รู้จักกับ มะเร็งหัวใจ (Cardiac cancer)

มะเร็งหัวใจ (Cardiac cancer หรือ Heart cancer) เป็นโรคที่พบได้น้อยมาก ซึ่งพบว่าเป็นมะเร็งที่แพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่น เช่น ปอด เต้านม ลำไส้ เป็นต้น ซึ่งจะแพร่มาที่ผนังหัวใจ ด้านนอกและช่องเยื่อบุหัวใจ แต่มะเร็งที่เกิดในหัวใจเองมักเป็นในผนังชั้นกลาง จึงเป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ผนังหลอดเลือด หรือเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจ ที่เรียกว่า Angiosarcoma และ Rhabdomyosarcoma   มะเร็งหัวใจนั้นพบได้น้อยมาก จึงยังไม่ทราบถึงสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยงเกิดโรค และยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองให้พบมะเร็งหัวใจในระยะตั้งแต่ยังไม่มีอาการ  ดังนั้นจึงยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดโรค และเนื่องจากพบได้น้อย จึงยังไม่มีอาการเฉพาะ แต่จะเป็นอาการเช่นเดียวกับอาการของโรคหัวใจทุกโรค ร่วมกันกับอาการของโรคมะเร็งทุกๆชนิด   อาการของโรคมะเร็งหัวใจ อาการของมะเร็งหัวใจมักจะมาด้วยอาการเหล่านี้ ได้แก่ เหนื่อยง่าย หอบ ไอเรื้อรัง มีไข้ต่ำ ๆ หน้าบวม คอบวม หลอดเลือดดำที่คอโป่ง ตับโต ท้องมานเพราะมีน้ำในช่องท้อง หรือขาบวมกดบุ๋มทั้งสองข้าง   การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งหัวใจ สามารถทำได้ด้วยการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ Echocardiography ที่จะทำให้เห็นตำแหน่งก้อนเนื้องอกชัดเจนช่วยในการวางแผนผ่าตัดได้ดี ขณะที่การตรวจด้วย Cardiac CT และ Cardiac MRI สามารถใช้เป็นการตรวจวินิจฉัยและดูการลุกลามของโรคว่าได้ลุกลามไปส่วนอื่นหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มะเร็งกลุ่มนี้ตอบสนองต่อการฉายแสงและยาเคมีบำบัดได้ไม่ดี จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออกให้หมดถ้าทำได้ โดยปกติผนังหัวใจด้านขวาบนและล่างอาจตัดออกได้ แต่ถ้าลุกลามมาถึงหลอดเลือดแดงหัวใจ ก็อาจต้องต่อทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจจึงจะเป็นการปลอดภัยต่อชีวิตและป้องกันการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน   เมื่อร่างกายเกิดความผิดปกติ ไม่ควรปล่อยให้เรื้อรังหรือเป็นหนักควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และถึงแม้จะยังไม่มีวิธีป้องกันโรคแต่การดูแลสุขภาพก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย เพื่อลดความเสี่ยงโรคต่างๆ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus Diseases): โรคมือ เท้า ปาก (HFMD)/ โรคแผลในคอหอย (Herpangina)

โรคติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus Diseases): โรคมือ เท้า ปาก (HFMD)/ โรคแผลในคอหอย (Herpangina) เชื้อกลุ่มเอนเทอโรไวรัสประกอบไปด้วยเชื้อไวรัสทั้งหมด 68 สายพันธุ์ เชื้อไวรัสกลุ่มนี้ เกือบทั้งหมดอยู่ในลำไส้ของมนุษย์ โดยแสดงอาการของโรคต่างกัน ส่วนใหญ่ก่อให้เกิดโรคในเด็กซึ่งเป็นโรคที่ไม่รุนแรง และสามารถหายได้เอง เช่น โรคมือ เท้า ปาก บางสายพันธุ์สามารถก่อให้เกิดโรคที่รุนแรงได้ เช่น โรคโปลิโอ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็นต้น โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่ม Human enteroviruses โดยเชื้อในกลุ่มนี้ที่พบบ่อย คือ Coxsackie virus (Coxsackie virus A16, A5, A9, A10, B1 และ B3) และ Enterovirus ประเทศไทยพบโรคมือ เท้า ปาก ได้ตลอดทั้งปี พบการระบาดได้บ่อยในช่วงฤดูฝน อากาศเย็นและชื้น พบได้ทุกอายุแต่พบได้บ่อยในเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี  ติดต่อโดยการสัมผัสสารคัดหลั่งจากจมูกและลำคอ น้ำลาย ของเหลวจากตุ่มน้ำหรืออุจจาระของผู้ป่วย ทั้งสัมผัสโดยตรงและสัมผัสทางอ้อม เช่น สัมผัสผ่านของเล่น น้ำดื่มและอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อ ระยะฟักตัว 3 – 6 วันหลังได้รับเชื้อ   อาการของโรค แสดงได้หลายลักษณะ ดังนี้ 1. โรคแผลในคอหอย (Herpangina) มีไข้ 1 – 2 วัน อาจพบอาการชักจากไข้สูงร่วมได้ร้อยละ 5  เจ็บคอ มีตุ่มพองใสขนาด 1 – 2 มิลลิเมตรบนฐานสีแดง กระจายอยู่บริเวณคอหอย และตุ่มพองใสจะขยายกลายเป็นแผลคล้ายแผลร้อนใน โดยมากพบที่บริเวณด้านหน้าของต่อมทอนซิล เพดานปากด้านหลัง ลิ้นไก่ และต่อมทอนซิล มักเป็นอยู่นาน 4 – 6 วัน ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต 2.โรคมือ เท้า ปาก (Hand Foot and Mouth Disease: HFMD) ส่วนใหญ่มีไข้ 1 – 2 วัน บางรายไข้สูง แผลในปากค่อนข้างกระจายกว้างในช่องปาก กระพุ้งแก้มและเหงือก รวมทั้งด้านข้างของลิ้น หลังจาก 2 – 3 วันจะค่อยๆ เริ่มตกสะเก็ดและค่อยๆ หายไปภายใน  7 – 10 วัน และจะมีผื่นหรือตุ่มพองใสเกิดที่บริเวณฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า แขน ขา ข้อศอกและรอบทวารหนักได้  ผู้ป่วยมีอาการเจ็บช่องปากและลำคอมากในช่วงวันที่ 3 – 5 ของอาการป่วย น้ำลายไหล กลืนลำบาก อาเจียน รับประทานอาหารได้ลดลง บางรายมีถ่ายเหลว 3.โรคคออักเสบมีต่อมน้ำเหลืองโต (Pharyngitis with lymphadenopathy) แผลที่ค่อนข้างแข็ง นูน กระจาย มีตุ่มก้อนสีขาวหรือเหลืองขนาดประมาณ 3 – 6 มิลลิเมตรอยู่บนฐานรอบสีแดง และพบมากบริเวณลิ้นไก่ ด้านหน้าต่อมทอนซิล และคอหอยด้านหลัง แต่ไม่พบผื่นหรือตุ่มพอง การวินิจฉัยโรค สามารถวินิจฉัยโรคได้จากประวัติ ตรวจร่างกาย ในผู้ป่วยบางรายมีความจำเป็นต้องส่งตรวจเชื้อเพื่อการวินิจฉัยแบบเฉพาะเจาะจง (สายพันธุ์ย่อยของเชื้อ) โดยตรวจจากป้ายแผลในช่องปากและอุจจาระ มาเพาะแยกเชื้อและการตรวจหาทางน้ำเหลือง การดูแลผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ที่บ้าน - แยกเด็กป่วยให้พักอยู่บ้าน หยุดเรียน งดพาไปแหล่งชุมชนจนกว่าตุ่มหรือผื่นแห้งประมาณ 5 – 7 วัน ถ้าพบผู้ป่วยในห้องเรียนเดียวกันมากกว่า 2 คน อาจพิจารณาปิดห้องเรียน/สถานศึกษาชั่วคราว 5 – 7 วัน เพื่อทำความสะอาดพื้นผิวต่างๆ ที่เด็กป่วยสัมผัส - แยกข้าวของเครื่องใช้ของผู้ป่วยออกจากบุคคลอื่น - เช็ดตัว ให้ยาลดไข้ ยาชาและยาอื่นๆ ตามแพทย์แนะนำ - ให้อาหารอ่อน ย่อยง่าย รสไม่จัดและสามารถรับประทานของเย็นได้ - ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งหลังสัมผัสผู้ป่วย ทำความสะอาดของเล่นและสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วยทุกวัน ด้วยสบู่ ผงซักฟอกและน้ำยาทำความสะอาด เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัสเปลือย (non-enveloped virus หรือ naked virus) ทำให้ทนทานต่อสารละลายไขมัน เช่น แอลกอฮอล์และอีเทอร์  - ใช้ผ้า/กระดาษชำระปิดปากและจมูกเวลาไอจาม ควรทิ้งกระดาษชำระรวมทั้งผ้าอ้อมสำเร็จรูปในถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด - หากผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย รับประทานอาหารไม่ได้หรืออาการแย่ลง ควรรีบกลับมาพบแพทย์ อาการที่ควรรีบกลับมาพบแพทย์ทันที - ไข้สูง โดยเฉพาะมากกว่า 39 C และนานกว่า 48 ชั่วโมง - กระสับกระส่าย  ร้องกวนตลอดเวลา - อาเจียนบ่อยๆ รับประทานอาหารไม่ได้หรือได้น้อยมาก - มีอาการทางระบบประสาท ได้แก่ ซึม การกรอกตาที่ผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ไม่รู้สึกตัว ปวดศีรษะอย่างรุนแรง แขนขาอ่อนแรงฉับพลัน เดินเซ - ตัวลาย ซีด - หายใจหอบเหนื่อย การรักษา ยังไม่มียารักษาจำเพาะ เน้นการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ เช่น เช็ดตัวลดไข้ร่วมกับการใช้ยาลดไข้ ใช้ยาชาทาบริเวณแผลในช่องปากเพื่อลดอาการเจ็บและทำให้รับประทานอาหารได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง สามารถหายได้เอง ในผู้ป่วยบางรายที่มีภาวะขาดน้ำ อ่อนเพลียมาก แนะนำให้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ร่วมกับเฝ้าระวังสังเกตอาการของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง พบผู้ป่วยที่เกิดโรครุนแรงประมาณ 0.05% – 1% ในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด (1 ต่อ 2,000 – 10,000 ราย) เกิดจากเชื้อ EV71 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงที่สุด มีอาการแทรกซ้อนต่างๆ ได้หลายระบบ เช่น ระบบประสาทส่วนกลาง (สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ แขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน) ระบบทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต (กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันและน้ำท่วมปอดเฉียบพลัน) ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตได้  การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การมีสุขลักษณะที่ดีและการรับวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงจากเชื้ออีวี 71 ประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ที่เกิดจากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 (EV71) แล้ว  ปัจจุบันมีการใช้วัคซีนมาแล้วกว่า 48 ล้านโดสในประเทศจีน ไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรง มีเพียงอาการไข้ ท้องเสีย เบื่ออาหาร ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ปกติภายหลังการฉีดวัคซีนทั่วไป วัคซีนแนะนำให้ในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี 11 เดือน 29 วัน ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมือ เท้า ปากที่มาจากการติดเชื้อ EV71 ได้ 97.3%  ประสิทธิภาพการป้องกันโรคมือ เท้า ปากรุนแรงจากเชื้อ EV71 ได้ 100%  วัคซีนฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีด 2 เข็ม ระยะห่างกัน 1 เดือน ผู้ป่วยที่หายจากโรคมือ เท้า ปาก ประมาณ 1 เดือน สามารถรับวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้ออีวี 71 ได้   ข้อควรทราบ  เด็กที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงจากเชื้ออีวี 71 เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้ออีวี 71 แต่ยังมีโอกาสป่วยเป็นโรคมือ เท้า ปากได้ เนื่องจากไวรัสกลุ่มนี้มีหลายสายพันธุ์                                                              บทความจาก   แพทย์หญิงปราณี  สิตะโปสะ   กุมารแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลวิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ลดน้ำหนักไม่ลงเสียทีมีแต่น้ำหนักขึ้น ตรวจอะไรบ้างดีนะ ?

ทำไมเราถึงอ้วน ? ความอ้วน หรือ ภาวะน้ำหนักเกิน มักเกิดจากหลายสาเหตุปัจจัยร่วมกันนะคะ โดยสาเหตุหลักๆมีดังนี้ค่ะ   อาหารที่เรากิน ทั้งในเชิงปริมาณที่อาจมากเกินไป หรือในเชิงคุณภาพไม่ดี เช่น อาหารแปรรูป ซึ่งพลังงานสูง แต่มีเส้นใยและคุณค่าทางอาหารต่ำ ทำให้เรากินได้เยอะ โดยยังไม่อิ่ม และยังทำให้กลายเป็นแคลอรี่ส่วนเกินได้มากอีกด้วย การออกกำลังกาย หรือ ใช้พลังงานน้อยเกินไป เนื่องจากสังคมปัจจุบันมีการพัฒนามากขึ้น การเดินทางสะดวกสบาย มีเครื่องมือ เครื่องทุ่นแรงมาก ทำให้เราใช้พลังงานน้อยกว่าคนสมัยก่อน ทำให้มีการเก็บสะสมพลังงานส่วนเกินในร่างกายมากขึ้น ความเครียด และ อารมณ์ต่างๆ เช่น ซึมเศร้า อารมณ์และความเครียดส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ความเครียดระยะยาวกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเครียดคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งมีผลให้เรารู้สึกอยากอาหารมากขึ้น และกินอาหารมากขึ้น การนอนหลับ งานวิจัยพบว่า คนที่นอนน้อยมีความเสี่ยงอ้วนมากขึ้น เมื่อเทียบกับคนที่ได้นอน 7-8 ชั่วโมงต่อคืน นอกจากนี้คนที่ต้องทำงานกะกลางคืน มีผลให้วงจรการนอนผิดปกติ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและเบาหวาน ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะการนอนไม่เพียงพอ กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนหิวเกรลิน (Ghrelin) และ ยับยั้งฮอร์โมนอิ่มเลปติน (Leptin) ทำให้เรากินอาหารมากขึ้นนั่นเอง พันธุกรรม ยีนบางตัวของเราส่งผลต่อระดับการเผาผลาญ และการหิวอิ่ม เช่น ยีน FTO, ยีน MC4R  ยีนบางตัวส่งผลต่อการเก็บสะสมไขมัน เช่น ยีน ADIPOQ, ยีน PPARG ทำให้คนที่ใช้ชีวิตเหมือนกัน บางคนอ้วนง่าย บางคนอ้วนยาก โรคหรือภาวะต่างๆ ที่พบบ่อยเช่น ไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroid) เกิดจากการที่ต่อมไทรอยด์ของเราทำงานน้อยกว่าปกติ ทำให้การเผาผลาญต่ำกว่าปกติ นำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกินได้ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance) คือภาวะที่ร่างกายผลิตอินซูลินออกมามากขึ้น เพื่อหวังว่าจะนำน้ำตาลเข้าไปใช้ในเซลล์ได้ดีขึ้น ภาวะดื้ออินซูลินอาจเป็นสาเหตุให้เราอ้วนได้เนื่องจาก ฮอร์โมนอินซูลินช่วยในการเก็บน้ำตาลส่วนเกินไปสะสมเป็นไขมัน และทำให้การนำไขมันมาใช้เมื่อร่างกายต้องการทำได้ไม่ดี นอกจากนี้ฮอร์โมนอินซูลินยังไปมีผลต่อฮอร์โมนหิวและอิ่ม (ฮอร์โมนเกรลิน และ ฮอร์โมนเลปติน) ทำให้เรารู้สึกหิวมากขึ้น และกินมากขึ้นได้ ถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome, PCOS) คือกลุ่มอาการที่เกิดจากการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ มีการผลิตฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปกติ ทำให้มีอาการ เช่น การตกไข่ไม่ปกติ ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีบุตรยาก และบางคนมีถุงน้ำเกิดขึ้นหลายใบในรังไข่ได้ ซึ่งภาวะนี้มักพบร่วมกับภาวะน้ำหนักเกินด้วย จุลินทรีย์ในลำไส้ ปัจจุบันมีการศึกษาว่า จุลินทรีย์ในลำไส้ของเรา สัมพันธ์กับความอ้วนเช่นกัน โดยพบว่าคนอ้วนมีความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้น้อยกว่ากลุ่มคนสุขภาพดี นอกจากนี้กลุ่มจุลินทรีย์ที่พบในคนอ้วนกับคนผอมก็แตกต่างกันอีกด้วย เช่น คนอ้วนมักมีอัตราส่วนจุลินทรีย์กลุ่ม Firmicutes ต่อ Bacteroidetes สูง นอกจากนี้พบว่าผู้ที่เป็นโรคอ้วนมักมีแบคทีเรียชนิด Akkermansia muciniphila และ Bifidobacterium longum น้อยกว่าคนปกติ เป็นต้น   เราสามารถตรวจอะไรบ้าง ?   สำหรับผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักเกิน หรือ อ้วน นอกจากตรวจเลือดทั่วไป เช่น ระดับไขมัน น้ำตาล การทำงานของตับไตแล้ว เราอาจตรวจเพื่อหาสาเหตุที่ซ่อนอยู่ เช่น   การทำงานของไทรอยด์ (Thyroid function test) หากพบว่ามีการทำงานของไทรอยด์ผิดปกติ เช่น มีภาวะไทรอยด์ต่ำ สามารถเข้ารับการรักษา ซึ่งจะช่วยให้น้ำหนักกลับมาเป็นปกติได้ การดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance) เราสามารถตรวจการดื้อต่ออินซูลินได้จากการตรวจสาร C-peptide ในเลือด เนื่องจากสารตั้งต้นของอินซูลินที่ชื่อ Proinsulin จะถูกแบ่งเป็น ฮอร์โมนอินซูลิน และ สาร C-peptide ซึ่งสาร C-peptide นี้มีความคงตัวมากกว่าฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ตรวจได้ง่ายกว่าและแม่นยำกว่า พบว่าสารนี้มีปริมาณสูง สามารถบ่งบอกถึงการดื้อต่ออินซูลินได้ หากพบว่ามีการดื้อต่ออินซูลิน เราสามารถปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ไม่ว่าจะเป็นการปรับอาหาร การออกกำลังกาย หรือ ปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยาเพื่อลดภาวะดื้ออินซูลิน น้ำหนักก็จะกลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ ตรวจหาภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) แพทย์สามารถตรวจหาภาวะนี้ได้จากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีขนเยอะขึ้นตามตัว มีสิวมาก นอกจากนี้อาจตรวจด้วยการอัลตราซาวด์กับสูตินรีแพทย์ หากพบว่ามีภาวะนี้แพทย์สามารถแนะนำการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต หรือ ให้การรักษาโดยยาต่างๆได้ การตรวจยีน (Genetic test) เราสามารถตรวจยีนเพื่อดูว่า พื้นฐานการเผาผลาญ หรือ การควบคุมความหิวอิ่มของเรา รูปแบบการเก็บสะสมไขมันของเราเป็นอย่างไร เสี่ยงต่อการอ้วนมากน้อยแค่ไหน เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของเรา เมื่อเรารู้พื้นฐานของร่างกายเรา เราก็จะสามารถปรับการดำเนินชีวิตให้เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยอื่นๆได้ ตรวจจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut microbiome test)  เราสามารถตรวจจุลินทรีย์ในลำไส้โดยตรวจจากอุจจาระ ช่วยให้ทราบความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ของเรา ทราบถึงจุลินทรีย์ชนิดดี ชนิดไม่ดีที่มีอยู่ในลำไส้ของเรา ซึ่งเมื่อเราทราบพื้นฐานจุลินทรีย์ที่มีในร่างกายเรา เราสามารถปรับอาหาร เพิ่มอาหารกลุ่มที่เป็นอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดี (Prebiotics) หรือ เพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดี (Probiotics) ที่เหมาะกับเราเข้าไปในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ทำไม ‘ผู้หญิง’ ถึงขาด ‘ธาตุเหล็ก’ ได้บ่อย ๆ ?

เนื่องจากผู้หญิงมีประจำเดือนมาทุกๆเดือน การที่เราเสียเลือดก็ทำให้เราเสียธาตุเหล็กไปด้วย หากรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ เช่น ทานเนื้อสัตว์น้อย ก็จะทำให้เราขาดธาตุเหล็กได้ ธาตุเหล็ก เหล็กเป็นแร่ธาตุที่พบมากในร่างกายที่เม็ดเลือดแดง และ เซลล์กล้ามเนื้อ มีหน้าที่ในการขนส่งก๊าซออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ มีส่วนสำคัญในการทำปฏิกิริยาของเอนไซม์ต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงการสร้างคอลลาเจน และ การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน   หากขาดธาตุเหล็ก จะส่งผลอย่างไรบ้าง ? ผลกระทบที่พบได้บ่อยหากขาดธาตุเหล็กก็คือทำให้เกิดเลือดจางได้ โดยอาจทำให้เกิดอาการซีด มือเท้าเย็น ชายิบๆที่ปลายมือปลายเท้า อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลมหมดสติ ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น   ใครเสี่ยงขาดธาตุเหล็กบ้าง ? ผู้หญิงวัยที่มีประจำเดือน หากรับประทานธาตุเหล็กไม่เพียงพออาจทำให้ขาดธาตุเหล็กได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประจำเดือนมามาก อาจทำให้ขาดธาตุเหล็กจนโลหิตจางได้ มีริดสีดวงทวาร ที่มีเลือดออกมาก กินมังสวิรัติ วีแกน กินเนื้อสัตว์น้อย หรือ ไม่ค่อยกินเนื้อแดง เช่น หมู วัว เนื่องจากสัตว์เนื้อขาว เช่น ปลา ไก่ มีธาตุเหล็กน้อยกว่าสัตว์เนื้อแดง หลังการบริจาคโลหิต ผู้ที่ดื่มกาแฟ ชาเขียว ชาดำ ไวน์แดงเป็นประจำ เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้มีสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) สูงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ แต่มีฤทธิ์ต้านการดูดซึมธาตุเหล็ก คนที่กินวิตามินแร่ธาตุเสริม เช่น แคลเซียม สังกะสี เนื่องจากอาจแย่งการดูดซึมกับธาตุเหล็ก มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร หรือลำไส้เล็ก เนื่องจากเป็นบริเวณที่ดูดซึมธาตุเหล็ก เราสามารถตรวจปริมาณธาตุเหล็กในร่างกายได้อย่างไร ? เราสามารถตรวจธาตุเหล็กได้จากการตรวจระดับสาร Ferritin ในเลือด ซึ่งเป็นโปรตีนที่จับกับธาตุเหล็กเพื่อดูธาตุเหล็กในรูปที่เก็บสะสมอยู่ในร่างกายว่ามีเพียงพอหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การที่เรามีธาตุเหล็กสะสมในร่างกายมากเกินไปก็ส่งผลเสียได้เช่นกัน โดยอาจไปสะสมที่อวัยวะต่างๆ ทำให้การทำงานของอวัยวะนั้นๆผิดปกติไป   เราจะแก้ไขภาวะขาดธาตุเหล็กได้อย่างไร ?   ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น ได้แก่ เลือด ตับ เนื้อสัตว์ต่างๆโดยเฉพาะเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ธาตุเหล็กในอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์นี้จะอยู่ในรูป heme iron ซึ่งร่างกายเราดูดซึมได้ดีกว่า ผักใบเขียว เช่น ผักโขม ธัญพืช และถั่วต่างๆ อย่างไรก็ตามธาตุเหล็กในพืชผักจะอยู่ในรูป non-heme iron ซึ่งร่างกายเราดูดซึมได้ยากกว่าจากอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ทานอาหารที่มีวิตามินซีร่วมกับอาหารที่มีธาตุเหล็ก เนื่องจากวิตามินซีช่วยเพิ่มอัตราการดูดซึมธาตุเหล็กได้ หลีกเลี่ยงทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำ เนื่องจากมีสารต้านการดูดซึมธาตุเหล็ก อาหารที่มีสารโพลีฟีนอลสูง เช่น กาแฟ ชาเขียว ชาดำ ไวน์แดง อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ทานธาตุเหล็กเสริม หากตรวจพบว่าขาดธาตุเหล็ก สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อทานธาตุเหล็กเสริม และ ตรวจติดตาม เนื่องจากหากธาตุเหล็กมากเกินไปก็มีผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกันนะคะ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (เดอกาแวง De-quervain's) โรคยอดฮิตของคนใช้ข้อมือเยอะ

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ หรือโรคเดอกาแวง คือภาวะที่มีอาการปวดบริเวณข้อมือด้านนิ้วโป้ง มีสาเหตุมาจากการอักเสบของเส้นเอ็นที่อยู่ฝั่งนิ้วโป้ง โดยปกติแล้วเส้นเอ็นดังกล่าวจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายในเนื้อเยื่อที่มีลักษณะอุโมงค์คือปลอกหุ้มเอ็นข้อมือ (sheath) เมื่อเกิดการอักเสบแล้ว การบวมจะทำให้เส้นเอ็นไม่สามารถเคลื่อนไหวภายในปลอกหุ้มเอ็นได้ ทำให้มีอาการปวดข้อมือบริเวณฝั่งนิ้วหัวแม่มือ โดยเฉพาะในขณะทำงานที่ต้องกำมือหรือขยับข้อมือ ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุประมาณ 30-50 ปี โดยที่ผู้หญิงมีโอกาสเป็น มากกว่าผู้ชาย ประมาณ 8-10เท่า โดยมักจะมีอาการปวดข้อมือ บริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด และมักจะมีอาการในช่วงกลางคืน  อาการ อาการปวดในข้อมือฝั่งข้างเดียวกับนิ้วโป้งซึ่งอาจค่อยๆเกิดอย่างช้าๆหรือเกิดอย่างฉับพลัน อาการปวดไปตามแนวนิ้วโป้งหรือจากช้อมือลงมายังแขน อาการบวมของข้อมือด้านนิ้วโป้ง รู้สึกอาการเจ็บ เสียวเมื่อขยับนิ้วโป้ง การรักษา การรักษาอาจเริ่มด้วยการรักษาแบบไม่ผ่าตัดก่อนเพื่อช่วยบรรเทาอาการต่างๆก่อนที่จะพิจารณาทำการผ่าตัด การรักษาแบบไม่ผ่าตัด โดยหลีกเลี่ยงการใช้งานข้อมือในท่าซ้ำๆ หรือใส่อุปกรณ์ดามข้อมือและนิ้วโป้ง เพื่อลดการเคลื่อนไหว รับประทานยาแก้อักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ การเลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปวด การประคบบริเวณที่เป็นด้วยน้ำแข็งเพื่อลดอาการบวม การฉีดเสตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบโดยทั่วไปแนะนำว่าไม่ควรฉีดยาเกิน 2 ครั้ง การรักษาด้วยการผ่าตัด การรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นการผ่าตัดโดยการกรีดบริเวณที่เป็นเล็กน้อยเพื่อให้ปลอกหุ้มเส้นเอ็นคลายและมีที่สำหรับเส้นเอ็นได้เคลื่อนไหวมากยิ่งชึ้น โดยจะลดอาการปวดและบวมได้ การเคลื่อนไหวจะกลับมาใช้ได้ปกติ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

นิ้วล็อค (Trigger Finger) โรคฮิตของคนทำงาน

     ภาวะนิ้วล็อค (Trigger finger) หรือ ภาวะปลอกหุ้มเอ็นอักเสบ เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มเส้นเอ็นงอนิ้วที่บริเวณฝ่ามือตรงตำแหน่งโคนนิ้ว มีโอกาสเป็นได้กับทุกนิ้ว สาเหตุเกิดจากการหนาตัวขึ้นของปลอกหุ้มเส้นเอ็นบริเวณฐานของนิ้วมือ ทำให้เส้นเอ็นเคลื่อนไหวผ่านปลอกหุ้มเส้นเอ็นที่หนาขึ้นนี้ได้ยากขึ้น ทำให้เกิดการติดล็อคหรือเกิดอาการปวดได้ โรคนี้ มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และพบมากที่สุดในผู้หญิงวัยกลางคน โดยมากจะเกิดกับกิจกรรมที่ต้องใช้มือทำ และทำให้มือต้องรับน้ำหนักเป็นเวลานาน รวมทั้งทำซ้ำบ่อยๆ เช่น การทำงานบ้าน การหิ้วของหนัก การยกของหนัก การใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้ ตัดผ้า หรือแม้แต่การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือ แท็บเล็ตตลอดเวลานานๆ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนิ้วล็อค ลักษณะอาการของโรคนี้ 1. มีอาการเจ็บบริเวณโคนนิ้ว และอาจรู้สึกติดแข็งในตอนเช้า 2. รู้สึกสะดุด หรือมีเสียงเวลาขยับข้อนิ้ว และอาจคลำได้ก้อนบริเวณโคนนิ้ว 3. รู้สึกตึงและรู้สึกเหมือนมีบางอย่างนูนขึ้นมาตรงโคนของนิ้วที่ล็อค 4. นิ้วล็อคติดในท่างอ แต่ยังสามารถจับเหยียดนิ้วออกมาได้ 5. นิ้วล็อคติดในท่างอ โดยที่ไม่สามารจับเหยียดออกมาได้ วิธีการรักษา ดังนี้ 1.ให้พักใช้งานมือข้างที่มีอาการ และหลีกเลี่ยงการงอและเหยียดนิ้วมือซ้ำๆ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ 2.แนะนำให้แช่น้ำอุ่นและนวดบริเวณโคนนิ้ว ยืดเหยียดนิ้วมือให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะในตอนเช้าอย่างน้อย   5-10 นาทีต่อวัน 3.การใส่อุปกรณ์ดามนิ้ว (Finger splint) ให้นิ้วอยู่ในท่าเหยียดไม่ให้งอข้อปลายนิ้ว ข้อโคนนิ้วใหแคลื่อนไหวได้ปกติ โดยเฉพาะในเวลากลางคืนซึ่งจะช่วยลดอาการปวดในตอนเช้าได้ 4.การใช้วิธีทางกายภาพบำบัดได้แก่ การใช้ความร้อนประคบ การนวดเบา ๆ การออกกำลังโดยการเหยียดนิ้วและการใช้เครื่องดามนิ้วมือ โดยอาจมีการรักษาร่วมกันด้วยการใช้ยาและกายภาพบำบัด และมักใช้ได้ผลดีเมื่อมีอาการของโรคในระยะช่วงแรก 5.การรับประทานยา จำพวกยาแก้ปวด หรือยาลดการอักเสบที่ไม่มีสเตียรอยด์(NSAIDs) เพื่อลดการอักเสบของปลอกหุ้มเส้นเอ็น อย่างไรก็ตามยาในกลุ่มนี้มีผลข้างเคียง ควรปรึกษาแพทย์และได้รับคำแนะนำก่อนใช้ยา 6.การฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ ลดปวดและลดบวม ผู้ป่วยที่มีอาการเป็นมานาน หรือการรักษาโดยวิธีต่าง ๆ ข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจจะพิจารณาการรักษา โดยฉีดยาสเตียรอยด์(steroid injection) เข้าบริเวณปลอกหุ้มเอ็นบริเวณโคนนิ้ว เพื่อลดการอักเสบของปลอกหุ้มเส้นเอ็น ซึ่งการฉีดยาควรทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้นเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างมาก แต่การฉีดยามักถือว่าเป็นการรักษาแบบชั่วคราว ซึ่งการฉีดยานี้สามารถใช้ได้กับอาการของโรคตั้งแต่ระยะแรกจนถึงระยะท้าย หากผู้ป่วยยังมีความจำเป็นต้องใช้งานมือข้างที่มีอาการอยู่ ก็มีโอกาสที่จะกลับมามีอาการกำเริบซ้ำขึ้นอีกได้ โดยอาจจะมีอาการกลับมาหลังฉีดยาประมาณ 3-6 เดือน และหากมีอาการกลับมาอีกครั้ง แพทย์อาจจะพิจารณาฉีดยาซ้ำได้อีก แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ควรที่จะฉีดยามากกว่า 2 ครั้งในนิ้วเดียวกัน 7.การรักษาโดยการผ่าตัด แบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือ -  การผ่าตัดแบบเปิด(Open release)  เป็นการทำในห้องผ่าตัดโดยทั่วไปสามารถทำได้ โดยหลักในการผ่าตัด คือ การฉีดยาชาฉพาะที่และเปิดแผลขนาดเล็กประมาณ 1cm และใช้มีดกรีดเปิดปลอกหุ้มเส้นเอ็นออก เพื่อให้เส้นเอ็นเคลื่อนผ่านได้โดยสะดวก ไม่ติดขัด หรือสะดุดอีก หลังจากผ่าตัดเรียบร้อยแล้วต้อง หลีกเลี่ยงการใช้งานมือหนักประมาณ 2 สัปดาห์ การผ่าตัดโดยมีแผลเปิดผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ โดยแพทย์จะนัดมาตัดไหมที่ประมาณ 10-14 วันหลังการผ่าตัด -  การผ่าตัดแบบปิด (Percutaneous release) โดยการใช้เข็มเขี่ย หรือสะกิดปลอกหุ้มเอ็นออก วิธีนี้มีข้อดีคือ แผลจะมีขนาดเล็กกว่าประมาณ 2mm ซึ่งการผ่าตัดแบบปิดนี้นั้นแทบจะไม่มีแผลให้เห็น ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีค่าใช้จ่ายของอุปกรณ์มากขึ้น และมีโอกาสเกิดการบาดเจ็บของเส้นเลือดหรือเส้นประสาทได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ เนื่องจากเส้นประสาทอยู่ใกล้กับบริเวณที่ผ่าตัดมาก และการผ่าตัดแบบปิดนี้ใช้ได้สำหรับคนไข้ที่มีอาการของโรคตั้งแต่ระยะที่สองขึ้นไป โดยภาพรวมนั้นถือว่าการผ่าตัดเป็นการรักษาที่ดีที่สุดในการที่จะช่วยไม่ทำให้กลับมาเป็นโรคได้อีก

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ หรือเรียกอีกอย่างว่า “โรครองช้ำ”

เป็นโรคที่มีการอักเสบของเส้นเอ็นใต้ฝ่าเท้า ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะผู้หญิง  โดยมักมีอาการเจ็บบริเวณส้นเท้า ซึ่งสัมพันธ์กับการเดินลงน้ำหนักเท้า มักเป็นมากตอนเช้าขณะลุกจากเตียง อาการจะเป็น ๆ หาย ๆ ตามลักษณะการใช้งาน การอักเสบจะเกิดขึ้นบริเวณเอ็นส้นเท้าต่อเนื่องไปจนถึงเอ็นร้อยหวาย ในรายที่เป็นมานานหรือไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาการจะเป็นเรื้อรังมากขึ้นจนอาจเป็นตลอดวัน สาเหตุ เกิดจากการตึงตัวที่มากเกินของเส้นเอ็นฝ่าเท้าและอุ้งเท้าที่ทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกขณะที่เราลงน้ำหนัก จนเกิดเป็นพังผืด และเกิดการอักเสบเรื้อรังสะสมมาเรื่อย ๆ ผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ 1.คนที่มีโครงสร้างร่างกายผิดปกติ เช่น อุ้งเท้าสูง เท้าแบน 2.น้ำหนักตัวที่มากเกินไป ทำให้มีแรงส่งไปที่เท้าเยอะขึ้น 3.คนที่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ 4.การวิ่งที่ลงน้ำหนักที่ส้นเท้ามากเกินไป 5.การวิ่งที่พื้นแข็งเกินไป หรือรองเท้าแข็งหรือบางเกินไป และรับแรงได้ไม่ดีเท่าที่ควร 6.คนสูงอายุ เนื่องจากพังผืดฝ่าเท้ามีความยืดหยุ่นลดลง 7.คนที่มีอาชีพที่ต้องยืนหรือเดินนานๆ ทำให้พงผืดฝ่าเท้าตึง  อาการ อาการของผู้ที่เป็นโรครองช้ำ คือ จะปวดฝ่าเท้ารอบ ๆ ส้นเท้าไปถึงเอ็นร้อยหวายในช่วงแรกที่เริ่มใช้งาน เช่น ตอนตื่นนอน ตอนลุกจากการนั่งนาน ๆ เป็นต้น โดยจะมีอาการปวดเหมือนมีเข็มมาแทงหรือโดนของร้อน อาการจะดีขึ้นเมื่อมีการใช้งานไปสักระยะ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาการปวดจะเรื้อรังและรุนแรงมากขึ้นจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ การวินิจฉัย โดยทั่วไป การวินิจฉัยโรครองช้ำสามารถทำได้จากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย โดยแพทย์อาจจะส่งตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ เอกซเรย์: หากมีการอักเสบของจุดเกาะเส้นเอ็นเป็นเวลานาน ร่างกายจะสร้างแคลเซียมมาพอกไว้ ซึ่งหากเอกซเรย์พบแคลเซียมที่มาพอกจุดเกาะเส้นเอ็น จะเป็นการสนับสนุนการวินิจฉัยโรครองช้ำ อัลตราซาวด์: สามารถบ่งบอกการบวมหนาของเส้นเอ็นฝ่าเท้าได้ ซึ่งจะบอกถึงการอักเสบของเส้นเอ็นฝ่าเท้า การรักษา จะเริ่มจากการใช้ยาไปพร้อม ๆ กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หากยังไม่หาย จะเริ่มมีการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาช่วยการรับประทานยา เช่น ยาแก้อักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด เป็นต้น แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และระยะเวลาการรับประทานยาไม่ควรนานจนเกินไป การใช้เฝือกอ่อน โดยจะใช้ในช่วงแรกเพื่อลดอาการอักเสบ ฝึกยืดเหยียดฝ่าเท้า และแช่เท้าในน้ำอุ่น การใช้แผ่นรองเท้าที่มีลักษณะนิ่ม หรือสวมรองเท้าที่เหมาะสม การทำกายภาพบำบัด ใช้ความร้อนแบบอัลตราซาวด์ การรักษาด้วยคลื่นกระแทก (Shock wave) มักทำในกรณีที่ทานยาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังไม่หาย หรือต้องการให้อาการหายเร็วขึ้น การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่การรักษาแบบไม่ผ่าตัดเป็นระยะเวลาหนึ่งไม่สำเร็จ โดยจะมีหลายเทคนิค ซึ่งแพทย์จะเป็นคนเลือกให้เหมาะสมที่สุดกับผู้ป่วยแต่ละราย การป้องกัน โดยทั่วไปโรคนี้สัมพันธ์กับพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้นสามารถดูแลตัวเองได้ ดังนี้ เลือกรองเท้าที่เหมาะสม ได้แก่ รองเท้าที่ไม่รัดจนเกินไป มีส้นที่นิ่ม มีแผ่นรองรองเท้า โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่น้ำหนักเยอะ หรือใช้งานเท้าเยอะ ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้ฝ่าเท้าเป็นเวลานาน หรือการเดินเท้าเปล่าบนพื้นแข็ง หากมีการออกกำลังโดยการวิ่งอยู่ประจำ ควรปรับท่าวิ่งให้เหมาะสม ได้แก่ ก้าวให้สั้นลง และลงน้ำหนักให้เต็มเท้า หากต้องใช้ฝ่าเท้าหรือใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ควรมีการถอดออกมาพัก และยืดเส้นเอ็นเป็นระยะ ในผู้ที่มีโครงสร้างของเท้าที่ผิดปกติ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตัดรองเท้าให้เหมาะสม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

10 ข้อแนะนำ ในการมีสุขอนามัยการนอนหลับที่ดี

1. สร้างบรรยากาศห้องนอนที่เหมาะสม 2.เข้านอนตรงเวลาและตื่นตรงเวลา ในเวลาใกล้เคียงกันทุกวันทั้งวันธรรมดาและวันหยุดก่อนเวลานอนซัก 1 ชั่วโมงควรผ่อนคลาย 3.อย่าบังคับตัวเองให้นอนหลับ 4. สามารถนอนได้ในเวลากลางวันโดย ไม่เกิน 30 นาทีและไม่ควรงีบหลับหลังบ่าย3โมง 5 พยายามรับแสงในตอนเช้า ประมาณ 10-15 นาที และ หลีกเลี่ยงเลี่ยงแสงจ้าในตอนเย็น 6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควรเป็นช่วงเวลาเช้าและไม่ควรออกกำลังกายก่อนเวลานอน 3 ชั่วโมง 7. ไม่ควรดื่มชา, กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟน อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนการนอน 8. ไม่ควรทานอาหารมื้อใหญ่ อย่างน้อย 4 ชม. ก่อนการนอนหลับ 9.ไม่ควรดื่มน้ำมากกว่า 1 แก้วก่อนนอนและแนะนำให้ปัสสาวะก่อนเข้านอน 10. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หากจะดื่มแนะนำให้ดื่มอย่างน้อย 4 ชม. ก่อนเข้านอน   เวชศาสตร์วิถีชีวิต

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เวชศาสตร์ วิถีชีวิต : เวชปฏิบัติแนวใหม่ในการ แก้ไขปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

เวชศาสตร์ วิถีชีวิต ( Lifestyle Medicine: LM ) คือการบูรณาการแนวทางเวชศาสตร์ปฏิบัติด้านวิธีชีวิตเข้ากับการแพทย์ปัจจุบันซึ่งการบูรณาการนี้มี จุดมุ่งหมายเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง  และในกรณีที่เป็นโรคอยู่แล้วก็สามารถใช้เป็นแนวทางเสริมในการบำบัดรักษาได้ในปีค.ศ. 2007 ให้ คำจำกัดความของเวชศาสตร์วิถีชีวิตว่าเป็น “ การประยุกต์ใช้หลักการด้านสิ่งแวดล้อมพฤติกรรมศาสตร์ การแพทย์ และแรงจูงใจในการจัดการปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตในระดับคลินิก เวชศาสตร์วิถีชีวิตเป็นเวชศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นศาสตร์ที่จะสามารถจัดการป้องกันและควบคุมโรคNCDs  ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย เวชศาสตร์วิถีชีวิตเป็นเวชชปฏิบัติที่อยู่บนพื้นฐานของการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการช่วยบุคคลและชุมชนด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างครอบคลุมกว้างขวาง โดยเวชศาสตร์วิถีชีวิตประกอบไปด้วยหกเสาหลัก (Six Pillars) ได้แก่ โภชนาการ การออกกำลังกาย และการมีกิจกรรมทางกาย การจัดการความเครียด การนอนหลับที่มีคุณภาพ การลด ละ เลิกสารเสพติดให้โทษ เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ และการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกในสังคมและในครอบครัว  โดยคำว่าเสาหลักนี้ต้องการสื่อให้เห็นถึงความจำเป็นของทุกเสาหลักที่จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อส่งผลให้เกิดการมีสุขภาพที่ดี ความสำคัญของแนวทางการเป็นองค์รวม ( Holistic approach ) ซึ่งไม่สามารถใช้เพียงแค่ 1-2 องค์ประกอบในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต   6 เสาหลักของวิถีชีวิต lifestyle medicine ประกอบไปด้วย 1. การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพเป็นการเน้นการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการพบส่วน 2. การออกกำลังกายเป็นประจำเป็นการส่งเสริมให้บุคคลที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและปรับให้เหมาะสมกับความสามารถและความชอบของแต่ละคน 3. การจัดการความเครียด เป็นการสอนเทคนิคการลดความเครียดและส่งเสริมกลไกการเผชิญปัญหาที่ดีเพื่อจัดการกับความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการมีความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนซึ่งส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจและระดับความดันโลหิตสูงที่อาจจะเกิดขึ้นและมีผลต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดและ ส่งผล ต่อ ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน 4. การนอนหลับที่ก่อให้เกิดการมีความสุขภาพดี การนอนหลับที่ไม่ดีส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อและทำให้ความรุนแรงของโรคไม่ติดต่อเพิ่มขึ้น ระยะเวลาการนอนหลับที่พอเพียงจะอยู่ในช่วงประมาณ7- 9 ชั่วโมง เวชศาสตร์วิถีชีวิตมีบทบาทในการประเมินสภาวะสุขภาพในด้านการนอน ด้วยการแนะนำการจัดการสิ่งแวดล้อมและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้เกิดการนอนหลับที่ดี 5. การหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย เช่น บุหรี่และแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์จัดเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรมที่สำคัญซึ่งสัมพันธ์กับภาวะสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรังหลายประการ เวชศาสตร์วิถีช่วยสนับสนุนให้เกิดการลดละเลิกและหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดโทษต่อ ร่างกาย 6. การมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกทางสังคมคือการมีความผูกพันใกล้ชิดกับผู้อื่น รู้สึกเป็นที่รัก ห่วงใย เห็นคุณค่าและได้รับการชื่นชมจากผู้อื่น และมีการสนับสนุนทางอารมณ์เมื่อรู้สึกแย่ โดย แพทย์เวชศาสตร์วิถีชีวิต จะประเมินสภาวะการแยกตัวออกจากสังคม หาสาเหตุ และให้คำแนะนำความสำคัญของการมีปฏิสัมพันธ์ในสังคมต่อภาวะสุขภาพของผู้ป่วย ความสำคัญของเวชศาสตร์วิถีชีวิต มีแนวทางการดูแลสุขภาพที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง โดยเน้นความสำคัญของการดูแลเฉพาะบุคคล การตัดสินใจร่วมกัน และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพและเป็นศาสตร์ที่เน้นการทำงานแบบสหวิทยาการ ที่รวบรวมสาขาวิชาต่างๆ  รวมถึงโภชนาการ สรีระวิทยาการออกกำลังกาย จิตวิทยา และสาธารณสุข     ที่มาจาก : วารสารสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                พญ. กานดา กู้เมือง สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์วิถีชีวิต

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

วิตามิน B12 สำคัญอย่างไร กับผู้สูงอายุ และ คนที่กินเนื้อสัตว์น้อย ?

วิตามินบี 12 วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ พบในอาหาร เช่น ไข่ นม เนื้อสัตว์ และผลิตได้จากแบคทีเรียในลำไส้ เนื่องจากเราไม่สามารถผลิตวิตามินบี 12 เองได้ จึงต้องอาศัยรับประทานจากอาหาร และ การมีจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้อย่างหลากหลายและสมดุล   ใครเสี่ยงขาดวิตามินบี 12 บ้าง ? ผู้สูงอายุ งานวิจัยพบว่า คนที่อายุเกิน 60 ปีในประเทศอังกฤษ และ อเมริกาขาดวิตามินบี 12 มากถึง 20% ซึ่งอาจเป็นเพราะผู้สูงอายุทานอาหารได้น้อย การดูดซึมไม่ดี หรือมีการใช้ยาต่างๆหลายอย่างที่อาจส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินบี 12 ผู้ที่ทานอาหารแบบมังสวิรัติ หรือ วีแกน หรือทานเนื้อสัตว์น้อย ทำให้ได้รับวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากวิตามินบี 12 ถูกเก็บสะสมอยู่ที่ตับ การที่มีตับอักเสบหรือถูกทำลายจากแอลกอฮอล์ทำให้การเก็บสะสมและการปล่อยวิตามินบี 12 ออกมาใช้ทำได้ไม่ดี นอกจากนี้หากดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก อาจทำให้กินอาหารอื่นๆที่มีวิตามินบี 12ลดลง และแอลกอฮอล์ยังอาจส่งผลให้กระเพาะและลำไส้อักเสบ ทำให้การดูดซึมวิตามินบี 12 ได้ลดลงได้อีกด้วย ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดกระเพาะหรือลำไส้ออก เนื่องจากทำให้การดูดซึมวิตามินบี 12 ทำได้น้อยลง ผู้ที่ทานยาเบาหวาน metformin พบว่าขาดวิตามินบี12ได้บ่อย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องใช้ปริมาณยามาก และทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งอาจเป็นเพราะยาไปรบกวนการดูดซึมวิตามินบี 12 ที่ลำไส้ และ รบกวนสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ผู้ที่ทานยาลดกรด เช่น omeprazole (Miracid), esomeprazole (Nexium), lansoprazole (Prevacid) เนื่องจากความเป็นกรดที่ลดลงทำให้การดูดซึมวิตามินบี12 จากอาหารลดลงได้ ผู้ที่กินยาโรคเก๊าท์ colchicine เนื่องจากยานี้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผนังลำไส้ส่วนปลายแบบชั่วคราว ซึ่งมีผลให้การดูดซึมวิตามินบี12 ลดลงได้   วิตามินบี 12 มีประโยชน์อย่างไร ? วิตามินบี 12 ช่วยในการสร้าง DNA สร้างเซลล์ต่างๆ รวมถึงเซลล์เม็ดเลือดแดง และเซลล์ระบบประสาท   เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราขาดวิตามินบี 12 ? การขาดวิตามินเล็กน้อย อาจยังไม่ทำให้เกิดอาการใด หากขาดมาก อาจทำให้เกิดอาการ เช่น ชาปลายมือปลายเท้า หรือ เหน็บชา มีอาการชายิบๆง่าย ผิวหนังซีด, โลหิตจาง ลิ้นเลี่ยน ลิ้นอักเสบ หรือ ปากเป็นแผลบ่อยๆ ท้องผูก ท้องเสีย เบื่ออาหาร หรือ ท้องอืด มีลมในท้องมาก เหนื่อยง่าย ใจสั่น อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ อารมณ์เปลี่ยนแปลง เช่น ซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย   อย่างไรก็ตาม อาการของการขาดวิตามินบี 12 มักไม่ชัดเจน หรือไม่เฉพาะเจาะจง ปัจจุบันเราสามารถทราบภาวะการขาดวิตามินบี 12 ได้จากการตรวจวิตามินในเลือด ซึ่งการตรวจวิตามินบี 12 โดยตรงอาจมีความไวของการตรวจไม่มากนัก ต้องขาดมากๆแล้ว ค่าจึงจะผิดปกติ จึงมีการตรวจโดยอ้อมจากการตรวจสารอักเสบของหลอดเลือดที่ชื่อว่า Homocysteine ซึ่งสารอักเสบนี้จะคั่ง หรือพบปริมาณมาก หากขาดวิตามินบี 12 กรดโฟลิค หรือ วิตามินบี 6 นอกจากนี้ งานวิจัยพบว่าการมีสาร Homocysteine นี้ปริมาณสูง สัมพันธ์กับโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคอัลไซเมอร์อีกด้วย ซึ่งอาจเป็นเพราะสารดังกล่าวทำให้เกิดอนุมูลอิสระ และการอักเสบของหลอดเลือดขึ้น   เราจะเพิ่มปริมาณวิตามินบี 12 ในร่างกายได้อย่างไร ? ทานอาหารที่มีวิตามินบี 12 เพิ่มขึ้น เช่น เนื้อสัตว์ หมู ไก่ ปลา นม ไข่ ทานอาหารที่มีโปรไบโอติกส์ หรือ จุลินทรีย์ชนิดดี เช่น โยเกิร์ตที่ระบุว่ามีจุลินทรีย์ที่มีชีวิต (Live & active cultures), ชาหมักคอมบูชะ (Kombucha) หรือทานโปรไบโอติกส์โดยตรง เพื่อให้แบคทีเรียชนิดดีเหล่านี้ช่วยสร้างวิตามินบี 12 ให้เรา ทานอาหารกลุ่มพรีไบโอติกส์ หรือ อาหารของจุลินทรีย์ชนิดดี เพื่อหล่อเลี้ยงแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้เรา เช่น กระเทียมดิบ หอมหัวใหญ่ หอมแดง หรือต้นหอมดิบ ขิง ข่า ตะไคร้ ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วขาว แอปเปิ้ล แครอท งดแอลกอฮอล์ ทานวิตามินบี 12 เสริม หากพบว่าขาดวิตามินบี 12 สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อทานวิตามินเสริม และ ตรวจติดตาม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

รู้ได้อย่างไร ว่าเราขาดวิตามินดี Vitamin D

วิตามินดี (Vitamin D) วิตามินดีเป็นวิตามินละลายในไขมัน เราได้รับวิตามินดีส่วนใหญ่โดยการสังเคราะห์ทางผิวหนังจากแสงแดดเป็นหลัก วิถีชีวิตของคนยุคใหม่ที่อยู่ในออฟฟิศหรือในบ้านเป็นหลัก กลัวผิวเสีย ทำให้เราขาดวิตามินดีกันได้มากขึ้น ใครเสี่ยงขาดวิตามินดีบ้าง ? ผู้สูงอายุโดยเฉพาะอายุมากกว่า 65 ปี มีโอกาสขาดวิตามินดี เนื่องจาก อาจมีโอกาสอยู่กลางแดดน้อยลง การรับประทานอาหารลดลง ตัวรับบริเวณผิวหนังลดลง ทำงานในร่มตลอดเวลา ไม่ค่อยได้ออกกลางแจ้ง เช่น พนักงานออฟฟิศ ทาครีมกันแดดเป็นประจำ หญิงที่ให้นมบุตร มีโรคตับเรื้อรัง, การทำงานของตับผิดปกติ ทำให้เปลี่ยนวิตามินดีเป็นตัวออกฤทธิ์ได้น้อยลง มีโรคไตเรื้อรัง, การทำงานของไตผิดปกติ ทำให้เปลี่ยนวิตามินดีเป็นตัวออกฤทธิ์ได้น้อยลง หรือวิตามินดีรั่วออกไปได้มากขึ้น   วิตามินดีมีประโยชน์อย่างไร ? วิตามินดี ช่วยในการรักษาสมดุลของ แคลเซียม และ ฟอสฟอรัส ในร่างกาย ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม ร่วมกับแคลเซียมในการป้องกันกระดูกพรุน มีส่วนสำคัญกับการเจริญเติบโตและซ่อมแซมกระดูกและกล้ามเนื้อ ช่วยลดการอักเสบ และช่วยการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันพบว่า นอกจากเป็นวิตามินแล้ว วิตามินดียังเป็นฮอร์โมนอีกด้วย ซึ่งช่วยในการทำงานของอวัยวะต่างๆของร่างกาย และการขาดวิตามินดีมีความสัมพันธ์กับโรคเรื้อรังที่พบบ่อยๆ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันสูง โรคมะเร็ง โรคซึมเศร้า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราขาดวิตามินดี ? ในเด็ก การขาดวิตามินดีอย่างมากอาจทำให้การเจริญของกระดูกผิดปกติ เดินได้ช้า หรือกระดูกขาโก่งงอ แต่สำหรับผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการชัดเจน เราจึงมักจะทราบว่าเราขาดวิตามินดีก็ต่อเมื่อเราได้ตรวจระดับวิตามินดีในร่างกาย อย่างไรก็ตามอาการที่อาจพบได้ เช่น ปวดกระดูก ปวดข้อ มวลกระดูกลดลงมาก อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ เป็นตะคริวบ่อยๆ อารมณ์เปลี่ยนแปลง เช่น ซึมเศร้า เราจะเพิ่มวิตามินดีในร่างกายได้อย่างไร ? ออกกลางแจ้งบ้าง พบว่า 80-90% ของวิตามินดีในร่างกายเราได้รับมาจากการสังเคราะห์ทางผิวหนังจากแสงแดด หากอยู่ในร่มตลอดทั้งวัน แนะนำให้ออกกลางแจ้งบ้าง ในช่วงเวลาที่ไม่รู้สึกว่าร้อนเกินไปหรือไม่ทำให้ผิวไหม้ เนื่องจากจริงๆแล้ว UVB ที่ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นตัวกระตุ้นให้คอเลสเตอรอลที่ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินดี ดังนั้นยิ่งแดดแรงยิ่งได้วิตามินดีมาก แต่ก็ควรตากแดดแต่พอดีนะคะ เอาที่เรารู้สึกไม่ร้อนเกินไป และผิวเราไม่แดง ไม่แสบนะคะ ทานอาหารที่มีวิตามินดี วิตามินดีเป็นวิตามินละลายในไขมัน พบในอาหาร เช่น ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูนา หรือ ตับ ไข่แดง เห็ดต่างๆ ทานวิตามินดีเสริม หากตรวจวิตามินดีแล้วพบว่ามีวิตามินดีต่ำ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทานวิตามินดีเสริม และ ตรวจติดตามเป็นระยะนะคะ เนื่องจากระดับวิตามินดีที่สูงเกินไปก็สามารถส่งผลเสียแก่ร่างกายได้เช่นกันค่ะ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคเอสแอลอี (SLE)

โรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจาก Systemic Lupus Erythematosus หรือบางครั้งอาจถูกเรียกว่า "ลูปัส" ซึ่งในภาษาลาตินแปลว่าหมาป่า ชื่อนี้มีที่มาจากรอยโรคที่หน้าของผู้ป่วยบางรายมีลักษณะคล้ายรอยถูกหมาป่ากัด โดยโรคลูปัสนั้นมีความหมายใน 2 ลักษณะ คือ โรคที่ผิวหนังเท่านั้น (Cutaneous Lupus Erythematosus) และ โรคที่เกิดในระบบต่างๆนอกจากเฉพาะทางผิวหนัง (Systemic Lupus Erythematosus: SLE) โรคเอสแอลอี เป็นหนึ่งในโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเอง (Autoimmune Rheumatic Disease)     โรคในกลุ่มภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเอง คือ โรคที่ระบบภูมิคุ้มกันของตนเองโจมตีเนื้อเยื่อของตนเอง ส่งผลให้เนื้อเยื่อในอวัยวะต่างๆซึ่งถูกภูมิคุ้มกันโจมตีนั้นมีการอักเสบ เกิดขึ้นโดยโรคต่างๆในกลุ่มโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเองจะถูกจำแนกชนิดตามลักษณะอาการที่ปรากฏในอวัยวะต่างๆและชนิดของระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติที่เกี่ยวข้อง โรคในกลุ่มภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเองมีหลายโรค เช่น โรคเอสแอลอี โรคหนังแข็ง โรครูมาตอยด์ โรคผิวหนังและกล้ามเนื้ออักเสบ โรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผสม โรคโจเกร็น เป็นต้น โดยอาจพบโรคในกลุ่มนี้พร้อมกัน 2 โรคในผู้ป่วยคนเดียวกันได้ ด้วยในโรคเอสแอลอีแม้อาจปรากฏอาการได้ในหลายระบบ เช่น ข้อ เลือด ไต สมอง หรือผิวหนัง ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการแค่บางระบบเท่านั้น โดยในแต่ละช่วงเวลาอาจมีการกำเริบในอวัยวะที่แตกต่างกันได้ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับอวัยวะที่มีปัญหา ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เกือบเป็นปกติ โรคเอสแอลอีเกิดจากอะไร?     การเกิดโรคเอสแอลอีโดยมีปัจจัยหลัก 2 ส่วน ได้แก่ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมโดยมียีนบางชนิดที่พบว่าเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคและเมื่อถูกกระตุ้นโดยปัจจัย สิ่งแวดล้อมบางอย่างก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเอสแอลอีขึ้น ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่อาจเป็นเหตุกระตุ้น เช่น ยาบางชนิด หรือ แสงแดด เป็นต้น การวินิจฉัย     ต้องอาศัยหลักฐานลักษณะอาการร่วมกันกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ทั้งการตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ และการตรวจอื่นๆ เพื่อการวินิจฉัยแยกโรค การวินิจฉัยโรคเอสแอลอีแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ หลักฐานทางคลินิค และ หลักฐานที่ตรวจพบในระบบภูมิคุ้มกัน หลักฐานทางคลินิคประกอบด้วยลักษณะของอาการและอาการแสดงรวมถึงผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่มีลักษณะเข้ากันได้กับโรคเอสแอลอี เช่น ข้ออักเสบ ไตอักเสบ เยื่อบุปอดหรือช่องท้องอักเสบ ลมชัก ผื่นผิวหนังอักเสบ ลูปัส เม็ดเลือดแดงแตก เกร็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นต้น หลักฐานที่ตรวจพบในระบบภูมิคุ้มกันที่เข้าได้กับโรคเอสแอลอี เช่น  ANA, anti-dsDNA, anti-Sm, anti-SSA เป็นต้น อาการของโรค        อาการทั่วไปที่อาจบ่งชี้ว่าโรคกำเริบ เช่น ไข้ อ่อนเพลียเหนื่อยง่าย ถึงแม้ว่าอาการเหล่านี้พบได้ในหลายโรค แต่หากผู้ป่วยโรคเอสแอลอี มีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่าเกิดจากโรคกำเริบหรือไม่   อาการที่พบบ่อยเกิดใน 4 ระบบ ได้แก่ ผิวหนัง ข้อ ไต และเลือด ผิวหนัง เช่น ผื่นแดงลักษณะคล้ายรูปผีเสื้อที่หน้า ผื่นแพ้แสง ผื่นเป็นวงที่หู ผมร่วง เป็นตัน ข้อและกล้ามเนื้อ เช่น ปวดข้อ ข้อบวมอักเสบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น ไต เช่น ปัสสาวะมีฟองมาก ขาบวม เป็นต้น เลือด เช่น โลหิตจางมีอาการซีดเพลีย เกร็ดเลือดต่ำมีอาการจุดจ้ำเลือดตามผิวหนัง เม็ดเลือดขาวต่ำ เป็นต้น นอกจากนี้อาจพบอาการในอวัยวะอื่นๆ เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบ เยื่อบุปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ อาการชัก อาการชา ประสาทหลอน ความคิดสับสน ซึมเศร้า ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต ขาดประจำเดือนหรือประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีหลายอาการกำเริบและสงบสลับกันไป ขณะที่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการหนึ่งก่อนจะมีอาการอื่นๆค่อยๆทยอยมา อาจมีอาการจากความผิดปกติของอวัยวะเดียวหรือหลายอวัยวะร่วมกันได้ การรักษาด้วยยา ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เป็นยาที่นิยมใช้เพื่อควบคุมอาการปวดอักเสบข้อ เยื่อบุปอดอักเสบ หรือไข้ ผลข้างเคียงยาที่สำคัญคืออาจทำให้ปวดท้องหรือเกิดแผลที่กระเพาะอาหาร จึงควรรับประทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที นอกจากนี้หากผู้ป่วยมีโรคไตหรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนรับประทานยาในกลุ่มนี้ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น ไอบูโพรเฟน อินโดเมทาชิน นาโพรเซน ไดโคลฟีแนค เป็นต้น ยากลุ่มใหม่ เช่น โมบิค อาร์ค็อกเซีย ซิลิเบร็ค ยาในกลุ่มใหม่มีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารน้อยกว่ากลุ่มเดิมแต่ยังคงต้องระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีโรคไตหรือโรคหัวใจเช่นกันกับกลุ่มเดิม หากผู้ป่วยวางแผนที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัดขอให้แจ้งแพทย์ผู้ดูแลเพื่อ พิจารณาหยุดยาก่อนการผ่าตัด หากรับประทานยาในกลุ่มนี้ต่อเนื่องควรได้รับการตรวจเลือดเพื่อประเมินผลข้างเคียงเป็นระยะ กลุ่มยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาในกลุ่มนี้ เช่น เพร็ดนิโซโลน เด็กซ่าเมทาโซน ไฮโดรคอร์ติโซน เป็นต้น ยาในกลุ่มนี้รู้จักกันในชื่อยาสเตียรอยด์ ยานี้เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ปกติถูกสร้างจากต่อมหมวกไต ยาสเตียรอยด์ช่วยควบคุมการกำเริบโรคเอสแอลอีในอวัยวะต่างๆ เช่น ไตอักเสบ เม็ดเลือดแดงแตก ข้ออักเสบที่ไม่ตอบสนองต่อยาควบคุมโรคเบื้องต้น เป็นต้น ผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์ในระยะยาวที่สำคัญ เช่น กดการทำงานของต่อมหมวกไต กระดูกพรุน อ้วนขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ เป็นต้น ผลข้างเคียงของยาขึ้นกับขนาดและระยะเวลาที่ใช้ยา ดังนั้นการติดตามการรักษาและปรับยาโดยแพทย์ผู้ดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้การใช้ยามีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคว ดังนั้นการเข้ารับ การตรวจรักษาหรือวางแผนการผ่าตัดต้องแจ้งแพทย์ผู้ดูแลให้ทราบ ว่ามีโรคประจำตัวเป็นโรคเอสแอลอีซึ่งกำลังรับประทานยาสเตียรอยด์ด้วยทุกครั้ง กลุ่มยาต้านมาลาเรีย ยาในกลุ่มนี้ช่วยควบคุมอาการปวดอักเสบข้อ อาการผื่นผิวหนังอักเสบ เยื่อบุปอดอักเสบ ในผู้ป่วยโรคเอสแอลอีเมื่อรับประทานร่วมกับยากดภูมิคุ้มกันยังช่วยให้สามารถลดขนาดยากดภูมิคุ้มกันที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อให้โรคสงบได้ นอกจากนี้เมื่อโรคเอสแอลอีเข้าสู่ระยะสงบแล้วยายังช่วยลดโอกาสโรคกลับมากำเริบ ผลข้างเคียงยาที่สำคัญ คือ ผลข้างเคียงต่อจอประสาทตาโดยความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงนี้ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของยา ขนาดของยา ระยะเวลาการรับประทาน เป็นต้น ผู้ป่วยที่รับประทานยาในกลุ่มนี้อยู่จึงควรเข้ารับการตรวจตาเป็นระยะตามคำแนะนำของแพทย์ หากตรวจพบความผิดปกติของจอประสาทตาการหยุดรับประทานยาจะช่วยให้ผลข้างเคียงดังกล่าวกลับคืนเป็นปกติได้ กลุ่มยากดภูมิคุ้มกัน        ยาในกลุ่มกดภูมิคุ้มกัน มีข้อบ่งชี้ในผู้ป่วยโรคเอสแอลอีในหลายลักษณะ เช่น ในกรณีการกำเริบโรคที่รุนแรง กรณีไม่ตอบสนองต่อยา ควบคุมโรคเบื้องต้น หรือเพื่อลดขนาดยาสเตียรอยด์ ตัวอย่างชนิดยาในกลุ่มกดภูมิคุ้มกัน เช่น เมทโทเทร็กเซ็ต อาชาไทโอปริน (อิมมูแรน) ไมโคฟีโนเลตโมเฟติล (เซลเซ็ป) ไซโคลฟอสฟาไมด์ (เอ็นด็อกแซนด์) เป็นต้น การรับประทานยาในกลุ่มนี้จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจรักษาและปรับยาจากแพทย์ผู้ดูแลเป็นประจำ โดยจำเป็นต้องรับการตรวจเลือดและการตรวจอื่นๆ ตามความจำเป็นเพื่อติดตามผลข้างเคียงของยาตามแต่ชนิดของยานั้น ควรปฏิบัติตัวดูแลตนเองอย่างไรเพื่อลดโอกาสโรคกำเริบ มีสุขนิสัยที่ดี ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด ดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟัน ล้างมือให้สะอาด กินอาหารสุกสะอาด งดบุหรี่และสุรา ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทําจิตใจให้แจ่มใส พักผ่อนอย่างเดียวไม่ออกกำลังกายก็ทำให้กล้ามเนื้อลีบไม่มีแรง   ป้องกันการติดเชื้อ เนื่องจากทั้งโรคเอสแอลอีและยากดภูมิคุ้มกันอาจทำให้ติดเชื้อ ได้ง่ายและรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุกใหม่ด้วยความร้อน จึงมีอาหารบางชนิดที่ต้องงด เช่น ปลาดิบ ส้มตำ ไข่ลวก เป็นต้น หากไปในสถานที่มีคนอยู่มากให้ระวังการติดเชื้อ ควรล้างมือบ่อย และอาจต้อง ไส่หน้ากากอนามัย รวมถึงควรดูแลสุขภาพของช่องปากอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันฟันผุและเหงือกอักเสบ   เลี่ยงแดด เพราะรังสีอุลตราไวโอเลตในแสงแดดอาจกระตุ้นให้โรคกำเริบ ควรทาครีมกันแดด SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป เพื่อป้องกัน UVB และเลือกครีมกันแดดที่ป้องกัน UVA ในระดับ ++ ขึ้นไป โดยควรทาอย่างถูกวิธี ได้แก่ ทาหนาเพียงพอ ทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 15 นาที   ห้ามตั้งครรภ์โดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะการตั้งครรภ์อาจทำให้โรคกำเริบมากขึ้นได้ ยาที่ควบคุมโรคบางชนิดจำเป็นต้องหยุดยาก่อนการตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ในทางกลับกันยาบางชนิดก็ไม่ควรหยุดเพราะอาจทำให้โรคกำเริบในช่วงตั้งครรภ์ซึ่งกลับเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ นอกจากนั้นภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติบางอย่างในโรคเอสแอลอีเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง หรือการเกิดโรคหัวใจของทารกในครรภ์ได้   ห้ามขาดยา ปรับยาหรือหยุดยาเอง ยกเว้นกรณีแพ้ยา หากกังวลเกี่ยวกับการใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแล รับยาเพิ่มเติมจากแพทย์ท่านอื่นหรือรับประทานยาสมุนไพรควรแจ้งแพทย์ผู้ดูแลรับทราบ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ทำความรู้จัก "แคดเมียม" สาเหตุโรคมะเร็งและโรคอิไต อิไต

แคดเมียม (Cadmium) มีสูตรทางเคมีคือ Cd ค้นพบปี พ.ศ. 2360 ซึ่งในธรรมชาติมักปะปนอยู่ในแร่สังกะสีซัลไฟด์ และเป็นผลพลอยได้จากการถลุงแร่ สังกะสี แคดเมียมเป็นโลหะที่มีคุณสมบัติอ่อน งอได้ มีสีขาวปนน้ำเงินเป็นโลหะที่ทนต่อการกัดกร่อน มีจุด หลอมเหลวประมาณ 321 องศาเซลเซียส หากหลอมเหลวด้วยความร้อน และความกดดันสูงทำให้กลายเป็นไอ ควัน ในรูปแบบแคดเมียมออกไซด์ นอกจากนี้แคดเมียมอาจอยู่ในรูปเกลือหรือสารประกอบต่างๆ เช่น แคดเมียมออกไซด์ มีสีแดง แคดเมียมซัลเฟต มีสีเหลือง ใช้ในการผลิตสี และแบตเตอรี่นิกเกิล-แคดเมียม เป็น ต้น   การเข้าสู่ร่างกายและกลไกการเกิดโรค ทางการหายใจ ฝุ่นละอองที่มีสารแคดเมียม และไอควันแคดเมียมออกไซด์ การสูบบุหรี่ ทางการกิน ปนเปื้อนจากอาหาร แหล่งน้ำ และดินที่เพาะปลูก มักถูกดูดซึมในทางเดินอาหารร้อยละ 2-6 แต่ในภาวะที่ร่างกายขาดธาตุเหล็กจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมากถึงร้อยละ 20 เมื่อแคดเมียมถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้วนั้น ร้อยละ 80-90 จะจับกับโปรตีน (metallothionin) ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดพิษจากแคดเมียม และร้อยละ 50 ของแคดเมียมที่มีอยู่ทังหมดในร่างกาย สะสมอยู่ที่ตับ และไต แคดเมียมมีระยะกึ่งชีพยาวนาน 7-30 ปี ตามปกติแคดเมียมถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ แต่ อัตราการขับออกทางปัสสาวะค่อนข้างต่ำและจำนวนเล็กน้อย ถูกขับออกทางน้ำดี น้ำลาย ผม และเล็บ   อาการเฉียบพลัน  (จากการหายใจรับไอหรือควันของแคดเมียม)  อาการเฉียบพลัน (จาการอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีแคดเมียมเกินกว่า 15 มก./ลิตร) ปวดศีรษะ มึนงง วิงเวียน ไข้หนาวสั่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย เจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก สูญเสียน้ำ และเกลือแร่ อาจช็อกและไตวาย อาการเรื้อรัง เกิดพังผืดที่ปอด ถุงลมโป่งพอง พิษต่อไต โรคกระดูก กระดูกพรุน กระดูกเปราะ และ หักง่าย ปวดขาและเดินลำบาก อาจพบภาวะโลหิตจางจากการแตกของเม็ดเลือดแดง และก่อให้เกิดการขาดธาตุเหล็ก สำหรับพิษต่ออวัยวะสำคัญ คือ พิษต่อไต โดยมีการอักเสบที่ไต ทำให้สูญเสียการทำงานของไต ซึ่งทำให้การดูดซึมโปรตีนกลับจากปัสสาวะลดลง รวมทั้งมีการขับโปรตีนออกมาในปัสสาวะมากขึ้น และขับแคลเซียมฟอสฟอรัส ออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้นทำให้เกิดไตวายเรื้อรังในที่สุด หากเกิดขึ้นแล้วจะไตจะเสื่อมถาวร แม้ไม่ได้รับแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายแล้ว ไตก็ไม่สามารถกลับคืนสภาพเดิมได้   โรคอิไต อิไต เป็นโรคพิษแคดเมียมที่มีผลต่อกระดูก การที่ไตขับแคลเซียมและฟอสฟอรัส ออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลต่อเมแทโบลิซึมของกระดูก ทำให้เกิดกระดูกเปราะ กระดูกพรุน และ หักง่าย   แคดเมียมกับมะเร็ง  แคดเมียมจัดว่าเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง การรับสารแคดเมียมเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง ต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอด ได้ เป็นต้น   แคดเมียมก่อให้เกิดโลหิตจาง แคดเมียมยังก่อให้เกิดการแตกทำลายของเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ภาวะซีด   ฝุ่น pm 2.5 ที่มีฝุ่นละอองของแคดเมียมและก่อให้เกิดการขาดธาตุเหล็ก ทำให้เกิดผลกระทบต่อ โรคทางเดินหายใจ โรคปอด โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น   การป้องกัน หลีกเลี่ยงอาหารที่ปลูกและผลิตในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนของแคดเมียมในปริมาณที่สูง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในบริเวณที่มีคนกำลังสูบบุหรี่ สวมหน้ากากป้องกันฝุ่นละออง แคดเมียม ป้องกันไอควันแคดเมียม ให้เหมาะสม งดเข้าพื้นที่เสี่ยง หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำโดยเฉพาะการตรวจปัสสาวะ เพื่อดูภาวะความเสื่อมของไต    การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ในกรณีสูดดม ฝุ่นละอองแคดเมียม หรือไอควันแคดเมียม ให้ ออกจากพื้นที่นั้น รับอากาศ บริสุทธิ์ และส่งแพทย์ทันที หากมีการกลืนกิน หรือดื่ม อาหารหรือน้ำดื่มที่มีแคดเมียมปนเปื้อน ให้ดื่มน้ำตามทันที 2 แก้ว แล้วรีบพบแพทย์  หากฝุ่นละอองแคดเมียมหรือ ไอควัน เข้าตา อาจ มีอาการแสบเคืองตา น้ำตาไหล ให้ล้างตา ด้วยน้ำสะอาดปริมาณมากๆและพบจักษุแพทย์  หากสัมผัสทางผิวหนัง ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนออกทันที ล้างด้วยน้ำไหลผ่าน รีบพบแพทย์ งดเข้าพื้นที่เกิดเหตุ ติดตามสถานการณ์ สังกตุอาการตนเอง หากผิดปกติ รีบพบแพทย์  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ตรวจสุขภาพกายไม่ทิ้งสุขภาพใจ

ตรวจสุขภาพกายไม่ทิ้งสุขภาพใจ การดูแลสุขภาพและการป้องกันโรคขั้นพื้นฐานคงหนีไม่พ้นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงสารเสพติด ขั้นต่อมาของการป้องกันโรคคือการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงของโรค โรคที่ไม่มีอาการ หรือโรคในระยะแรก ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ ลดความรุนแรงของโรคเหล่านั้นได้ อย่างไรก็ตามองค์ประกอบของสุขภาพไม่ได้มีเพียงแต่ด้านร่างกายเท่านั้น ยังรวมถึงสุขภาพทางใจซึ่งหมายถึง สภาวะจิตใจที่เป็นสุข สามารถจัดการหรือปรับตัวต่อปัญหาที่เข้ามาในชีวิตได้ รับรู้ศักยภาพที่ตนเองมี สามารถเรียนรู้หรือทำงานได้เป็นอย่างดี สุขภาพกายและสุขภาพใจมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน ตัวอย่างเช่นผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางรายมีความเครียดกับโรคที่ตนเองเป็น ทำให้เกิดความวิตกกังวล หรือคนทำงานที่มีความเครียดสูงทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าไม่สามารถออกกำลังกายหรือเลือกรับประทานอาหารสุขภาพได้ จึงทำให้เสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากขึ้น ดังนั้นการตรวจเช็คสุขภาพใจจึงมีความสำคัญไม่แพ้การตรวจสุขภาพกาย หลายคนคงเคยประเมินสุขภาพจิตด้วยแบบสอบถามกันมาบ้างแล้ว โดยแบบสอบถามที่นิยมใช้กันมักเป็นแบบสอบถามเพื่อค้นหาความผิดปกติ เช่น แบบประเมินความเครียด แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า ซึ่งแบบสอบถามเหล่านี้มีประโยชน์ในการค้นหาโรคเพื่อเข้ารับการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตต่อไป แต่การประเมินสุขภาพจิตด้วยการใช้แบบสอบถามดังกล่าวก็มีข้อจำกัด ไม่ได้ประเมินปัญหาความทุกข์ทางใจได้กว้างขวางครอบคลุมในบางประเด็นที่อาจไม่ใช่ความผิดปกติเช่น ปัญหาความสัมพันธ์ การจัดการอารมณ์ มุมมองต่อตนเองหรือผู้อื่น การตัดสินใจเรื่องสำคัญชีวิต เป็นต้น ทางเลือกในการประเมินและดูแลสุขภาพใจอีกทางก็คือการพูดคุยกับบุคลากรด้านสุขภาพจิต ซึ่งจะช่วยเป็นพื้นที่ปลอดภัย รับฟังปัญหาที่ไม่สามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในตนเอง และสถานการณ์ของปัญหาตามความเป็นจริง ส่งผลให้ผู้เข้ามารับการพูดคุยสบายใจขึ้น เปิดมุมมองใหม่ต่อปัญหา นำไปสู่ทางจัดการแก้ไขตามความเหมาะสมต่อไป ดังนั้น หากดูแลสุขภาพกายด้วยการตรวจสุขภาพประจำปีอยู่แล้ว ถ้าได้ดูแลสุขภาพใจด้วยการพูดคุยกับบุคลากรด้านสุขภาพจิตร่วมด้วย ยิ่งทำให้การดูแลสุขภาพครบถ้วน นำไปสู่สุขภาวะหรือชีวิตที่เป็นสุขทั้งกายและใจต่อไป   #ตรวจสุขภาพกายไม่ทิ้งสุขภาพจิต #โรงพยาบาลวิภาวดี #vibhavadihospital

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
<