งแต่เด็กวัยเจริญพันธุ์และวัยชรา โดยเฉพาะระหว่างตั้งครรภ์ ถ้ารักษาไม่ดีอาจเกิดการติดเชื้อในกระแสโลหิต เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันและหรือเสียชีวิตได้ ถ้าเป็นในเด็กหญิงบ่อยๆ จะเกิดแผลเป็นในไตกลายเป็นโรคไตเรื้อรัง การตรวจปัสสาวะจะสามารถพบเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว ไข่ขาวในปัสสาวะจะวินิจฉัยโรคไตได้ง่าย โรคไตและการตั้งครรภ์             ผู้หญิงที่มีโรคไตเรื้อรัง  จะมีลูกยากและผลการตั้งครรภ์ไม่ดีทั้งแม่และเด็ก  แม่มักมีความดันโลหิตสูงและหรือตั้งครรภ์เป็นพิษ  (Toxemia of Pregnancy)   ลูกมักคลอดก่อนกำหนดในผู้หญิงที่เข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่รักษาโดยการฟอกเลือดมักไม่ตั้งครรภ์หรือแท้งแต่ผู้ที่ปลูกถ่ายไตและไตทำงานปกติสามารถตั้งครรภ์ได้เด็กอาจคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักน้อยกว่าเด็กปกติ           การตั้งครรภ์ทำให้ผู้หญิงเสี่ยงที่จะเป็นโรคไต   ในภาวะพิษจากการตั้งครรภ์ (Pre -eclamsia)  มีความดันโลหิตสูงและพบไข่ขาวในปัสสาวะ  อาจทำให้แม่เสียชีวิต   หรือเป็นไตวายเฉียบพลัน  และอาจเป็นโรคไตเรื้อรังได้    ในประเทศที่กำลังพัฒนา  การดูแลรักษาระหว่างตั้งครรภ์และคลอดไม่ดี   ไม่มีการฟอกเลือดทำให้อัตราเสียชีวิตสูง   ดังนั้นการดูแลผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ให้ดี  จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคไตและการเสียชีวิตได้          โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยพบว่าในการลงทะเบียนผู้ป่วยโรคไตวายระยะสุดท้าย ที่รักษาโดยวิธีบำบัดทดแทนไต พ.ศ. 2557 พบว่าสาเหตุเกิดจากเบาหวาน 38.47% ความดันโลหิตสูง  30.00% ผู้ชายฟอกด้วยเครื่องไตเทียม 52.5% ผู้หญิง 47.5%  ในการรักษาโดยการล้างช่องท้องถาวร  ผู้ชาย 49.2%       ผู้หญิง50.8%   โรคเบาหวานชนิด 2 พบมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศเอเซีย ดังนั้นการค้นหาและรักษาโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย โรคหัวใจ โรคอัมพาตอัมพฤกษ์ ตาบอด  และถูกตัดขาเป็นต้น            การค้นหาโรคเบาหวานโดยการเจาะน้ำตาลก่อนอาหารอาจไม่ไวพอ    การเจาะน้ำตาล 2 ชั่วโมงหลังอาหาร   หรือให้รับประทานกลูโคส  75 กรัมและเจาะน้ำตาล 2 ชั่วโมงต่อมา  ถ้าเกิน 200 mg/dl   แสดงว่าเป็นเบาหวาน ถ้าระหว่าง 140 - 200 mg/dl  แสดงว่ามีความโน้มเอียงที่จะเป็นเบาหวาน  ต้องตรวจบ่อยๆ  โดยเฉพาะคนที่มีพ่อและหรือแม่เป็นเบาหวาน   คนอ้วนลงพุง  เป็นต้น           โรคความดันโลหิตสูงส่วนมากเป็นโรคกรรมพันธุ์   พบในคนอายุุ 35 ปีขึ้นไป   การตรวจค้นไม่ยาก  ถ้าวัดความดันโลหิตมากกว่า 140/90  มิลลิเมตรปรอท ก็เป็นโรคความดันโลหิตสูง ควรต้องพบแพทย์และรับการรักษา  การไม่รักษาจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนดังกล่าวมาแล้ว  นอกจากนี้ความดันโลหิตสูงอาจเกิดจากโรคไต  และเกิดร่วมกับโรคเบาหวาน  โรคเก๊าท์  เป็นต้น            การรักษาโรคทั้งสองรวมทั้งโรคเรื้อรังอื่นๆ  ผู้ป่วยต้องยอมรับการรักษาและปฏิบัติตน   รับประทานอาหาร  ยา ออกกำลังกายเพื่อไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ  โดยเฉพาะโรคไต   ผู้หญิงมีโอกาสที่โรคจะเลวร้ายลงระหว่างหรือหลังตั้งครรภ์   ต้องดูแลตนเองให้ดีเพื่อจะมีชีวิตอยู่กับลูกและครอบครัวนานๆ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง             หากตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารเป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) ระดับน้ำตาลในเลือดในบุคคลปกติจะมีค่าน้อยกว่า 100 มก./ดล. ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในช่วง 100-125 มก./ดล. จะถือว่าเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานแต่ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดตั้งแต่ 126 มก./ดล. ขึ้นไป และเมื่อได้รับการตรวจซ้ำแล้วยังพบว่ามีค่าผิดปกติดังกล่าวอยู่อีกจะถือว่าเป็นบุคคลนั้นเป็นโรคเบาหวาน บุคคลกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวาน อ้วน อายุมากกว่า 40 ปี มีภาวะความดันโลหิตสูง เมื่อทดสอบความทนต่อน้ำตาล (กลูโคส) ด้วยการดื่มกลูโคส 75 กรัมแล้วพบว่าระดับน้ำตาลในเลือด 2 ชั่วโมงหลังดื่มกลูโคสอยู่ในช่วง 140-199มก./ดล.    มีไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงและระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL-C) ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ มีระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร 8 ชั่วโมงอยู่ระหว่าง 100-125 มก./ดล. มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานในอนาคตขึ้นกับจำนวนปัจจัยเสี่ยง เช่น ถ้าอ้วน มีอายุมากกว่า 40 ปี มีโรคความดันโลหิตสูง ไขมันสูง มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน หรือมีระดับน้ำตาลที่มากกว่า 100 มก./ดล. จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ทำไมต้องให้การรักษาถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูง           เนื่องจากระดับน้ำตาลที่สูงมากกว่า 180 มก./ดล. อาจจะทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย น้ำหนักตัวลดลง อ่อนเพลีย             ระดับน้ำตาลก่อนอาหารตั้งแต่ 126 มก./ดล. จะมีความสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น โรคตา โรคไต เส้นประสาทเสื่อม โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งผู้ป่วยบางท่านมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า การที่ควบคุมน้ำตาลไม่เกิน 180 มก./ดล. ก็เพียงพอเพราะไม่มีอาการจากโรคเบาหวาน ซึ่งอาจจะเป็นจริงในผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ป่วยสูงอายุ มีโรคแทรกซ้อนหรือผู้ป่วยที่มีโรคร่วมที่รุนแรง หรือมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อยๆ แต่ในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่อยู่น้อยและคาดว่าจะมีอายุยืนยาวควรจะควบคุมระดับน้ำตาลให้ปกติหรือใกล้เคียงปกติ (FPG น้อยกว่า 80-130 มก./ดล.) เพราะจะลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานในระยะยาวได้ เป้าหมายโดยรวมในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ปัจจัยเสี่ยง เป้าหมาย · ระดับน้ำตาลหลังอดอาหารเป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) 80-130 มก./ดล. (ถ้าระดับที่น้อยกว่า 110 มก./ดล. จะใกล้เคียงคนปกติ) · ระดับน้ำตาลหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง น้อยกว่า 180 มก/ดล.(ถ้าระดับที่น้อยกว่า 140 มก./ดล.จะใกล้เคียงคนปกติ) · ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด 3 เดือน (HbA1c) น้อยกว่า 7% (ถ้าระดับที่น้อยกว่า 6.5% จะถือว่าดีมาก) · ความดันโลหิต น้อยกว่า 140/90 มม. ปรอท (พิจารณาระดับต่ำกว่านี้ถ้ามีโปรตีนชนิดเดียวกับไข่ขาวในปัสสาวะ) · ระดับไขมันไม่ดี (LDL-C) น้อยกว่า 100 มก./ดล. น้อยกว่า 70 มก./ดล. (ถ้ามีโรคหัวใจและหลอดเลือด) · สูบบุหรี่ งดการสูบบุหรี่ · อ้วน ควรเริ่มต้นลดน้ำหนักลง 5-7% จากน้ำหนักตัวเดิม · ผู้ป่วยและครอบครัวขาดความรู้และดูแลตนเองไม่ได้ ผู้ป่วยและครอบครัวมีความรู้และดูแลตนเองได้   ด้วยความปรารถนาดี จากศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อและไต รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคปริทันต์หรือโรคเหงือกอักเสบ (รำมะนาด)

โรคปริทันต์หรือโรคเหงือกอักเสบ(รำมะนาด)          จะมีเลือดออกขณะแปรงฟัน เหงือกบวมแดง มีกลิ่นปาก เหงือกร่น มีหนองออกจากร่องเหงือก ฟันโยก ฟันเคลื่อนห่างออกจากกัน สาเหตุของโรคเกิดจากหินปูนหรือน้ำลายซึ่งก็คือ แผ่นคราบจุลินทรีย์ที่แข็งตัว เนื่องจากมาตุแคลเซียมจากน้ำลายเข้าไปตกตะกอน แผ่นคราบจุลินทรีย์มีลักษณะเป็นคราบสีขาวขุ่นนิ่ม ที่ประกอบด้วยเชื้อโรคติดอยู่บนตัวฟัน ขบวนการเกิดคราบจุลินทรีย์ เริ่มต้นหลังจากที่แปรงฟันแล้ว เพียง 2-3 นาทีโดยจะมีเมือกใสของน้ำลาย มาเกาะที่ตัวฟัน จากนั้นเชื้อโรคที่มีอยู่ในปาก จะมาเกาะทับถมกันเข้าเกิดเป็นคราบจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด โรคฟันผุและโรคปริทันต์ เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป คราบจุลินทรีย์นี้ จะใช้น้ำตาลจากอาหารสร้างกรดและสารพิษ โดยกรดจะทำลายเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุ สารพิษจะทำให้เหงือกอักเสบ เกิดเป็นโรคปริทันต์         โดยหินปูนที่โผล่พ้นขอบเหงือกจะมองเห็นได้ แต่ส่วนที่อยู่ใต้เหงือกจะมองไม่เห็น หินปูนหรือคราบจุลินทรีย์ ที่ยึดติดอยู่บนหินปูนใต้เหงือก ไม่สามารถกำจัดออกได้ โดยวิธีการทำความสะอาดฟันด้วยตัวเอง ต้องอาศัยทันตแพทย์ช่วยกำจัดหินปูนให้ทันตแพทย์จะขูดหินปูนออก ทั้งเหนือเหงือกและใต้เหงือก ทำรากฟันให้ปราศจากสารพิษใดๆ เพื่อให้เหงือกยึดแน่น รอบตัวฟันเหมือนเดิม คำแนะนำสำหรับการขูดหินปูน 1. ผู้ป่วยควรมารับบริการขูดหินปูนอย่างน้อยปีละ 2ครั้ง และรับการตรวจฝันอย่างละเอียด 2. ภายหลังขูดหินปูนเสร็จใหม่ๆ อาจมีเลือดออกตามขอบเหงือกแต่เลือดจะค่อยๆ หยุดไหลไปเอง การบ้วนน้ำบ่อยๆ จะทำให้เลือดหยุดไหลได้ช้าลง 3. หลังจากขูดหินปูดในระยะ 1-2 สัปดาห์แรก อาจมีอาการระบมของเหงือกและเสียวฟันตามมาได้ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร้อนหรือเย็นจัด ให้ผู้ป่วยแปรงฟันอย่างระมัดระวังให้สะอาดและอาการเหล่านั้นจะค่อยๆหายไป

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

6 กลุ่มอาหารช่วยต้านโรคภูมิแพ้

6 กลุ่มอาหารช่วยต้านโรคภูมิแพ้        "โรคภูมิแพ้" เป็นโรคยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันป่วยกัน สาเหตุมาจากมลภาวะที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งวิธีการรักษาและการป้องกันมีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การทานยา หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นอาการ ออกกำลังกาย           ในวันนี้เราจึงมี 6 กลุ่มอาหารต้านโรคภูมิแพ้มานำเสนอ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของที่เหมาะสำหรับคนที่เบื่อการรักษาแบบเดิมๆ เป็นวิธีที่ทำให้ร่างกายของคุณดีจากภายใน อยากรู้ว่ามีกลุ่มอาหารอะไรบ้างรีบอ่าน แล้วหามารับประทานกันเลย รู้จักโรคภูมิแพ้         โรคภูมิแพ้เป็นกลุ่มของโรคที่มีอาการแสดงได้หลายระบบ เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดการสร้างภูมิที่ไปกระตุ้นให้มีการหลั่งสารขึ้นที่เนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะ จนเกิดเป็นอาการต่างๆ ออกมา ซึ่งอาการที่เกิดก็จะแตกต่างกัน ตามระดับความแพ้ อย่างลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูก คันตา เจ็บคอ บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้           สำหรับสาเหตุนั้นมีหลายสาเหตุ แต่สารก่อภูมิแพ้ส่วนใหญ่ที่พบบ่อยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ทำให้คนส่วนใหญ่เป็นเรื้อรัง ได้แก่ ฝุ่นละออง ละอองเกสร ควันบุหรี่ มลภาวะจากการจราจร การอยู่แต่ในห้องแอร์อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ขนสัตว์เลี้ยง รวมถึงกรรมพันธุ์ 6 อาหารต้านภูมิแพ้ 1. กลุ่มวิตามินซี : วิตามินซี มีบทบาทในการป้องกันการหลั่งฮิสตามีน ซึ่งเป็นสารสำคัญในร่างกายที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้อากาศ และการแพ้ต่างๆ อาหารเพิ่มวิตามินซี : ในผักใบเขียว เช่น ตำลึง ผักโขม บร็อคโคลี กะหล่ำปลี ในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น สับปะรด ส้ม สตรอเบอรี่ มะนาว โดยวัตถุดิบเหล่านี้สามารถดัดแปลงเมนูได้ตามที่คุณต้องการ 2. กลุ่มวิตามินเอ : ช่วยในเรื่องการสร้างเนื้อเยื่อ และช่วยเสริมสร้างเยื่อบุต่างๆ ของร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการเมื่อได้รับสารกระตุ้นภูมิแพ้ได้ อาหารเพิ่มวิตามิน : วิตามินชนิดนี้พบมากในกลุ่มผักผลไม้ที่มีสีเขียวเข้ม สีส้ม หรือสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป มะเขือเทศ เป็นต้น 3. กลุ่มโปรตีน : โปรตีนกลุ่มนี้สามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายได้ เพราะหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดของโปรตีน คือกรดอะมิโน ซึ่งเป็นสารสำคัญในการนำไปสร้างภูมิคุ้มกันต่างๆ อาหารเพิ่มโปรตีน : อย่างที่ทราบกันดี โปรตีนเป็นหนึ่งในอาหารหลัก 5 หมู่ ซึ่งจะมีมากในเนื้อสัตว์ที่เป็นเนื้อล้วน อย่างเนื้ออกไก่ เนื้อหมู และไข่ไก่ นอกจากนี้ก็ยังพบได้ในถั่วต่างๆ 4. กลุ่มโอเมก้า 3 : โอเมก้า 3 จะช่วยลดอาการอักเสบ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังสามารถต่อสู้กับกลุ่มเชื้อโรค หรือสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายได้เป็นอย่างดี อาหารเพิ่มโอเมก้า 3 : คุณสามารถเลือกทานได้จาก ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลากะพง ซึ่งอาหารกลุ่มนี้อาจมีส่วนไปกระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้ ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่นอนก่อนว่าคุณแพ้อาหารทะเลหรือไม่ ส่วนกรดไขมันโอเมก้า 3 ก็มีประโยชน์เช่นกัน พบมากในเมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่วเหลือง และผักใบสีเขียวเข้ม 5. กลุ่มซีลิเนียม : สารอาหารกลุ่มนี้จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม หรือสารกระตุ้นภูมิแพ้ได้ อาหารเพิ่มซีลิเนียม : พบมากในพืชตระกูลหอม เช่น หอมหัวใหญ่ หอมแดง เป็นต้น 6. กลุ่มฟลาโวนอยด์เควอเซทิน : สารชนิดนี้เป็นสารต้านอาการแพ้และลดการอักเสบ ช่วยยับยั้งการปล่อยสารฮิสตามินซึ่งเป็นตัวกระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้ อาหารเพิ่มฟลาโวนอยด์เควอเซทิน : พบมากในกระเทียม และพืชตระกูลหอม อย่างหอมหัวใหญ่ หอมหัวแดง และในแครอทผักกาดหอม แอปเปิ้ล เป็นต้น         นอกการทานอาหารต้านโรคภูมิแพ้เหล่านี้แล้ว อย่าลืมออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นอาการ ร่วมด้วย เพื่อให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรงและไกลโรคอย่างแท้จริง     ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคลำไส้แปรปรวน (หรือโรคไอบีเอส IBS)

โรคลำไส้แปรปรวน  คือ ความผิดปกติของลำไส้ใหญ่ในเรื่องการบีบตัว  โดยตรวจไม่พบพยาธิที่ลำไส้ใหญ่จากการส่องกล้องตรวจลำไส้หรือการตรวจเลือด  โรคนี้มักจะมีประวัติเป็นมานานอาจเป็นปีและมีอาการเป็นๆ หายๆ เป็นโรคที่สร้างความรำคาญรบกวนกิจวัตรประจำวันให้แก่ผู้ป่วย  ผู้ป่วยมักจะวิตกกังวลว่าทำไมโรคไม่หาย  แม้ได้ยารักษา หรืออาจเข้าใจว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย   โรคลำไส้แปรปรวนมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย  ในอัตราส่วนเพศหญิงต่อเพศชายประมาณ 2:1 ผู้ที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวนมักจะมีอาการ  ดังนี้ อาการปวดท้อง  อาจจะปวดตรงกลางหรือปวดบริเวณท้องน้อย  โดยทั่วไปจะปวดท้องน้อยด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา  ลักษณะอาการปวดมักจะปวดแบบปวดเกร็ง อาการแน่นท้อง  ท้องอืด  มักจะไม่สัมพันธ์กับอาหาร หน้าท้องโตขึ้นเหมือนมีลมในท้อง  อาจมีอาการเรอ หรือผายลมมากขึ้น การถ่ายอุจจาระไม่ปกติ  บางรายมีอาการท้องผูก  บางรายท้องเสีย  หรือในบางรายอาจมีอาการท้องผูกสลับท้องเสียก็ได้  ผู้ป่วยบางรายมีความรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด  บางรายปวดเบ่งแต่เมื่อถ่ายอุจจาระแล้วอาการดีขึ้น  มักจะอุจจาระเป็นมูก (Mucous)  อาการต่าง ๆ เหล่านี้มักเป็น ๆ หาย ๆ มีอาการมากน้อยสลับกันไป  โดยมีกาการนานเกิน 3 เดือนในระยะเวลา 1 ปี สาเหตุของโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) ในปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่นอน  แต่จากการศึกษาพบว่าปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรคนี้มี 3 อย่างที่สำคัญได้แก่ การบีบตัวของลำไส้ใหญ่ผิดปกติ  เป็นผลมาจากการหลั่งสารหรือฮอร์โมนที่ผิดปกติบางอย่างในผนังลำไส้  ทำให้เกิดอาการปวดแน่นท้อง  ท้องผูก  หรือท้องเสียได้ ระบบประสาทที่ผนังลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า  หรือตัวกระตุ้นมากผิดปกติ  ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ ได้แก่  อาหารเผ็ด, กาแฟ, แอลกอฮอล์ทุกชนิด, ช็อกโกแลต  เป็นต้น  รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์  ได้แก่  ความเครียด  ความวิตกกังกล  เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นก็ทำให้ผนังลำไส้บีบตัวผิดปกติ  ทำให้เกิดอาการปวดท้อง  ท้องผูก  หรือท้องเสียได้ เป็นผลหลังมีการติดเชื้อในลำไส้  ปัจจัยนี้พบในผู้ป่วย IBS  ในเขตร้อน  เช่น ประเทศไทย  ซึ่งหลังจากทุเลาจากภาวะลำไส้อักเสบแล้ว  หนึ่งในสามของผู้ป่วยจะมีอาการของลำไส้แปรปรวนกำเริบ การรักษา ยังไม่มียาชนิดใดที่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้  เนื่องจากผู้ป่วยโรคนี้มักจะมีอาการหลายระบบรวมกัน  ยาที่ใช้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้อาการดีขึ้นเท่านั้น  แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาให้ยาที่เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยและแนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อให้อาการของโรคนี้ดีขึ้นได้ การปฏิบัติตัว  ที่ผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนควรปฏิบัติมีดังต่อไปนี้ ควรรับประทานอาหารช้าๆ และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป (รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ) หลีกเลี่ยงอาหารไขมัน  โดยเฉพาะมื้อเย็นและมื้อค่ำ  เนื่องจากไขมันจะเป็นตัวกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ถ้าผู้ป่วยมีอาการท้องผูกร่วมด้วย  ควรเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีใยอาหาร  (Fiber) ให้มากขึ้น  ดื่มน้ำให้เพียงพอ  และฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการดื่มนมโยเกิร์ตในผู้ป่วยโรค IBS ชนิดท้องเสีย หลีกเลี่ยงอาหารที่จะกระตุ้นอาการของโรคให้เป็นมากขึ้น  ได้แก่  กาแฟ  อาหารรสจัด  แยม ช็อกโกแลต  ผลไม้รสเปรี้ยวบางชนิด  อาหารรสเผ็ด  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด  และน้ำอัดลม  เป็นต้น หากผู้ป่วยมีภาวะเครียดร่วมด้วย  ควรหาทางผ่อนคลายหาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ  ควรออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ  อาจจำเป็นต้องพบจิตแพทย์ในบางรายที่มีปัญหาทางจิตใจค่อนข้างมาก โรคลำไส้แปรปรวนจะกลายเป็นมะเร็งหรือไม่ โรคนี้ไม่พบว่า เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งแม้จะเป็นอาการเป็น ๆ หาย ๆ มานาน  แต่พึงระมัดระวังในผู้ป่วยสูงอายุที่มีการเปลี่ยนแปลงของการขับถ่าย  มีอาการท้องผูกมากขึ้น  หรือมีอาการท้องเสียเกิดขึ้น  จำเป็นต้องได้รับการตรวจโดยละเอียด  เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

4 โรคฮิต คนทำงานออฟฟิศ

4 โรคฮิต คนทำงานออฟฟิศ            แพทย์เตือนคนทำงานออฟฟิศเสี่ยง 4 โรคฮิต ปวดหลัง-เส้นเอ็นที่มือ-นิ้วล็อก-ผื่นภูมิแพ้ แนะยืดเหยียดกล้ามเนื้อ พักสายตา ออกกำลังกาย และอย่านอนดึก            นพ.ธีรพล โตพันธานนท์ อธิบดีกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่าโรคจากการทำงานเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น เพราะการทำงานเป็นวิถีชีวิตประจำวันของคนวัยทำงาน ซึ่งการทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ถ้าไม่ตระหนักอาจมีผลต่อสุขภาพ โรคฮิตที่พบบ่อยของคนทำงานในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ทำงานบริการ รวมทั้งพนักงานในออฟฟิศ เพราะจะต้องนั่งโต๊ะทำงาน ใช้คอมพิวเตอร์หรือทำงานกับตัวเลข มากกว่าการยืนทำงานบนสายพาน ในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งการที่ต้องนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ทำให้ต้องนั่งเป็นเวลานาน การพิมพ์งานทำให้ต้องมีการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ต้องใช้สายตา และอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นเวลานาน ดังนั้น สิ่งที่คนทำงานต้องเผชิญ คือ โรคปวดหลัง โรคของเส้นเอ็นที่มือ ได้แก่ โรคประสาทอุโมงค์ข้อมือ โรคนิ้วล็อก ปวดศีรษะ ปวดตา และโรคผื่นภูมิแพ้              อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวอีกว่า วิธีป้องกันโรคที่เกิดจากการทำงานในออฟฟิศ คือ นั่งทำงานให้ถูกวิธีโดยนั่งเก้าอี้ควรนั่งหลังตรง มีพนักพิง แขนควรอยู่แนบข้างลำตัว ข้อศอกอยู่ในมุมตั้งฉากกับต้นแขน ข้อมือควรทอดตรงไม่ควรงอขึ้นหรือลง หรือบิดเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เท้าควรเหยียบพื้นทั้งสองข้าง ถ้าไม่เหยียบพื้นควรมีที่รองเท้าเพื่อไม่ต้องเขย่งเท้า เวลาพิมพ์คอควรตั้งตรง มองไปข้างหน้า ขอบจอคอมพิวเตอร์ด้านบนควรอยู่ในแนวสายตา เมื่อพิมพ์ได้สักพักควรมีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ วิธีที่ดีที่สุดคือการยืนขึ้นและบิดตัว หรือยืดแขนทั้งสองค้างครู่หนึ่ง หรือลุกเดิน แล้วค่อยกลับมานั่งพิมพ์ต่อ               สำหรับเรื่องสายตาการมองคอมพิวเตอร์นานๆ บางครั้งอาจจะลืมกระพริบตา ทำให้ตาแห้ง มีอาการแสบตา เคืองตาได้ จึงควรกระพริบตาบ้าง อาจจะทุก10นาที ทั้งนี้ ไม่ควรพิมพ์ในที่มืด บริเวณแสงรอบๆ จอคอมพิวเตอร์ควรมีขนาดความเข้มพอๆ กันไม่ควรมืดกว่ากัน นอกจากนี้ในห้องทำงานที่มีเครื่องถ่ายเอกสาร จะมีสารทำให้เกิดอาการระคายเคือง ผิวหนัง ตา ทางเดินหายใจได้ อาการที่พบ คือ แสบคอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ไอเรื้อรัง ทำให้คิดว่าเป็นหวัด และการไปพบแพทย์อาจจะได้รับยาฆ่าเชื้อมาโดยไม่จำเป็น การป้องกัน คือ หมั่นทำความสะอาดพื้น ตู้แอร์เปิดกระจกหน้าต่างระบายอากาศ ที่สำคัญควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่านอนดึก เพื่อสุขภาพที่ดีสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ                                      ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

แบบประเมินการควบคุมโรคหืด (ACTTM)

การทดสอบต่อไปนี้ช่วยให้คนที่เป็นโรคหืด (ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป)  ประเมินความสามารถในการควบคุมโรคหืดของตนเองได้    คำถามมีทั้งหมด 5 ข้อ  กรุณาตอบคำถามแต่ละข้อโดยวงกลมตัวเลขคำตอบที่ตรงกับความจริงที่สุดเพียงคำตอบเดียว คะแนนการควบคุมโรคหืดของคุณ ขั้นที่ 1: กรุณาตอบคำถามแต่ละข้อ  โดยวงกลมตัวเลขในตำอบที่คุณเลือก  และนำตัวเลขนั้นไปเขียนในช่องสี่เหลี่ยมขวามือ  กรุณาตอบตรงกับความเป็นจริงให้มากที่สุด  เพื่อช่วยให้ทั้งตัวท่านและแพทย์  สามารถเข้าใจได้ถูกต้องว่าโรคหอบหืดของท่านเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้   ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา  บ่อยแค่ไหนที่โรคหืดทำให้คุณไม่สามารถทำงานได้  ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน  ที่โรงเรียน  หรือที่บ้าน? 1. ตลอดเวลา 2. บ่อยมาก 3. บางครั้ง 4. น้อยมาก 5. ไม่เคยเลย   ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา  บ่อยแค่ไหนที่คุณรู้สึกหายใจไม่อิ่ม? 1. มากกว่า 1 ครั้งต่อวัน 2. วันละครั้ง 3. 3-6 ครั้งต่อสัปดาห์ 4. 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ 5. ไม่เคยเลย   ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา  บ่อยแค่ไหนที่คุณมีอาการของโรคหืด (หายใจมีเสียงวี๊ดๆ ไป  หายใจไม่อิ่ม  แน่นหน้าอกหรือเจ็บหน้าอก)  จนทำให้ต้องตื่นขึ้นกลางดึก  หรือตื่นเช้ากว่าปกติ 1. 4 คืน หรือมากกว่าต่อสัปดาห์ 2. 2-3 คืน ต่อสัปดาห์ 3. 1 คืน ต่อสัปดาห์ 4. 1-2 คืน 5. ไม่เคยเลย   ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา  คุณต้องใช้ยาสูดพ่นขยาดหลอดลมชนิดออกฤทธิ์เร็ว  หรือยาเม็ดขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์เร็ว  บ่อยแค่ไหน  เพื่อช่วยให้คุรหายใจได้ดีขึ้น 1. 3 ครั้ง หรือมากกว่านั้น 2. 1-2 ครั้ง ต่อวัน 3. 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ 4. 1 ครั้ง ต่อสัปดาห์ 5. ไม่เคยเลย   ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา  คุณคิดว่าสามารถควบคุมโรคหืดของคุณได้มากน้อยแค่ไหน? 1.ควบคุมไม่ได้เลย 2.ควบคุมได้ไม่ค่อยดี 3.ควบคุมได้บ้าง 4.ควบคุมได้ดี 5.ควบคุมได้สมบูรณ์   ขั้นที่ 2 : นำคะแนนแต่ละข้อมาบวอกกันเป็นคะแนนรวม มาดูคะแนนการควบคุมโรคหืดของคุณ   คะแนน : 25  - ขอแสดงความยินดี คุณสามารถควบคุมโรคหืดได้อย่างสมบูรณ์  ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา  คุณไม่มีอาการหอบหืดที่เป็นข้อจำกัดในการใช้ชีวิตของคุณ   ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่นี้  ขอให้ไปพบหมอหรือพยาบาลของคุณ คะแนน : 20 ถึง 24  -  คุณทำได้แล้ว คุณอาจจะควบคุมโรคหืดได้ดีแล้ว  ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์  หมอหรือพยาบาลของคุณจะให้คำแนะนำได้ว่าคุณจะควบคุมโรคหืดให้ได้สมบูรณ์อย่างไร คะแนน : น้อยกว่า 20  -  คุณยังทำได้ไม่ดีนัก คุณอาจจะยัง ควบคุมโรคหืดได้ไม่ดีนัก  ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา  หมอหรือพยาบาลของคุณสามารถช่วยแนะนำเพื่อปรับปรุงวิธีการควบคุมโรคหืดของคุณให้ได้ผลดีขึ้น  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
<