โรคออทิสติก (Autistic)

โรคออทิสติก (Autistic) โรคออทิสติกคืออะไร           โรคออทิสติก เป็นโรคที่มีความผิดปกติของสมองตั้งแต่กำเนิดที่ส่งผลต่อพัฒนาการทั้ง 3 ด้านได้แก่ พัฒนาการด้านการสื่อสาร ด้านการเข้าสังคม และด้านการเล่น อาการสามารถจำแนกตามพัฒนาการแต่ละด้านได้ดังต่อไปนี้   พัฒนาการด้านการสื่อสาร เช่น พูดช้า พูดภาษาแปลก ๆ ไม่ส่งเสียงเรียก บอกความต้องการโดยการชี้นิ้ว ทำตามคำสั่งง่าย ๆ ไม่ได้ พัฒนาการด้านการเข้าสังคม เช่น ไม่สบตาเวลาพูด ดูเฉยเมยไร้อารมณ์ ปรับตัวเข้ากับเพื่อนได้ลำบาก ไม่แสดงอารมณ์ดีใจหรือเสียใจ พัฒนาการด้านการเล่น เช่น เล่นซ้ำ ๆ มองซ้ำ ๆ สนใจในรายละเอียดมากเกินไป ชอบเล่นตามลำพัง ไม่สนใจการเล่นกับเพื่อน ไม่สามารถเล่นตามกฎเกณฑ์  นอกจากนี้โรคออทิสติกสามารถแสดงด้วยอาการอย่างอื่น เช่น พฤติกรรมก้าวร้าว อยู่ไม่นิ่งหรือขาดสมาธิ ร้องกรี้ดเสียงสูง โขกศีรษะ เป็นต้น              ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของโรคออทิสติกที่แน่นอน เชื่อกันว่าภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์และการคลอด เช่น เลือดออกระหว่างตั้งครรภ์หรือคลอดก่อนกำหนดเป็นสาเหตุสำคัญ นอกจากนี้ปัจจัยทางพันธุกรรมก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ทั้งหมดนี้ทำให้การป้องกันไม่ให้เกิดโรคทำได้ยาก แพทย์จึงมุ่งเน้นไปที่การวินิจฉัยโรคให้ได้ตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อผลการรักษาที่ดี              โรคกลุ่มออทิสติกพบได้บ่อยถึงร้อยละ 1  อาการสามารถพบได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป ในเด็กที่เริ่มมีอาการเบื้องต้นผู้ปกครองมักคิดว่าเป็นเด็กขี้อาย รักสงบ หรือบางคนเข้าใจว่าเป็นเด็กสมาธิดี จดจ่อของเล่นได้นาน เด็กออทิสติกมักมีอาการที่ชัดเจนมากขึ้นเมื่ออายุ 3 ปี   การวินิจฉัยทำได้อย่างไร            เมื่อดูจากลักษณะภายนอกเด็กออทิสติกจะดูไม่แตกต่างจากเด็กปกติทำให้การวินิจฉัยโรคออทิสติกทำได้ยาก การวินิจฉัยโรคออทิสติกทำโดยการประเมินอาการทางคลินิกเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการใด ๆ การประเมินอาการประกอบด้วยการซักประวัติจากพ่อแม่และการประเมินเด็กผ่านทางการเล่น แพทย์อาจขอข้อมูลพฤติกรรมที่โรงเรียนจากครูเพิ่มเติม นอกจากนี้แพทย์จำเป็นต้องส่งประเมินระดับสติปัญญา (IQ test) โดยนักจิตวิทยาคลินิกเพื่อการวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง การส่งตรวจทางคลินิกที่อย่างอื่น เช่น คลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) จำเป็นในกรณีที่มีอาการชักร่วมด้วยเท่านั้น   ออทิสติกต่างกับปัญญาอ่อนอย่างไร            หลายคนมักเข้าใจว่าออทิสติกกับปัญญาอ่อนเป็นภาวะเดียวกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วออทิสติกเป็นคนละภาวะกับปัญญาอ่อนสามารถแยกจากกันโดยการส่งประเมินระดับสติปัญญา (IQ test) อย่างไรก็ตามโรคออทิสติกสามารถพบร่วมกับภาวะปัญญาอ่อนได้ร้อยละ 50 ในบางกรณีโรคออทิสติกสามารถมีระดับสติปัญญามากกว่าคนปกติและมีความสามารถพิเศษในระดับอัจฉริยะ (Autistic Savant) เช่น ความสามารถในการวาดรูป หรือความสามารถในการจำปฏิทิน   การรักษาโรคออทิสติก             ทุกวันนี้มีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ความเห็นในการรักษาออทิสติกแตกต่างกันไป ผู้เชียวชาญบางท่านให้ความเห็นว่าโรคออทิสติกสามารถรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งจากหลักฐานทางการแพทย์ในปัจจุบันโรคออทิสติกไม่สามารถรักษาให้หายขาดแต่สามารถรักษาให้มีอาการดีขึ้นและปรับตัวเข้ากับสังคมได้อย่างเหมาะสม การรักษาออทิสติกสามารถทำได้ 3 วิธีดังต่อไปนี้   การกระตุ้นพัฒนาการ เป็นการรักษาที่มีความสำคัญที่สุดในโรคออทิสติก การกระตุ้นพัฒนาการมีหลายวิธี ได้แก่ การกระตุ้นผ่านระบบประสาทรับความรู้สึก (Sensory Integration) กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy) และการฝึกพูด (Speech Therapy) การรักษาทั้งหมดนี้ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาอย่างต่อเนื่อง การปรับพฤติกรรม การปรับพฤติกรรมในเด็กออทิสติกมีวัตถุประสงค์เพื่อลดพฤติกรรมอันตราย เช่น โขกศีรษะหรือก้าวร้าว ซึ่งในเด็กออทิสติกจะมีข้อจำกัดในการสื่อสารทำให้ไม่สามารถใช้ภาษาพูดได้อย่างตรงไปตรงมา การสื่อสารเพื่อปรับพฤติกรรมต้องกระชับเข้าใจง่ายและทำได้จริง ทั้งนี้พ่อแม่ทุกรายควรได้รับการฝึกทักษะในการปรับพฤติกรรมโดยแพทย์ การใช้ยา เนื่องจากโรคออทิสติกเป็นโรคทางพัฒนาการของสมอง ดังนั้นยาจึงจำเป็นที่จะช่วยในการควบคุมสารเคมีในสมองให้มีความสมดุลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน การใช้ยาจะพิจารณาตามอาการสำคัญในเด็กออทิสติก เช่น ยา Risperidone ช่วยควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าว ยา Methylphenidate ช่วยควบคุมอาการขาดสมาธิและอยู่ไม่นิ่ง ทั้งนี้การรักษาด้วยยาจำเป็นที่จะต้องมีการดูแลและประเมินผลข้างเคียงโดยแพทย์อย่างใกล้ชิด               โรคออทิสติกเป็นโรคทางสมองที่ส่งผลต่อพัฒนาการ การรักษาจำเป็นต้องใช้ความทุ่มเททั้งกายและใจอย่างมาก ผลการรักษาขึ้นกับความเข้าใจในตัวโรค ความเชื่อมั่นศักยภาพในตัวเด็ก และความรักจากผู้ปกครอง ทั้งหมดนี้จะเป็นแรงผลักดันให้สามารถเอาชนะโรคออทิสติกได้                  นพ.ทรงภูมิ  เบญญากร       กุมารแพทย์สุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น คลินิกสุขภาพจิตและพัฒนาการเด็ก รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคหลอดเลือดในสมองอุดตัน

โรคหลอดเลือดในสมองอุดตัน           โรคหลอดเลือดในสมองอุดตันนั้น  พบมากเป็นอันดับ 2 ของโรคที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน รองจากโรคหัวใจ โรคชนิดนี้มักเกิดขึ้นกับผู้สูงวัย หรือคนอายุน้อย เกิดจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต  ภาวะเผชิญกับความเครียด และพฤติกรรมการสูบบุหรี่  ทั้งนี้ มักพบร่วมอาการกับโรคอื่นๆ ด้วย อาทิ  โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน  และไขมันในเลือดสูงมานานแล้ว และไม่ได้รับการรักษาหรือคนที่มีเส้นเลือดผิดปกติ หรือโป่งพองผิดปกติ ทำให้หลอดเลือดในสมองทำงานบกพร่อง จนตีบหรือแตก แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่เกิดภาวะเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกทุกคนจะรู้ว่าตนเองมีประวัติเหล่านี้ หรือความเสี่ยงเหล่านี้มาก่อน เว้นแต่จะมีการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี     อาการ          อาการมักเกิดขึ้นเฉียบพลัน ผู้ป่วยจึงควรสังเกตอาการตนเองอย่างใกล้ชิด  ส่วนหนึ่งที่ทำให้โรคนี้น่ากลัว คือ อาการนำซึ่งผู้ป่วยไม่สามารถล่วงรู้ได้ก่อนว่าจะเกิดขึ้นเวลาใด อันเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม โรคหลอดเลือดในสมองอุดตัน  จะเกิดจากไขมันหรือลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดเลี้ยงสมอง ส่งผลให้เซลล์สมองถูกทำลายเนื่องจากขาดออกซิเจน ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิต หรือทุพพลภาพได้ สัญญาณเตือนภัย     5  หลักสากล ที่ผู้ป่วยควรใช้สังเกตอาการเบื้องต้นก่อนภัยร้ายมาเยือน คือ  Walk เดินไม่ตรง   มีอาการเซ Talk  ออกเสียงไม่ชัด พูดไม่ออก Reach  เอื้อมหยิบสิ่งของไม่ได้ ไม่มีแรง ชาบริเวณ มือ แขน ขา  See  มองภาพไม่ชัด ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน  Feel   มีอาการปวดศีรษะ หรือ เวียนศีรษะอย่างรุนแรง   การตรวจวินิจฉัย           โดยเน้นการตรวจหาค่า Lab เฉพาะที่บ่งบอกถึงภาวะเสี่ยงดังกล่าว   และแม้กระทั่งบางคนอาจไม่เคยปรากฏประวัติเหล่านี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ภาวะเครียดหรือพฤติกรรมในการดำรงชีวิต ก็อาจส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้เช่นกัน ซึ่งนาทีวิกฤตของสมองนั้น ก็แตกต่างกัน เพราะเราไม่อาจทราบได้เลยว่า หลอดเลือดในสมองที่เกิดอาการนั้น ตีบมากแค่ไหน หรือแตกตรงตำแหน่งไหน จนกว่าจะได้รับการตรวจจากเครื่องมือทางการแพทย์ประเภทเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือการตรวจด้วยเครื่อง MRI ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที    การรักษา         ระยะที่  1   มีอาการเส้นเลือดตีบและอุดตัน จนผู้ป่วยมีอาการนำ เช่น ชาตามร่างกาย หมดสติ ซึ่งภายใน 2-3 ชั่วโมงแรก ญาติควรพาคนไข้มาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ในกรณีนี้หากไม่เกิน 3 ชั่วโมง แพทย์จะให้ยาละลายลิ่มเลือดในสมอง ซึ่งผลการรักษาจะดีกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยา          ระยะที่  2   เส้นเลือดในสมองแตก พบเลือดออกในสมอง ต้องรักษา ต้องผ่าตัดช่วยเหลือ ซึ่งปัจจุบันมีนวัตกรรมการผ่าตัดที่เรียกว่า Key Hole Surgery หรือการเจาะรูเล็กๆ คล้ายรูกุญแจที่ศีรษะ เพื่อดูดเลือดออกจากสมอง นวัตกรรมนี้มีข้อดีอย่างมาก เพราะมีแผลผ่าตัดที่เล็กมาก  และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นไม่นาน แต่คนไข้กลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะทุพพลภาพ   หรืออาจฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มแรก          ข้อแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย คือ หากมีอาการนำควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดภายใน 3 ชั่วโมง โดยเลือกโรงพยาบาลที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีความชำนาญและคอยดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด ( Fast Stroke Tract)  ตลอดจนการทำเวชศาสตร์ฟื้นฟู    โรคหลอดเลือดในสมองอุดตัน ป้องกันและรักษาได้หากเข้าใจ  และสังเกตตนเองอย่างสม่ำเสมอ  โดยเฉพาะโรคภัยใกล้ตัวที่เกิดขึ้นปุ๊บปั๊บอย่าง “ภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพ” ซึ่งยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่  ดังนั้นคำตอบเดียวที่เหมาะสมในการบรรเทาเบาบางวิกฤตอาการเหล่านี้ คือ  ต้องถึงมือแพทย์ให้เร็วที่สุด      ดูแลป้องกันโรค            การดูแลตัวเอง ป้องกันจากโรค  ควรที่เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย   ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตรวจเช็คปัจจัยเสี่ยง   เช่น ความดันโลหิต   ไขมันในเลือด   ค่าตับ   ตรวจเช็คหัวใจเป็นประจำ    รับประทานอาหารที่มีประโยชน์   ไม่เครียด   และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ              นพ.พร้อมพงษ์ พีระบูล  ศัลยแพทย์ระบบประสาท รพ.วิภาวดี 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคที่มาพร้อม ปลายฝน ต้นหนาว

โรคที่มาพร้อม ปลายฝน ต้นหนาว           ช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศค่อนข้างเปลี่ยนแปลง  อาจทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน  และทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยได้ง่าย โรคที่มาพร้อมกับช่วงเวลานี้ ได้แก่ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่  ปอดบวม   หัด   หัด-เยอรมัน  สุกใส  และอุจจาระร่วง   สาเหตุและอาการ             ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่  เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ง่าย  เชื้อเข้าสู้ร่างกายทางจมูก ปากและตา  เชื้ออยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วยที่ไอ จาม นอกจากนี้ เชื้อยังอาจติดอยู่กับภาชนะ ของใช้  หรือพื้นผิวที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย โรคนี้แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในสถานที่ที่มีคนแออัด และอากาศถ่ายเทไม่สะดวก    อาการแสดงออก             คือ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ น้ำมูกไหล ไอ  จาม  เจ็บหรือแสบคอ อาจมีอาการหนาวสั่นด้วย และสำหรับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดใหญ่ จะมีอาการรุนแรงกว่า คือ  มีไข้สูง   ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย  ถ้าพักผ่อนเพียงพอ และได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี  ผู้ป่วยจะหายจากโรคได้ในเวลา 5-7 วัน  บางรายอาจเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ คออักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์ โรคอ้วน โรคเรื้อรัง  เช่น หอบหืด ปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ และหลอดเลือด โรคตับ โรคไต เบาหวาน ฯลฯ  รวมทั้งเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ   การป้องกัน และรักษา หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือคลุกคลีกับผู้ป่วย  รวมทั้งไม่ใช้สิ่งของรวมกับผู้ป่วย เช่น จาน ช้อนส้อม  แก้วน้ำ  ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ  ถ้ามีผู้ป่วยในบ้าน ควรให้ปิดปากด้วยหน้ากากอนามัย  เวลาไอหรือจาม  ล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ ขณะที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีคนแออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หมั่นดูแลรักษาสุขภาพร่างกายอยู่สม่ำเสมอ    กินอาหารที่มีประโยชน์    ออกกำลังกายสม่ำเสมอ   พักผ่อนให้เพียงพอ    รักษาร่างกายให้อบอุ่น     และไม่ใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้น เมื่อเริ่มมีอาการไข้หวัด ควรนอนพักมากๆ และดื่มน้ำบ่อยๆ ถ้าตัวร้อนมาก กินยาลดไข้ และผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือถ้าอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีอาการไอมากขึ้น แน่นหน้าอก  มีไข้นานเกิน 2 วัน   ควรไปพบแพทย์ทันที หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และมีประวัติใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ ควรไปพบแพทย์ทันที เช่นกัน    นพ.มนตรี  วงศ์นิราศภัย   อายุรแพทย์รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ฝังเข็มเพื่อความงาม

ฝังเข็มเพื่อความงาม  Acupuncture for Beauty  ‘พล.อ.นพ. บุญเลิศ จันทราภาส’    อุปนายกสมาคมแพทย์ฝังเข็มและสมุนไพรแห่งประเทศไทย ซึ่งนำศาสตร์ด้านการฝังเข็มมาใช้ในการรักษาเพื่อความงาม               เรื่องของปัญหาผิวพรรณ พูดกี่ครั้งก็ไม่มีวันจบสิ้น การรักษาด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทาครีม กินวิตามิน ทำทรีตเมนต์ หรือแม้กระทั่งเลเซอร์  ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่า วิธีการเหล่านี้จะแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด และล้วนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หรือการบรรเทาเท่านั้น แต่ปัญหาผิวหนัง สาเหตุสำคัญที่แท้จริงมาจากระบบต่างๆ ภายในร่างกาย หรือระบบหมุนเวียนของเลือด ทั้งปัญหา สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอยก่อนวัย และอื่นๆ อีกมากมายนานับประการ             นอกจากปัญหาผิวพรรณเรื้อรัง อย่างสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอยก่อนวัย (หรือเลยวัยไปแล้วนั้น !) ปัญหารูปร่างก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สาวๆต้องประสบพบเจอ ทั้งเซลลูไลท์ ไขมันส่วนเกิน สัดส่วนที่ไม่พึงปรารถนาทั้งหลายทั้งปวง แล้วถ้าเรามีวิธีการรับมือป้องกันและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดล่ะ คงจะดีไม่น้อยเลยใช่มั๊ย   เพราะฉะนั้นเรามาฟื้นฟูผิวของเราจากภายในด้วยการ “ฝังเข็ม” ศาสตร์ทางเลือกในการดูแลด้านความงามที่มีมานานกว่าห้าพันปีกันดีกว่า                 เราไปพิสูจน์คำตอบปัญหาผิวไปพร้อมๆ กัน กับ พล.อ.นพ.บุญเลิศ จันทราภาส ศัลยแพทย์ระบบประสาทวิทยา โรงพยาบาลวิภาวดี  ซึ่งนอกจากท่านจะมีความเชี่ยวชาญทางด้านศัลยแพทย์ระบบประสาทแล้ว ท่านยังศึกษาเพิ่มเติมทางด้านการฝังเข็มทางระบบประสาท สมองและไขสันหลัง  อีกทั้งยังศึกษาเพิ่มเติมและผ่านการอบรมทางด้านการฝังเข็มเพื่อความงามมาแล้ว โดยมีตำแหน่งถึงรองอุปนายกสมาคมแพทย์ฝังเข็มและสมุนไพรแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องการันตีถึงความเชี่ยวชาญทางด้านนี้อีกด้วย  เรียกได้ว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการฝังเข็ม อีกท่านหนึ่งของเมืองไทยที่น่าจับตามองเลยทีเดียว  แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณหมอผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลยแพทย์ระบบประสาทท่านนี้สนใจศาสตร์ของการฝังเข็ม หาคำตอบได้ในคอลัมน์นี้ รู้จักคุณหมอให้มากขึ้น             “ผมจบแพทย์ศาสตร์จากศิริราช และได้ศึกษาเพิ่มเติมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลยกรรมประสาทจากโรงพยาบาลประสาท เดิมทีผมเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 9 ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่แพทย์ทหารมีความขาดแคลนซึ่งเป็นช่วงคอมมิวนิสต์ เลยได้ส่งนักเรียนเตรียมทหารเข้ามาศึกษาทางการแพทย์  หลังจากผมจบการศึกษาก็รับราชการที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จนก้าวขึ้นเป็นผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นเวลา 3 ปี และเป็นเจ้ากรมแพทย์ ช่วงแรกที่ได้ทำก็จะเป็นในส่วนของงานผ่าตัดด้านศัลยกรรมประสาทก็คือ เรื่องของสมองและไขสันหลัง และได้ไปศึกษาต่อทางด้านการผ่าตัดด้วยกล้องที่มหาวิทยาลัยนิสโซต้า อยู่ 1 ปี และกลับมารับราชการต่อ หลังจากนั้นก็ก้าวขึ้นเป็นผู้อำนวยการกองอุบัติเหตุอยู่ 6 ปี และไปเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าต่อไป”             “นอกจากทำการรักษาด้วยการฝังเข็มที่โรงพยาบาลวิภาวดีแล้ว ผมยังทำการรักษาด้วยการฝังเข็มที่โรงพยาบาลพระมงกุฎในช่วงเช้าวันอังคารและวันพฤหัสฯ และทำนอกเวลาในวันจันทร์ถึงวันศุกร์” ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จุดประกายศาสตร์ “การฝังเข็ม”             “ในช่วงที่เป็นเจ้ากรมแพทย์ทหารบกได้ทำงานเกี่ยวกับโครงการใน 3 จงหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจัดชุดแพทย์เป็นแบบโรงพยาบาลเคลื่อนที่ ออกไปทำงาน ซึ่งมีแพทย์ ทันตแพทย์ เจ้าหน้าที่และพยาบาล ไปทำการรักษากันตลอดทั้งเดือน โดยให้ทางส่วนกลางและส่วนภูมิภาคช่วยกันทำงาน โดยใน 1 เดือนพวกเราจะออกไปรักษาพยาบาล 15 ครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงอย่างมาก ช่วงนั้นมีความคิดว่า แพทย์ทหารเราน่าจะได้เรียนและฝึกทางด้านการฝังเข็ม ซึ่งในช่วงนั้นก็มีแพทย์บางส่วนได้ไปเรียนในหลักสูตรของกระทรวงสาธารณะสุข  เราตกลงกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อขอหลักสูตรของกระทรวงมาเปิดสอน 1 คอร์ส ที่กรมแพทย์ทหารบก โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแพทย์จีนที่เซี่ยงไฮ้และมหาวิทยาลัยแพทย์จีนเทียนจิน  แพทย์ทหารของกรมทหารบกในปัจจุบัน จึงมีจำนวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้ศึกษาทางการฝังเข็มเป็นจำนวนมากและกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย”             “อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเกิดแนวความคิด อยากให้แพทย์ศึกษาทางด้านการฝังเข็ม เพราะสงครามในบางช่วง ยังขาดแคลนในเรื่องยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ บางทีเราออกไปในพื้นที่เราอาจไม่มียา เราอาจจะมีแค่เข็ม เราก็สามารถที่จะช่วยทำการรักษาเบื้องต้นในยามขาดแคลน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะสงคราม  อีกเรื่องหนึ่งที่เราเห็นว่ามีความจำเป็น เราเห็นว่าการฝังเข็มรักษาได้ผลดีมากในเรื่องของช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ซึ่งได้ผลดีมากเพราะช่วยลดการใช้ยาลงได้มาก เพราะยามีผลข้างเคียงค่อนข้างเยอะและอาจก่อให้เกิดปัญหากระเพาะอาหารอักเสบ แต่ถ้าเรามีแพทย์ทหารทางด้านฝังเข็มที่เก่งและสามารถรักษาคนไข้ได้ครั้งละจำนวนมากๆ ปัญหาเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้น” โปรย                   “ผมเป็นแพทย์ยุคเก่า ไม่ค่อยมีหัวการค้า ใช้หลักที่ว่า คนไข้ทุกคนที่เรารักษาเปรียบเสมือนญาติ เพราะฉะนั้นเราต้องให้การรักษาที่ดีที่สุด ถ้าเราไม่เชี่ยวชาญในโรคนั้นๆจริงๆ เราก็ส่งต่อไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ถ้าเรารักษาและตั้งใจให้เขาหายจริงๆ เขาก็อยากจะมาอีก”   การฝังเข็มรักษาผิวพรรณได้จริงหรือ?             “แพทย์หลายๆ ท่านรวมทั้งที่ประเทศจีนมีความเห็นตรงกันว่า เราสามารถที่จะประยุกต์นำศาสตร์ของการฝังเข็มมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการรักษาทางด้านผิวพรรณและความงาม เช่นเรื่องของการปรับสมดุล การปรับฮอร์โมน การปรับพลังมาร หรือการปรับเลือดลมต่างๆ เพราะสิ่งที่เกิดในสุภาพสตรีไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิว ฝ้า หรืออาการที่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่างๆ เมื่อเราได้ได้ฝังเข็มในจุดหรือเส้นลมปราณที่เกี่ยวข้อง ก็จะทำให้รอยเหี่ยวย่น หนังตาตก สิว ฝ้า ต่างๆ ดูจางลง เรียกว่าได้ผลดีมาก”  ฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอก ด้วยศาสตร์การฝังเข็ม “สิ่งที่มักจะเป็นปัญหาที่เกิดกับใบหน้าของสตรี มักเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องของระดับฮอร์โมน เลือดลม อารมณ์และเรื่องของความเครียดต่างๆ เช่นบางท่านใช้ยาคุมกำเนิด หรือทำงานเหน็ดเหนื่อยมากๆ จนร่างกายทรุดโทรม สิ่งเหล่านี้ทำให้สภาพผิวต่างๆ ทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ สิว ฝ้า และรอยเหี่ยวย่นเพิ่มมากขึ้น  เมื่อเราทราบสาเหตุแล้ว เราก็จะมาปรับระดับฮอร์โมน ความสมดุลของร่างกาย ในศาสตร์จีนมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือ จุดหรือลมปราณต่างๆ ซึ่งเป็นจุดของแต่ละอวัยวะ ถ้ามีจำนวนมากเกินหรือที่เราเรียกกันว่า “อาการคั่ง”  ต้องทำให้ลดน้อยลงให้อยู่ในระดับสมดุล หรืออยู่ในระดับกลางนั่นเอง หรือถ้าพร่องหรือขาด เมื่อเรากระตุ้นก็จะช่วยเสริมให้ร่างกายสร้างขึ้นมาทดแทน เพราะฉะนั้นการฝังเข็มจะช่วยเติมเต็มและเพิ่มส่วนที่ขาดได้อย่างสมบูรณ์  ถ้าร่างกายเรามีความสมดุลในเรื่องของเลือด เกลือแร่ และของฮอร์โมนต่างๆ แล้วนั้น ผิวพรรณก็จะมีสุขภาพดี และร่างกายเราก็จะไม่เจ็บป่วย ไม่เป็นอะไรครับ” โปรย                  “คนไข้ที่หมดหนทางในการรักษาของกลุ่มโรคต่างๆ เราจะช่วยทำให้เขามีความสุขและมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น คนไข้ต้องไม่สิ้นเปลือง ไม่หลงงมงายที่จะใช้จ่ายในการรักษาตนเองและได้รับประโยชน์จากการรักษาอย่างสูงสุด”  วิธีการฝังเข็ม เพื่อรักษาปัญหาผิว                “ปัญหาผิว เรื่อง สิว ฝ้า รอยเหี่ยวย่น จะมีคนไข้มารับการรักษาจำนวนมาก วิธีการรักษา ถ้าในตำราเขาจะให้ทำเป็นคอร์ส คอร์สหนึ่งประมาณ 10 ครั้ง อาจจะทำทุกวัน หรืออาทิตย์ละ 2-3 ครั้งก็ได้ ให้ครบคอร์ส  โดยจะใช้ไฟฟ้ากระตุ้นควบคู่กับการฝังเข็มไปด้วย  ซึ่งจะช่วยทำให้จุดลมปราณทำงานได้ดีขึ้น การทิ่มลงไปของเข็มจะมีองศาและความลึกของมัน ซึ่งมีสูตรคือ ดิน น้ำ ฟ้า ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแต่ละคนด้วย ถ้าคนไข้หายหรือดีขึ้นแล้วก็สามารถหยุดทำได้ แต่ถ้าไม่ดีขึ้นก็อาจจะหยุดทำไปสัก 1 อาทิตย์เพื่อให้จุดลมปราณมันฟื้นตัวแล้วค่อยกลับมาทำอีกในครั้งต่อไป ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนไข้เอง และความพึงพอใจของคนไข้  ซึ่งคนไข้ค่อนข้างมีกระแสตอบรับที่ดี แต่บางรายอาจไม่หายขาด เนื่องจากปัจจัยแวดล้อม หรือฮอร์โมนยังไม่สมดุลซึ่งขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย มันไม่มีโรคอะไรที่รักษาแล้วหายขาด มีแต่ถ้าคุณเสียชีวิตไปเอง นั่นล่ะหายขาดแน่ๆ (หัวเราะ)”                 “ขณะนี้ในสถานพยาบาลแต่ละแห่งก็มีแพทย์ฝังเข็มกระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ที่ ผมคิดว่าการรักษาโรคด้วยการฝังเข็มจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งกับประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะการใช้ยามีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก และสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจด้วย” หมอทางด้านผิวหนัง ยังยกนิ้วให้                 “โชคดีที่ผมรู้จักกับหมอทางด้านผิวหนัง ซึ่งเขาเองก็เคยมาเป็นคนไข้ของผม เขาทำแล้วดีขึ้น เขาก็เชื่อถือเราเพราะบางทีเขารักษาคนไข้จนยอมแพ้กับการรักษาด้วยวิธีการใช้เลเซอร์ต่างๆ เขาก็ส่งคนไข้มาให้เรา เพื่อช่วยแก้ปัญหาด้วยการฝังเข็ม ซึ่งได้ผลดี เพราะมีคนไข้หลายรายที่ผ่านหมอผิวหนังมาแล้ว ทำเลเซอร์ต่างๆ มาแล้ว  ซึ่งข้อดีของการฝังเข็มรักษาผิวพรรณบริเวณใบหน้า เป็นการสร้างวงจรใหม่ เหมือนต้นไม้ที่ขาดอาหารไปเลี้ยง ถ้าเราไปกระตุ้นตามจุดต่างๆ ให้เลือดไปเลี้ยงได้ดีขึ้น ก็จะสามารถนำอาหารไปให้และนำพาของเสียออกมา  ผมมักจะพูดว่า เป็นเส้นทางให้รถขยะไปเก็บขยะออกมา เพราะฉะนั้นเมื่อร่างกายนำของเสียออกไปแล้ว ร่างกายก็จะสร้างเซลล์ใหม่ๆขึ้นมา พวกสีดำออกไปหมดแล้ว ก็จะค่อยๆ จางแล้วหายเป็นปกติ ด้วยหลักการนี้เอง ศาสตร์ของการฝังเข็ม จึงสามารถนำมารักษา โรคต่างๆ แบบผสมผสานได้ ด้วยเป็นวิธีที่จะทำให้จุดลมปราณต่างๆ ของร่างกายดีขึ้นนั่นเอง” ลดน้ำหนักกับการฝังเข็ม                “อีกเรื่องที่คนไข้มาปรึกษาเยอะคือการลดสัดส่วน มีสัดส่วนเกิน ไม่ว่าจะเป็นต้นแขน ต้นขา หรือที่หน้าท้อง การฝังเข็มก็มีจุดที่จะช่วยให้กระชับขึ้นและการทำงานในร่างกายมันดีขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเราฝังเข็มเราจะมีการกระตุ้นไฟฟ้า ซี่งเป็นส่วนที่ทำให้มีการสลายของไขมันและทำให้หน้าที่ของอวัยวะโดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่มันหย่อยยาน ไม่สวยงาม จะกลับมาเฟิร์มขึ้น ซึ่งเป็นที่นิยมในการปรับส่วนเกินต่างๆ การฝังเข็มเดิมทีมันก็มีการกระตุ้นอยู่แล้ว เราก็ใช้การกระตุ้นด้วยมือ แต่เมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาก็ใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าทำงานแทน”               “ที่ทำไปข้อเสียไม่มี เรื่องน้ำหนักมันจะไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ ส่วนจะให้นำหนักลดลงมากน้อยขนาดไหนขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการรับประทานอาหารด้วย เพราฉะนั้นเราก็จะแนะนำคนไข้ว่า หลังที่ได้รับการฝังเข็มไปแล้ว อาหารมื้อสำคัญที่ช่วยทำให้น้ำหนักมันยังคงที่หรือเพิ่มขึ้นก็คืออาหารมื้อเย็น เพราะฉะนั้นจะแนะนำให้คนไข้ออกกำลังกายและทานอาหารมื้อเย็นแบบเบาๆ บางรายอาจมีการกระตุ้นด้วยใช้เม็ดแม่เหล็กที่หู คือฝังเข็มด้วยแปะใช้เม็ดแม่เหล็กและไว้ เมื่อคนไข้มีอาการหิวก็บีบที่เม็ดแม่เหล็กนั้น เพื่อทำให้เบื่ออาหาร”   จีน…ตื่นตัวเรื่องนี้มาก !               “การฝังเข็มที่ประเทศจีนมีมานานกว่าห้าพันปีมาแล้ว ตอนนี้จะทำในลักษณะประยุกต์มากขึ้น เดิมทีเขาก็จะแบ่งแพทย์แผนจีนกับแพทย์แผนปัจจุบันแยกจากกัน แต่ขณะนี้หลายโรงพยาบาล จะมีทั้งการรักษาแบบแผนจีนและแผนปัจจุบันไว้ด้วยกัน เรียกว่าเป็น Integrated Hospital  ก็จะมีการส่งคนไข้กัน เช่นรักษาแผนปัจจุบันไม่หาย ก็จะส่งไปแผนจีน แผนจีนไม่ได้ก็จะส่งไปแผนปัจจุบัน  ด้วยในปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าของการวินิจฉัยโรค ไม่ว่าจะเป็นระบบคอมพิวเตอร์ MRI ULTRASOUND หรือการตรวจพิเศษต่างๆ  มีความแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์  ประเทศจีนในปัจจุบัน กระบวนการตรวจรักษามีการประยุกต์มากขึ้น โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัย  ทำการรักษาตามชนิดของโรค ว่าโรคไหนควรใช้วิธีการใด อาจจะเป็นการให้ยา การทำกายภาพบำบัดรวมทั้งการฝังเข็มร่วมไปด้วย นอกจากนี้ที่จีนยังมีการประชุมกันทุกปีเพื่อปรับแผนการรักษา ปัจจุบันเขาใช้เครื่องมือที่ทันสมัยทางวิทยาศาสตร์วินิจฉัยโรคในประเทศไทย  Acupuncture in modern medicine (การฝังเข็มโดยแพทย์แผนปัจจุบัน) ซึ่งก็คือการฝังเข็มร่วมในการรักษาปกตินั่นเอง สมาคมแพทย์ฝังเข็มไทย จะประสานงานกับทางประเทศจีน (ม.เซี่ยงไฮ้) โดยมี ม.หัวเฉียวช่วยประสานงานให้  มีการแลกเปลี่ยนทางด้านการรักษาพยาบาลและประชุมของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่องกัน ”                “ปัจจุบันศาสตร์ทางด้านนี้ได้ผลการตอบรับที่ดีมากทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกาหรือแม้แต่ที่ออสเตรเลีย จะเห็นว่ามีการ เปิดหลักสูตรไปทั่วโลก แพทย์ในต่างประเทศก็มุ่งที่จะไปศึกษายังประเทศจีนโดยตรงมากขึ้น ในกลุ่มยุโรปเป็นที่ยอมรับกันว่า การใช้ยาหรือสารเคมีต่างๆเ ขาไม่ค่อยเห็นด้วย การรักษาอะไรก็ตามที่ไม่มีสารเคมีในร่างกาย อย่างการฝังเข็ม เขาค่อนข้างจะชอบมาก หรืออย่างคนไทยในขณะนี้ ก็ชอบการรักษาด้วยการฝังเข็มด้วยเหตุผลเดียวกัน จึงช่วยลดปัญหาแทรกซ้อนจากการใช้ยาได้เป็นอย่างดี”              หลักการทำงานของคุณหมอ               “ผมเป็นแพทย์ยุคเก่า ไม่ค่อยมีหัวการค้า ใช้หลักที่ว่า คนไข้ทุกคนที่เรารักษาเปรียบเสมือนญาติ เพราะฉะนั้นเราต้องให้การรักษาที่ดีที่สุด ถ้าเราไม่เชี่ยวชาญในโรคนั้นๆจริงๆ เราก็ส่งต่อไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ถ้าเรารักษาและตั้งใจให้เขาหายจริงๆ เขาก็อยากจะมาอีก เพราฉะนั้นเราต้องรู้สาเหตุที่แท้จริงของโรคว่ามาจากอะไร ถ้ารักษาแล้วไม่ดีขึ้น แทนที่จะรักษาตะบี้ตะบันโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร  ต้องสร้างความเชื่อถือให้กับคนไข้ และควรรักษาคนไข้อย่างมีจรรยาบรรณตามหลักวิชา น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนไข้เกิดความพึงพอใจ  และน่าเชื่อถือบอกต่อๆ กันไป  มีคนไข้มาจากต่างจังหวัดเป็นจำนวนมากที่มารักษาด้วยการฝังเข็ม  จากการที่เราลองเปรียบเทียบกับคนไข้ที่ให้ยาอย่างเดียวกับคนไข้ที่ให้ยาร่วมกับการฝังเข็ม พบว่าคุณภาพชีวิตของคนที่ใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันจะดีกว่า”                 “การฝังเข็มเหมือนศาสตร์วิชาการประยุกต์ ซึ่งแต่ละคนจะมีสูตรต่างๆ กัน ผมมักจะสอนนักเรียนว่า มันเหมือนการปรุงอาหาร สมมุติว่าเราจะปรุงอาหารหรือแกงอะไรสักอย่าง ใครทำอร่อยหรือไม่อร่อยขึ้นอยู่กับวิธีการทั้งสิ้น ฝังเข็มก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นผลที่ได้อาจไม่เหมือนกัน ในส่วนของผม มักจะทำสองอย่างไปพร้อมๆ กัน คือ การรักษาบวกการบำรุงสุขภาพ คือเมื่อเขาหายเขาก็จะมีสดชื่นไปด้วย อีกทั้งตัวผมเองยังได้ทำหน้าที่แพทย์ตามเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าฯ เพื่อรักษาทางด้านศัลยกรรมประสาท ซึ่งถือว่าเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก” ฝังเข็มบริเวณรอบดวงตา ศาสตร์ใหม่ที่กำลังมาเร็วๆ นี้               “เมื่อไม่นานมีนี้มีคนไข้รายหนึ่งกำลังจะเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากเป็นต้อหินที่ตา แต่ก็หนีมาหามาลองทำการฝังเข็ม พอฝังเข็มไปได้ระยะหนึ่ง อาการของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น ความดันของลูกตาก็ลดลงจาก 80 เหลือ 30 ตอนนี้ผมจึงกำลังศึกษาว่าวิธีฝังเข็มกับการรักษาดวงตา สามารถรักษาได้ถาวรหรือไม่ อย่างไร เพราะต้อหินเป็นโรคที่น่ากลัวมาก ซึ่งขณะนี้ ที่มหาวิทยาลัยการแพทย์จีน (China Medical University) มณฑลเหลียวหนิง เขาได้ศึกษาในคนไข้เป็นแสนๆ ราย โดยดูความผิดปกติที่เส้นเลือดตาเป็นหลักว่า แต่ละจุดเป็นจุดของอวัยวะใดบ้าง ซึ่งเขาได้นำเข้ามาสอนที่ประเทศไทยและเราก็ได้เข้าไปเรียน และศึกษาทางด้านนี้อย่างจริงจัง โดยเขาจะมีจุดต่างๆ เพื่อจำลองอวัยวะอยู่บริเวณรอบๆ ดวงตา ซึ่งในหลักสูตรนี้เรียกว่า การฝังเข็มบริเวณรอบดวงตา อันนี้เป็นของใหม่ที่สุดในการรักษาโรคด้วยการฝังเข็ม” ฝากทิ้งท้ายถึงนักศึกษาแพทย์                “การรักษาคนไข้เป็นการรักษาแบบองค์รวม เพราะคนไข้อาจมีความหลากหลาย เพราะยีนส์ของแต่ละคนตอบสนองไม่เหมือนกันวิธีการที่จะไปถึงจุดมุ่งหมายก็มีหลากหลายเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องนำสิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งเรามีความรู้อยู่แล้ว รวมทั้งแพทย์แผนจีนนำเข้ามาประยุกต์ให้เข้ากันอย่างเหมาะสมเพื่อทำให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดต่อคนไข้ คนไข้ที่หมดหนทางในการรักษาของกลุ่มโรคต่างๆ เราจะช่วยทำให้เขามีความสุขและมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น คนไข้ต้องไม่สิ้นเปลือง ไม่หลงงมงายที่จะใช้จ่ายในการรักษาตนเองและได้รับประโยชน์จากการรักษาอย่างสูงสุด อยากให้นำศาสตร์ในการรักษาด้วยการฝังเข็มไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร เสนอแนะหนทางต่างๆในการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งปัจจัยนั้นมีมากมายในการทำให้ผลการรักษามันต่างกันไป เราต้องอธิบายให้คนไข้เข้าใจ”   Doctor Profile  พล.อ.นพ.บุญเลิศ จันทราภาส   Education -           โรงเรียนเตรียมทหาร (รุ่นที่ 9) -           มหาวิทยาลัยมหิดล คุณวุฒิวิทยาศาสตร์บัณฑิต และ แพทย์ศาสตร์บัณฑิต -           หลักสูตร แพทย์ประจำบ้าน สาขาประสาทศัลยศาสตร์ วุฒิบัตรประสาทศัลยศาสตร์ -           หลักสูตร ชั้นนายพัน เหล่าแพทย์รุ่นที่ 16 -           หลักสูตร หลักประจำ รร.สธ.ทบ.สบส.ชุดที่ 61 -           หลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญ สาขาประสาทศัลยศาสตร์ ประกาศนียบัตรสาขาประสาทศัลยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมินิโซต้า สหรัฐอเมริกา -           หลักสูตร แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว อนุมัติบัตรเวชศาสตร์ครอบครัว -           หลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (วปรอ.) รุ่นที่ 4414 -           หลักสูตร การฝังเข็มสำหรับแพทย์ทหาร รุ่นที่ 17 -           อบรมเพิ่มเติม การฝังเข็มทางระบบประสาท สมองและไขสันหลัง -           อบรมเพิ่มเติม การฝังเข็มเสริมความงาม -           อบรมเพิ่มเติม การฝังเข็มรอบดวงตารักษาโรค Status -           ประสาทศัลยแพทย์ รพ.วิภาวดี -           ศัลยแพทย์ผ่าตัดสมองและไขสันหลัง -           ผู้เชี่ยวชาญการฝังเข็มแผนจีน -           อุปนายกสมาคมแพทย์ฝังเข็มและสมุนไพร แห่งประเทศไทย 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

มาตรวจสุขภาพ ตามความเสี่ยงกันเถอะ

         พูดถึงการตรวจสุขภาพตามความเสี่ยง หลายท่านอาจนึกถึง ความเสี่ยงจากการที่เรามีประวัติครอบครัว (บิดา,มารดา) เป็นโรคเรื้อรังต่างๆที่อาจส่งผลมาถึงเรา  ความเสี่ยงจากการใช้ชีวิตเช่นการดื่มสุรา การสูบบุหรี่ การทานอาหารมัน หรือความเสี่ยงจากสภาวะสุขภาพเช่น หลายท่านอาจรู้สึกเหนื่อยง่าย ใจสั่น ซึงอาจสัมพันธ์กับโรคทางระบบหายใจหรือระบบหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น แต่ในหัวข้อนี้จะขอพูดถึงการตรวจสุขภาพตามความเสี่ยงจากการทำงาน                ความเสี่ยงจากการทำงานเกิดขึ้นจากการสัมผัสสิ่งคุกคามในรูปแบบต่างๆตามลักษณะงานที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้  เช่น สิ่งคุกคามทางกายภาพ (การทำงานในที่เสียงดัง,การทำงานกับรังสี,การทำงานที่มีแรงสั่นสะเทือน etc.)  สิ่งคุกคามทางชีวภาพ(เชื้อโรคต่างๆ) สิ่งคุกคามด้านสารเคมีประเภทต่างๆ รวมถึงการทำงานที่ผิดหลักการยศาสตร์ ดังนั้นการตรวจสุขภาพตามความเสี่ยงจึงถือเป็นการเฝ้าระวังความผิดปกติของสุขภาพที่อาจเกี่ยวเนื่องจากการทำงานได้แต่เนิ่นๆ   ซึ่งประกอบด้วย 1.การตรวจร่างกายโดยแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ (Physical Examination)             แพทย์จะทำการซักประวัติการทำงาน และตรวจร่างกายเพื่อค้นหาอาการและอาการแสดงที่สัมพันธ์กับความผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่น การตรวจการทำงานของระบบประสาทในผู้ที่ทำงานสัมผัสกับสารตัวทำละลาย การตรวจหาโรคผิวหนังอักเสบในผู้ที่ทำงานสัมผัสสารระคายเคือง และสารก่อภูมิแพ้ เป็นต้น 2.การตรวจสมรรถภาพการได้ยิน (Audiometry)             ตรวจในผู้ที่ทำงานสัมผัสเสียงดัง โดยพบว่าในผู้ที่ทำงานสัมผัสเสียงดังนั้น การได้ยินที่เสียงความถี่สูงจะเริ่มแย่ลงก่อน จากนั้นถ้ายังสัมผัสเสียงดังต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มีการใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงดัง การได้ยินที่ความถี่เสียงพูดคุยจะแย่ลงตามมา(หูตึง)             การตรวจสมรรถภาพการได้ยินจะช่วยบอกถึงความสามารถในการได้ยินเสียงที่ความถี่ต่างๆ ดังนั้นจึงมีประโยชน์ในการช่วยคัดกรองความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้แต่แรกเริ่มจากการสัมผัสเสียงดัง เพื่อป้องกันมิให้เกิดภาวะประสาทหูเสื่อมจากการสัมผัสเสียงดังขึ้น 3.การตรวจสมรรถภาพปอด (Spirometry)             การทำงานบางประเภทอาจต้องสัมผัสกับสารที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น ผู้ที่ทำงานสัมผัสกับฝุ่นฝ้ายอาจมีอาการไอ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือการทำงานสัมผัสสารบางประเภท(เช่น แป้งสาลี , สารจำพวก latex , isocyanate ) อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหอบหืดได้ เป็นต้น             การตรวจสมรรถภาพปอดจึงเป็นการคัดกรองความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจจากการสัมผัสสารต่างๆดังที่ได้ยกตัวอย่างมา  4.การตรวจสมรรถภาพสายตาทางอาชีวเวชศาสตร์ (Occupational Vision Test)             เนื่องจากงานในแต่ละประเภทจำเป็นต้องใช้สมรรถภาพของสายตาที่แตกต่างกันออกไป เช่นพนักงานขับรถ อาจต้องใช้ความคมชัดของสายตาในการมองภาพระยะไกล การกะระยะความชัดลึก การมองภาพสี และลานสายตาที่ดีพอ ในขณะที่ผู้ที่ทำงานเจียระนัยเพชร พลอย อาจต้องใช้ความคมชัดของสายตาในการมองภาพระยะใกล้ที่ดี              การตรวจสมรรถภาพสายตาทางอาชีวเวชศาสตร์  จึงเป็นการตรวจเพื่อประเมินว่าสมรรถภาพสายตาของผู้เข้ารับการตรวจนั้นดีเพียงพอกับลักษณะงานที่ทำหรือไม่ เนื่องจากเครื่องมือดังกล่าวสามารถประเมินได้ถึง ความคมชัดของสายตาทั้งระยะไกลและระยะใกล้ ลานสายตา การกะระยะความชัดลึก การมองภาพสี ตลอดจนความสมดุลของกล้ามเนื้อตา 5.การตรวจสารบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarkers)             การทำงานในหลายๆกิจการล้วนต้องมีการสัมผัสสารเคมีประเภทต่างๆ เช่น สารโลหะหนัก(ตะกั่ว,สารหนู etc.),สารตัวทำละลาย(เบนซีน,โทลูอีน etc.),สารปราบศัตรูพืช เป็นต้น ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณที่สูง อาจก่อให้เกิดภาวะเป็นพิษจากสารเคมีต่างๆเหล่านั้น  โดยเราสามารถตรวจระดับการรับสัมผัสสารนั้นๆว่าเข้าสู่ร่างกายสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่หน่วยงานต่างๆกำหนดไว้หรือไม่ด้วยการตรวจสารบ่งชี้ทางชีวภาพ ผ่านทางเลือดหรือปัสสาวะ ในรูปของสารนั้นโดยตรงหรือผ่านทางเมตาโบไลท์ของสารนั้นๆ             การตรวจสารบ่งชี้ทางชีวภาพ จะช่วยคัดกรองถึงระดับการรับสัมผัสสารนั้นๆเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นการเฝ้าระวังทางสุขภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติจากการสัมผัสสารเคมีต่างๆเหล่านั้น 6.การตรวจอื่นๆ              การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ในผู้ที่ทำงานสัมผัสกับรังสี  การตรวจเอ็กซเรย์ปอด ในผู้ที่ทำงานสัมผัสกับฝุ่นซิลิกา เป็นต้น             ในการตรวจสุขภาพ แพทย์อาชีวเวชศาสตร์จะเป็นผู้แนะนำรายการตรวจที่เหมาะกับผู้ทำงานในแต่ละท่าน โดยดูจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากลักษณะงาน            หวังว่าอ่านบทความนี้แล้ว ทุกท่านคงหันมาให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพตามความเสี่ยงซึ่งแตกต่างกันในแต่ละประเภทของงาน ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นแต่เนิ่นๆ  และช่วยให้ทุกท่านสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป            น.พ.ณัฐพล ประจวบพันธ์ศรี        แพทย์อาชีวเวชศาสตร์(วุฒิบัตร) ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพและอาชีวอนามัย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) รักษายังไง ต้องผ่าไหม

ริดสีดวงทวารเกิดจากการโตขึ้นกลุ่มของ เส้นเลือด และเนื้อเยื่อ บริเวณส่วนปลายของลำไส้ตรง ที่เรียกว่า hemorrhoidal tissue ในคนปกติจะมีริดสีดวง (hemorrhoidal tissue) ทุกคน โดยจะอยู่บริเวณ ส่วนล่างของ ทวารหนัก   เนื้อเยื่อริดสีดวงมีหน้าที่หน้าที่ปกติจะมีหน้าที่ ป้องกัน กล้ามเนื้อของทวารหนัก รวมทั้งหูรูด ระหว่าง ถ่ายอุจจาระ และช่วยให้ ทวารหนักปิดได้สนิท ในขณะที่เราอยู่เฉย  สาเหตุของโรค  ริดสีดวง เกิดจากการโตขึ้น ของ เนื้อเยื่อ Hemorrhoid  ซึ่งสาเหตุแบ่งง่ายๆ เป็น 2 อย่างคือ  เป็นความผิดปกติของหลอดเลือดบริเวณนั้น  เกิดจากการเพิ่ม ความดัน ต่อ กำบังลมด้านล่าง (Pelvic Floor)  นานๆ ซึ่งการเพิ่มความดัน ดังกล่าวเกิดได้จาก  การเบ่งอุจจาระบ่อยๆ จากท้องผูก  การยกของหนัก  การยืนนานๆ  รวมทั้งการตั้งครรภ์ จากการที่มีเด็กอยู่ทำให้เลือดไหลกลับไม่สะดวก  จากสาเหตุดังกล่าวทำให้ กลุ่มเส้นเลือดดังกล่าวโตและ ยืดออก  ซึ่งการที่มีเลือดออกนั้นเกิดจาก การที่มี การบาดเจ็บของเส้นเลือด บริเวณดังกล่าว (Local Injury)  ที่เจอบ่อยๆเกิดจาก อุจจาระที่แข็งมากๆ ร่วมกับ การเบ่งนานๆ ทำให้จะมีเลือดสดๆ ไหลออกจากทวารหนัก  ประเภทของริดสีดวง เราแบ่งโรคนี้ออกเป็น 2  ชนิด คือ  1. ริดสีดวงภายใน  คือริดสีดวงที่อยู่เหนือเส้นสมมุติที่เรียกว่า dentate line (บริเวณแถวๆ รอยที่หยักๆครับ) จะมีลักษณะที่สังเกตง่ายๆ คือ จะคลุมด้วยเยื่อบุของทวารหนัก  ไม่ใช่ผิวหนัง ด้านนอก  จะไม่เจ็บ  ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน  ส่วนใหญ่มักเป็นอันนี้กัน ริดสีดวงภายใน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ  ไม่มีก้อนยื่นออกมานอกทวารหนัก  มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระ และหดกลับเข้าไปได้เอง  มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระ แต่ไม่หดกลับเข้าไปต้องใช้มือช่วยดันเข้าไป  มีก้อนยื่นออกมาและไม่สามารถใช้มือดันเข้าไปได้ 2.ริดสีดวงภายนอก  คือริดสีดวงที่อยู่ใต้เส้น Dentate line  สังเกตง่ายๆคือ จะเป็นก้อนทีอยู่ข้างนอก  ส่วนที่คลุมก้อน จะเป็นผิวหนัง  มักมีอาการคัน  และ เจ็บมากกว่า ริดสีดวงภายใน  หลังจากอาการหายไป บางครั้ง  ติ่งผิวหนังนั้นอาจยังอยู่ กลายเป็นติ่งเนื้อที่เรียกว่า Skin Tag อาการ อาการของโรคนี้ที่มีพบแพทย์  มี 3 อาการ  1. ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ลักษณะจะเป็นดังนี้คือ จะถ่ายอุจจาระออกมาก่อน ( ระหว่างถ่ายอาจจะเจ็บหรือไม่ก็ได้) จากนั้นจะมีเลือดสดๆ หยดออกมา ตามหลังจากอุจจาระ  เลือดจะเป็นเลือดสดจริงๆ มักไม่มีมูกเลือดปน 2. มีก้อนออกมาระหว่างถ่ายอุจจาระ ขณะที่เบ่งอุจจาระ จะมีก้อนยื่นออกมา  หรือ มีก้อนออกมาตลอดเวลา  ขึ้นกับ ระยะที่เป็น 3.เจ็บบริเวณ ทวารหนัก ปกติ  ริดสีดวงจะไม่เจ็บ  จะเจ็บในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นเลือดอุดตัน (Thrombosis)  หรือ มีเนื้อเยื่อตาย (Necrosis) การรักษา ขึ้นกับระยะที่เป็น  ระยะ 1 การรักษาในระยะนี้ ไม่ว่าจะเลือดออกหรือไม่ จะเน้นการใช้ยาและการปฏิบัติตัว  การใช้ยา จะเป็นพวก ยาที่ทำให้อุจจาระนุ่ม (Stool Softener) อาจใช้ยาประเภท Steroid เหน็บทวารเพื่อลดการอักเสบ การปฏิบัติตัว คือ ทานอาหารมีกากมากๆ  ทานน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงการเบ่ง หรือนั่งนานๆ  มีบางแห่ง อาจใช้ Infrared ช่วย แต่ไม่จำเป็นครับ ระยะ 2-3 ต้นๆ การรักษาด้วยยา รวมทั้ง การปฏิบัติตัวเหมือนเดิม  อาจใช้ยางชนิดพิเศษ รัดริดสีดวงทวาร ( Rubber Band Ligation) ซึ่งได้ผลดีมาก  ไม่เจ็บ ไม่ต้องผ่าตัด ทำได้บ่อยๆ  ภาวะแทรกซ้อนต่ำ ระยะ 3 ที่ใหญ่ๆ - 4 ต้องผ่าตัดครับ เมื่อไรที่ต้องผ่าตัดริดสีดวง? เป็นระยะ 3ที่ใหญ่ หรือ ระยะ 4  เป็นทั้ง ภายนอกและ ภายใน พร้อมกัน (Mixed Type)ซึ่งไม่สามารถ ที่จะใช้ยางรัดได้ (เพราะจะเจ็บมาก)  มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เส้นเลือดอุดตัน  ปวดมาก  หรือ หัวริดสีดวงเน่า จากการขาดเลือด  นั่นคือ จะเห็นว่า  ถ้าเป็นไม่มากจริงๆ  ไม่ต้องผ่าตัดครับ  สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้  เรารักษาเองได้ไหม? จริงๆ แล้วโรคริดสีดวงไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย อย่างมากก็เจ็บ เลือดออกส่วนใหญ่มักจะไม่มาก แต่ที่มากๆ จน Shock ก็มีครับ  แต่ที่น่าจะระวังมากกว่านั้นคือ  เราอาจไม่ได้เป็นริดสีดวงก็ได้  อาการถ่ายเป็นเลือดสดนั้น อาจเกิดได้จากหลายอย่าง เช่น โรคแผลที่ทวารหนัก (Anal fissure) ฯลฯ แต่ที่น่ากลัวกว่า คือ เนื้องอก หรือมะเร็ง บริเวณ ลำไส้ตรง หรือ ทวารหนัก ซึ่งจะมีอาการ ถ่ายเป็นเลือด เหมือนกัน ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยได้ด้วยการตรวจร่างกายธรรมดาเท่านั้น การรักษานั้น คนละเรื่องครับ ดังนั้น ถ้ามีอาการถ่ายเป็นเลือด ไม่ควรรักษาตัวเอง  ควรมาพบแพทย์ครับ การป้องกัน ขับถ่ายให้เป็นเวลา  ไม่ทำให้ท้องผูก  กินอาหารที่มีกาก  ผักผลไม้  เพื่อช่วยในการขับถ่าย  ดื่มน้ำมากๆ  ถ้ามีอาการผิดปรกติ  รีบปรึกษาแพทย์  การปฏิบัติตัว เมื่อเป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก อาการของโรคริดสีดวงทวารหนัก มีดังนี้คือ อาการปวดมีเลือดออกและมีมูกบริเวณทวารหนัก ซึ่งมีหลักปฏิบัติง่าย ๆ  10 ประการจะช่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้อาการของโรคริดสีดวงทวารหนักรุนแรงขึ้น ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อย 6 – 8 แก้ว รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง  เช่น ข้าวกล้อง  ผัก  ผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร  เช่น อาหารรสเผ็ดจัด   ชา   กาแฟ   เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ดูแลสุขอนามัย และรักษาความสะอาดของเครื่องใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ ออกกำลังการสม่ำเสมอ  เช่น เดินเร็ว  ว่ายน้ำ     แต่หลีกเลี่ยงกีฬาบางประเภท  เช่น ขี่จักรยาน   ขี่ม้า พยายามหลีกเลี่ยงการยกของหนัก ฝึกหัดการถ่ายให้เป็นเวลา     การดื่มน้ำแก้วใหญ่ทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า     จะช่วยการขับถ่ายได้ หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่คับเกินไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกางเกงคับ ๆ  ไม่ควรอยู่ที่ร้อน ๆ เป็นเวลานานเกินไป เมื่อมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น   มีเลือดออกหลังถ่ายอุจจาระ   รู้สึกไม่สบายบริเวณทวารหนัก   ควรรีบปรึกษาแพทย์ ทำไมคนตั้งครรภ์มักเป็นริดสีดวงทวาร ริดสีดวงเกิดเพราะการที่ตั้งครรภ์มีเด็กในท้อง ซึ่งในบางท่าทางเด็กจะไปกดหลอดเลือดในช่องท้อง ขัดขวาง ทำให้การไหลกลับไม่สะดวก ของเลือดในทิศทางปกติ นั่นคือ เลือดจะย้อนไปอีกระบบนึง ซึ่งทางติดต่อของระบบนั้น หนึ่งในนั้นคือริดสีดวง คือ เส้นเลือดบริเวณที่ปากทวารนี่แหละครับ ทำให้ มันโต โป่งมากกว่า ปกติ ซึ่งจะเป็นมากขึ้น เมื่อท้องแก่ขึ้น   นอกจาก ริดสีดวงแล้ว ผลจากการที่หลอดเลือดดำใหญ่ โดนกด ไหลไม่สะดวกคือ เส้นเลือดขอดที่ขาครับ หลังคลอดแล้วมักหาย แต่อาจเหลือร่องรอย เช่น ติ่งเนื้อได้ครับ ซึ่งไม่ต้องทำอะไร  ถ้าไม่มีอาการอื่นครับ แพทย์ นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ แผนกศัลยกรรม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

8 ขั้นการเตรียมการเลิกบุหรี่

8 ขั้นการเตรียมการเลิกบุหรี่            ในวันที่ 31 พฤษภาคม กำหนดให้เป็นวันงดบุหรี่โลก   ในวันนี้เอง ที่ผู้สูบบุหรี่จำนวนหนึ่ง ถือเป็นวันดีเดย์ สำหรับการเลิกบุหรี่อย่างถาวร ใครที่กำลังคิดเช่นนั้น  มีข้อแนะนำในการเตรียมตัวสำหรับวันนั้นครับ แต่ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกับข้อเท็จจริง เกี่ยวกับบุหรี่ และการเลิกบุหรี่กันก่อนครับ  ทำไมการเลิกบุหรี่ถึงเป็นเรื่องยาก   เหตุที่ทำให้การเลิกบุหรี่เป็นเรื่องยากนั้น มีสาเหตุที่สำคัญ 2 อย่างคือ - การติดเพราะร่างกายต้องการ หรือ Psysical Addiction - การติดเพราะสูบจนเป็นนิสัย หรือ Psychological Addiction หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นHabit จริง ๆ แล้ว การติดบุหรี่ของคนเรา มักจะประกอบไปด้วยทั้ง 2 องค์ประกอบข้างต้น  ดังนั้นการเลิกบุหรี่ จึงจำเป็นต้องกำจัดสาเหตุทั้งสองอย่างออกไปให้ได้พร้อม ๆ กัน ข้อเท็จจริงของการติดที่เรียกว่า Psysical Addiction            ภายในเวลาเพียงแค่ 7 ถึง 10 วินาที ที่เราสูบบุหรี่ สาร Nicotine   ก็จะเริ่มส่งผลกระทบต่อสมองของเราโดยทันที ทำให้เราเกิดความรู้สึกพึงพอใจ กระฉับกระเฉง ขึ้นมาทันที  แต่อย่างก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป 30 นาที Nicotine ก็จะสลายออกไปจากร่างกายเราหมด และเมื่อนั้น ความรู้สึกเหนื่อย กระสับกระสาย และ เครียดก็จะเข้ามาแทนที่ จนต้องสูบมวนใหม่ และความต้องการนั้นก็จะเพิ่มปริมาณ และความถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นอาการติดไปในที่สุด   ข้อเท็จจริงของการติดที่เรียกว่า Psychological Addiction หรือ Habit           ข้อนี้ ลองถามตัวเองดูว่า บุหรี่ มีความสำคัญกับชีวิตประจำวันของคุณมากแค่ไหน          สาเหตุของการติดในลักษณะนี้ อธิบายง่าย ๆ ตามหลักการของ Ivan Pavlov ในทฤษฎีที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า “หมาได้ยินเสียงกระดิ่งแล้วน้ำลายไหล เพราะคิดว่าจะได้อาหาร” กล่าวคือ ได้มีการทดลอง นำกระดิ่งมาสั่น           ทุกครั้งก่อนที่จะให้อาหารสุนัข สุนัขก็จะรับรู้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินเสียงกระดิ่ง จะได้อาหารและเมื่อกระดิ่งดังขึ้น สุนัขก็จะน้ำลายไหล แม้ว่าการสั่นกระดิ่งในครั้งนั้น จะไม่มีอาหารให้ก็ตาม เพราะสุนัขเรียนรู้ว่า “เอาหละ เมื่อเสียงกระดิ่งดังขึ้น ฉันจะได้อาหารแล้ว”           ทีนี้มาลองเปรียบเทียบกับคนติดบุหรี่ เราจะเห็นได้ว่า คนติดบุหรี่นั้น          มักจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่มาควบคู่ไปกับการสูบบุหรี่ เช่น เมื่อขับรถจะสูบบุหรี่ทุกครั้งเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะต้องหยิบบุหรี่สูบ ทีนี้ทุกครั้งที่ขึ้นนั่งบนรถ สมองก็จะสั่งว่า “เอาหละฉันขึ้นนั่งบนรถแล้ว ไหนล่ะบุหรี่” แบบนี้เป็นต้น   การเลิกบุหรี่             การเลิกบุหรี่ ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หรือด้วยกระบวนการทางการแพทย์ สามารถช่วยอาการติดแบบ Psysical Addiction ได้ แต่สำหรับ Habit แล้ว ต้องอาศัยกำลังใจความเข้มแข็ง และความตั้งใจจริง ถ้าหากคุณเป็นผู้หนึ่ง ที่คิดจะเลิกบุหรี่ในวันพรุ่งนี้ วันงดบุหรี่โลก หรือวันไหนก็แล้วแต่ ที่ถือเป็นวันดีสำหรับคุณ          ลองมาปฏิบัติตามข้อแนะนำต่อไปนี้ เพราะมันจะช่วยให้คุณ ไม่หวนกลับมาหาบุหรี่อีกเลย           1. ทิ้งบุหรี่ที่คุณมีอยู่ให้หมด หาให้ทั่วว่าคุณอาจจะซุกซ่อนบุหรี่ของคุณเอาไว้ที่ไหน ในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง เสื้อแจ็คเก็ต ลินชักโต๊ะทำงาน โยนทิ้งไม่ให้เหลือแม้กระทั่งมวนเดียว ไม่ว่ามันจะมีราคาแพงแค่ไหนก็อย่าเสียดายเป็นอันขาด          2. ที่เขี่ยบุหรี่ก็ทิ้งไปเสียด้วย กรณีที่เสียดายเพราะมันเป็นเครื่องตกแต่งราคาแพง อาจจะยกให้คนอื่นไปเสีย หรือนำไปเก็บไว้ในที่ ๆ คุณแน่ใจว่า จะไม่มองเห็นหรือหยิบออกมาได้โดยง่าย          3. เปลี่ยนทรงผม จะได้ดูว่า เรากำลังจะเป็นคนใหม่            4. ทำความสะอาดบ้านและเครื่องเรือนทั้งหมด รวมทั้งเสื้อผ้าก็นำมาซักให้สะอาด ให้กลิ่นบุหรี่หมดไป จริงอยู่คนสูบบุหรี่จะไม่ได้กลิ่นเหล่านี้หรอก เพราะความเคยชิน แต่เมื่อเลิกแล้ว คุณจะได้กลิ่นของมัน          5. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพราะมันจะช่วยชำระล้าง Nocotine ออกจากร่างกาย และยังช่วยบรรเทาอาการอยากบุหรี่ได้ด้วย         6. ลดปริมาณสาร Caffeine ที่รับประทานในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟก็ตาม โดยก่อนการเลิกบุหรี่ ควรจะพยายามลดปริมาณสารนี้ให้ได้ประมาณครึ่งหนึ่งของที่เคยรับประทานในแต่ละวัน เพราะ Nicotine ทำให้ caffeine ซึมเข้าร่างกายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ถ้าหากคุณรับประทาน Caffeine ในปริมาณเท่าเดิม ขณะที่สูบบุหรี่ อาจจะนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า Caffeine Toxicity โดยมีอาการ กระวนกระวายและเครียดได้ แลtนั่นอาจจะทำให้คุณหันกลับไปสูบบุหรี่อีกครั้ง         7. ออกกำลังกาย เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้เราเอาใจออกห่างจากบุหรี่ได้ด้วย        8. หาเพื่อนที่มีความต้องการจะเลิกบุหรี่ด้วยกันสักคน แล้วเลิกพร้อมกันเพื่อที่จะได้เป็นที่ปรึกษา คอยเตือนและคอยให้กำลังใจกัน หรืออาจจะเป็นการหาแรงบันดาลใจอื่น เช่น เลิกเพื่อลูก เลิกเพื่อบิดามารดา หรือคนรักก็ได้                                             หวังว่าทุกท่าน ที่ตั้งใจแน่วแน่ คงเลิกบุหรี่ได้นะครับ                                                            โดย นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

7 คำถามที่หน้าสนใจเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า

7 คำถามที่หน้าสนใจเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า สัตว์อะไรบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้า?           ที่พบมากที่สุดคือสุนัข รองลงมาคือแมว ม้า ลิงและปศุสัตว์(วัว,ควาย) สัตว์แทะจำพวกหนู กระรอก กระแต มีรายงานว่าพบเชื้อไวรัสในน้ำลายได้ แต่พบน้อย 1)  สัตว์อะไรบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้า?           ที่พบมากที่สุดคือสุนัข  รองลงมาคือแมว ม้า ลิงและปศุสัตว์(วัว,ควาย)  สัตว์แทะจำพวกหนู กระรอก  กระแต มีรายงานว่าพบเชื้อไวรัสในน้ำลายได้ แต่พบน้อย  2)  ถ้าถูกสัตว์กัดจะมีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าเพียงใด?         -ถ้าสัตว์ที่กัดไม่ได้ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า จะไม่มีโอกาสเป็นโรค           -ถ้าไม่ทราบว่าสัตว์เป็นโรคหรือไม่  ต้องคิดว่าสัตว์เป็นโรคไว้ก่อน           -ผู้ที่ถูกสุนัขหรือสัตว์ที่เป็นโรคกัด  ไม่ป่วยเป็นโรคทุกราย โอกาสเป็นโรคโดยเฉลี่ยประมาณ  35% ขึ้นกับบริเวณที่ถูกกัด          -ถ้าถูกกัดที่ขา โอกาสเป็นโรคประมาณ 21 %           -ถ้าถูกกัดที่ใบหน้า  โอกาสเป็นโรคประมาณ  88 %           -ถ้าแผลตื้น แผลถลอก โอกาสเป็นโรคจะน้อยกว่า   แผลลึกหลายๆแผล   3) เชื้อติดต่อมาสู่คนได้อย่างไร?          เชื้อไวรัสจะอยู่ในน้ำลาย  ทางติดต่อสู่คนที่พบบ่อยคือถูกกัด  โดยทั่วไปเชื้อจะเข้าทางผิวหนังปกติไม่ได้ แต่อาจเข้าทางผิวหนังที่มีบาดแผลอยู่เดิม หรือรอยข่วน   นอกจากนี้ยังเข้าได้ทางเยื่อเมือก(mucosa) ได้แก่  เยื่อบุตา  เยื่อบุจมูก  ภายในปาก  ทวารหนัก และ อวัยวะสืบพันธุ์   แม้ว่าเยื่อเมือกจะไม่มีบาดแผล สำหรับทางติดต่อที่มีใน   รายงานแต่พบน้อย ได้แก่ ทางการหายใจ, ทางการปลูกถ่ายกระจกตา  4) ถูกสุนัขบ้ากัด นานเท่าใดจึงมีอาการ?           ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งปรากฏอาการของโรคพิษสุนัขบ้า หรือที่เรียกว่าระยะฟักตัว จะแตกต่างกันได้มาก พบได้ตั้งแต่ 4 วันจนถึง 4 ปี   ผู้ป่วยประมาณ 70% จะเป็นโรคภายใน  3 เดือน  หลังถูกกัด, ประมาณ  96% จะเป็นโรคภายใน 1 ปีหลังถูกกัด แต่ส่วนมากมักมีอาการในช่วงระหว่าง สัปดาห์ที่ 3 จนถึงเดือนที่  4   5) สุนัขที่เป็นโรคอาการเป็นอย่างไร?          สุนัขที่ป่วยจะเริ่มปล่อยเชื้อออกมาทางน้ำลายตั้งแต่ 3 วันก่อนมีอาการ ไปจนถึง 2 วันหลังมีอาการ  หลังจากนั้นจะปล่อยเชื้อออกมาทางน้ำลายตลอดเวลาจนกระทั่งตาย   ระยะฟักตัว  พบบ่อยในระยะ 3-8 สัปดาห์ แต่พบได้ตั้งแต่ 10 วันจนถึง 6 เดือน    อาการของโรค แบ่งได้ 2 แบบ คือ แบบดุร้าย เป็นแบบที่พบบ่อย  แบบซึม จะแสดงอาการไม่ชัดเจน   อาการของโรค แบ่งได้ 3 ระยะ  1. ระยะอาการนำ  สุนัขจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น จากเคยเชื่อง ชอบเล่นกลายเป็นซึม กินข้าวกินน้ำ น้อยลง  ระยะนี้กินเวลา 2-3 วันก่อนเข้าระยะที่สอง  2. ระยะตื่นเต้น  เป็นอาการทางระบบประสาท สุนัขจะกระวนกระวาย ไม่อยู่นิ่ง กัดทุกอย่างที่ขวางหน้า ตัวแข็ง น้ำลายไหล  ลิ้นห้อย ต่อมามีกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ทรงตัวไม่ได้ ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น ระยะพบได้ 1-7 วันก่อนเข้าระยะท้าย  3. ระยะอัมพาต จะเกิดอาการอัมพาตทั่วตัว  ถ้ามีอาการอัมพาตสุนัขจะตายใน 24 ชม. รวมระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ  จนถึงตายจะไม่เกิน 10 วัน ส่วนใหญ่ตายใน 4-6 วัน            ในแบบซึมอาจมีระยะอัมพาตนานได้ถึง 2-4 วัน  และ  ในสุนัขที่เป็นโรคที่พิษบ้าจะไม่แสดง อาการกลัวน้ำให้เห็น   6) อาการพิษสุนัขบ้าในคนเป็นอย่างไร?            แบ่งได้ 2 แบบคล้ายสัตว์ คือ แบบกระสับกระส่าย,ดุร้าย(เกิดจากเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนอยู่ในสมองมาก)แบบนี้พบได้บ่อย  และ แบบอัมพาต (เกิดจากเชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนมากในไขสันหลัง) อาการในคนแบ่งได้ 3 ระยะ  1. ระยะอาการนำ  จะเริ่มมีไข้ อ่อนเพลียคล้ายไข้หวัด อาจมีปวดท้องคลื่นไส้อาเจียน อาการที่แปลกไป  คือ อารมณ์เปลี่ยนแปลง   กังวล   กระสับกระส่าย      นอนไม่หลับ  อาการนำที่ชัดเจนที่พบบ่อยในคนไทย คือ อาการคันรอบๆบริเวณที่ถูกกัด หรือคันแขนขาข้างที่ถูกกัด  อาจมีอาการชา เจ็บเสียวรอบๆบริเวณที่ถูกกัด  2. ระยะอาการทางระบบประสาท แบ่งย่อยได้เป็น  -อาการกลัวน้ำ     จะมีอาการตึง แน่นในลำคอ      กลืนอาหารแข็งได้ แต่กลืนอาหารเหลวลำบาก เวลากินน้ำจะสำลัก  และเจ็บปวดเนื่องจากกล้ามเนื้อใน    ลำคอกระตุกเกร็ง               ภาพที่อธิบายไว้ถึงอาการกลัวน้ำ  คือ ผู้ป่วยหิวน้ำ พยายามเอื้อมมือหยิบถ้วยน้ำมาจิบช้าๆ แต่พอถ้วยยาแตะริมฝีปาก   ผู้ป่วยเริ่มมือสั่น   หายใจสะอึก เห็นกล้ามเนื้อลำคอกระตุกเกร็ง แหงนหน้าขึ้น  พ่นน้ำพ่นน้ำลายกระจายทั่ว   ถ้วยหล่นจากมือพร้อมทั้งเปล่งเสียงร้อง แสดงความเจ็บปวดไม่เป็นภาษาคน    บางคนที่กล้ามเนื้อควบคุมสายเสียงเป็นอัมพาต จะได้ยินคล้ายเสียงหมาเห่าหอน    ผู้ป่วยจะตายใน 2-3 วันหลังจากมีอาการกลัวน้ำ     - อาการกลัวลม  ผู้ป่วยจะสะดุ้งผวาเมื่อถูกลมพัด     -  อาการประสาทไว  ผู้ป่วยจะกลัว สะดุ้งเกร็งต่อสัมผัสต่างๆ    ไม่ชอบแสงสว่าง  ไม่อยากให้ใครมาถูกต้องตัว     - อาการคลุ้มคลั่งประสาทหลอน  ผู้ป่วยอาจอาละวาด ดุร้ายน่ากลัว    -  อาการอื่นๆ เช่นมาด้วยอัมพาต  3. ระยะสุดท้าย  ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว  เข้าสู่ระยะโคม่า       ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา จะมีชีวิตไม่เกิน 7 วัน หลังจากเริ่มอาการนำและอยู่ไม่เกิน 3 วัน หลังมีอาการทางระบบประสาท    7) ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อถูกสุนัขข่วน,กัด ? 1. รีบล้างแผลด้วยน้ำและสบู่หลายๆครั้ง  พยายามล้างให้เข้าถึงรอยลึกของแผล ถ้าไม่มีสบู่ใช้ผงซักฟอกแทนก็ได้  2. ทำความสะอาดซ้ำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเช่น 70% alcohol  3. ถ้าแผลฉกรรจ์มีเลือดออก  ควรปล่อยให้เลือดออกระยะหนึ่งเพื่อล้างน้ำลายซึ่งอาจมีเชื้อไวรัสออก  4. ถ้าสามารถเฝ้าดูอาการสัตว์  (กรณีที่มีเจ้าของ หรือทราบตัวเจ้าของ)    ควรกักขังและเฝ้าดูอาการอย่างน้อย 10 วัน  5. กรณีที่สัตว์ตาย ควรนำส่งเพื่อตรวจหาเชื้อด้วย  6. ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และ วัคซีนป้องกันบาดทะยักทันที ไม่ว่าจะสามารถเฝ้าดูอาการได้หรือไม่  โดยเฉพาะสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของหรือกัดแล้วหนี ควรมา รพ.ทันที  ไม่ควรและไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้สุนัขมีอาการก่อน เพราะระยะฟักตัวทั้งในคนและสัตว์ไม่แน่นอน  (เป็นช่วงที่กว้าง)  คนอาจมีอาการก่อนสัตว์ได้    7. ประวัติการได้รับวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าของสัตว์,สัตว์มีเจ้าของไม่เคยออกนอกบ้าน ไม่เคยไปกัดกับใคร อาจช่วยลดโอกาสการเป็นโรคของสัตว์ดังกล่าวลง    แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่เป็นโรค เพราะฉะนั้นควรปฏิบัติ ตามข้อ1-6 เหมือนเดิม  8. กรณีที่เป็นแผลฉีกขาด อาจทำแผลไปก่อน  โดย ยังไม่ต้องเย็บแผลเนื่องจากแผลสกปรก โอกาสติดเชื้อจะสูงมาก โดยเฉพาะถ้าเย็บแผล                                                โดย  นพ.ธเนศ  พัวพรพงษ์   ศัลยแพทย์รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ในกรณีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ และได้รับการตรวจภายในแล้ว

ในกรณีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ และได้รับการตรวจภายในแล้ว           ในกรณีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติและได้รับการตรวจภายในแล้ว ไม่พบอาการผิดปกติ เราเรียกภาวะนี้ว่า Dysfunctional uterine bleeding (DUB) ซึ่งเกิดจากระบบฮอร์โมนที่ควบคุมการมีประจำเดือนแปรปรวนไป มักจะทำให้ไม่มีไข่ตก ภาวะนี้ไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจจะรู้สึกรำคาญที่ประจำเดือนมาบ่อย หรือไม่เหมือนคนอื่น   การรักษา           จะใช้ยาคุมในกรณีที่ยังไม่แต่งงานหรือยังไม่พร้อมที่จะมีบุตร ใช้ระยะเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี ถ้าได้รับการรักษามานานแล้วประจำเดือนยังไม่กลับมาปกติ ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจฮอร์โมนในเลือด อัลตราซาวด์ เป็นต้น           ถ้าในกรณีที่ต้องการมีบุตร การรักษาจะใช้ยากระตุ้นให้ไข่ตก เพื่อให้ตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่ตั้งครรภ์ประจำเดือนก็จะมาปกติ                                    โดย นพ.ชุมพล  ชินนิยมพานิชย์  สูติ-นรีแพทย์ รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon cancer) มะเร็งอันดับ 3 ในชายไทย (8.8 ราย / 100,000 คน) 

มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon cancer) เป็นโรคที่พบได้บ่อยขึ้น และเป็นปัญหาสำคัญทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ปี พ.ศ.2542 พบมะเร็งลำไส้ใหญ่บ่อยเป็นอันดับสามในชายไทย (8.8 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน) รองจากมะเร็งตับและมะเร็งปอด เป็นอันดับที่ 5 ในหญิงไทย (7.6 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน) โดยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป และพบว่าหนึ่งในสามของผู้ป่วยมะเร็งนี้จะมีประวัติมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว  มะเร็งลำไส้ โดยทั่วไปจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ (colon) และลำไส้ตรง ( rectum) มากกว่าลำไส้เล็กครับ  สาเหตุ สาเหตุมีหลาย factor เช่น กรรมพันธ์,ยีน มีประวัติคนเป็นในครอบครัว  โรคของลำไส้บางชนิด เช่น ติ่งเนื้อในลำไส้ (FAP=familial adenomatous polyposis coli) พวกนี้โอกาศเป็นมะเร็ง 100% ฉะนั้นมักต้องตัดลำไส้ทันทีที่ทราบว่าเป็นลำไส้อักเสบเรื้อรัง (ulcerative colitis)  ในเรื่องของอาหารการกินก็มีส่วน คือพบว่าการกินอาหารไขมันสูง,กากน้อย จะทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น(High fat,low fiber)ทำให้โรคนี้มักเป็นกันมากในแถบ europe และ USA ซึ่งทานแต่เนื้อไม่ค่อยทานผัก(พวก fast food)  เป็นเอง ไม่ทราบสาเหตุ อาการขึ้นกับตำแหน่งที่เป็น คือ ลำไส้ใหญ่ฝั่งขวา  อาจมาโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้อง ถ่ายเป็นมูกเลือดประจำ อ่อนเพลีย  ซีด  น้ำหนักลดจากการเสียเลือดเรื้อรัง  ลำไส้ใหญ่ฝั่งซ้าย   อาจมาด้วย ปวดท้อง ท้องอืดประจำ อาจมีถ่ายเป็นมูกเลือดได้ แต่พวกนี้มักมาด้วย  ลำไส้อุดตันบ่อยครับ คือท้องอืดไม่ถ่าย ไม่ผายลม ต้องรีบ ผ่าตัดเลยครับ อาจมีอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซีด ได้เหมือนกัน  ลำไส้ตรง  อาจมีอาการท้องเสีย สลับท้องผูกประจำ, ถ่ายเป็นมูกเลือด, ซีดลง, ถ่ายไม่สุด, ถ่ายลำเล็กลง, ถ่ายเป็นเม็ดกระสุนออกมา จนถึงอุดตัน จนถ่ายไม่ออก  ท้องอืด  สรุปอาการที่เด่นๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นตรงไหน คือ อ่อนเพลีย ซีด ปวดท้อง แน่นท้อง รวมทั้งถ่ายเป็นมูกเลือดครับ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ปัจจุบันมีการศึกษาด้านชีวภาพของโรคนี้มากขึ้น ทำให้เข้าใจถึงพยาธิกำเนิดนำไปสู่แนวทางการป้องกันโดยการตรวจคัดกรอง (Screening) ทำให้วินิจฉัยมะเร็งนี้ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกก่อนที่มะเร็งลำไส้ใหญ่จะลุกลาม ส่งผลให้เพิ่มอัตรารอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สำหรับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้น มีการตรวจหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันไป ได้แก่ การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในอุจจาระ (Fecal Occult Blood Test : FOBT) เป็นวิธีที่ใช้แพร่หลาย จากข้อมูลทางยุโรปและสหรัฐ พบว่าร้อยละ 1-2.6 ของผู้ที่ให้ผลบวกของ FOBT มีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ข้อจำกัดของวิธีนี้คือ ความไวต่ำและมีผลบวกลวงสูง โดยเฉพาะผู้ที่ชอบบริโภคเนื้อแดง หรือผักจำพวกหัวผักกาด กระหล่ำดอก บล็อกโคลี หัวไชเท้า แคนตาลูป ฯลฯ ซึ่งผู้ตรวจควรงดรับประทานอาหารดังกล่าว 3 วัน ก่อนเก็บตัวอย่างอุจจาระ มาตรวจ และอาจต้องเก็บตัวอย่างอุจจาระมาตรวจซ้ำ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ซึ่งผู้คัดกรอง หลายท่านไม่สะดวกและรู้สึกยากลำบากในการเก็บตัวอย่างมาตรวจนั่นเอง การตรวจลำไส้ใหญ่โดยการสวนแป้งและเอกซเรย์ (Double (air) Contrast Barium Enema : DCBE) เป็นทางเลือกหนึ่งในการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอดีต โดยใช้แป้งแบเรียมสวนเข้าทางทวารหนัก ประสิทธิภาพในการตรวจนี้ไม่ชัดเจน ความไวในการตรวจน้อยกว่าการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ถ้าติ่งเนื้องอกขนาดเล็กกว่า 1 ซม. ข้อจำกัดอีกอย่างคือ ผู้รับการตรวจอาจไม่สามารถทนการตรวจได้ เพราะต้องอัดแป้งเข้าไปประกอบกับต้องกลั้นทวารหนัก พลิกตะแคงไปมาและยังต้องการรังสีแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ความชำนาญในการอ่านผลเป็นอย่างดี การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscope) การส่องกล้องเป็นวิธีที่มี Cost Effective สูงสุดในปัจจุบัน สามารถลดอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ จึงเป็นที่แนะนำของสมาคมแพทย์ต่าง ๆ ทั่วโลก นอกจากจะเห็นเนื้องอกชัดเจนแล้วยังสามารถนำติ่งเนื้องอกออกได้โดยไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตามวิธีนี้จัดว่ามีภาวะแทรกซ้อนได้ร้อยละ 0.03-0.72 มีค่าใช้จ่ายสูง ผู้รับการตรวจต้องอดอาหารและเตรียมลำไส้ใหญ่ให้โล่งว่าง ทั้งยังต้องการแพทย์ผู้ชำนาญในการส่องกล้องตรวจเพื่อความแม่นยำและลดภาวะแทรกซ้อนในการตรวจ การตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Colonography) เป็นการนำ Helical CT ซึ่งมีความละเอียดสูง มาประกอบภาพ 3 มิติของลำไส้ใหญ่ ข้อดีคือ ทำให้เร็วและปลอดภัย เห็นภาพได้ตลอดความยาวลำไส้ใหญ่และมองเห็นผิวนอก ต่อมน้ำเหลืองรอบ ๆ ลำไส้ใหญ่ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างคือ ความไวและความจำเพาะไม่มาก ทั้งยังต้องเตรียมและต้องเป่าลมเข้าลำไส้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม เครื่องมือชนิดนี้ยังมีไม่มากและไม่สามารถเบิกจ่ายค่าตรวจจากระบบประกันสุขภาพได้ การรวจหาดีเอนเอ (Fecal DNA Testing) มีความไวในการคัดกรองหามะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่าการตรวจ FOBT ถึง 4 เท่า แต่มีความไว ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ การตรวจนี้อาจเป็นที่ยอมรับให้ใช้เป็น เครื่องมือในการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคต การป้องกัน จากสาเหตุดังกล่าวการป้องกันเท่าที่ทำได้ คือถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยง คงต้องพบแพทย์สม่ำเสมอ อาจต้องตรวจอุจจาระ ส่องกล้องดูลำไส้ ประจำ เช่น ปีละครั้ง เมื่ออายุมากกว่า 35 ปี ถ้าไม่เป็นกลุ่มเสี่ยง ก็กินผักมากๆ อาหารมันๆน้อย ถ่ายอาจตรวจอุจจาระ (stool occult blood) ปีละครั้ง เริ่มตอนอายุ 40 ปี แค่นี้ก็พอครับ  แพทย์ นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ แผนกศัลยกรรม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การจัดฟัน คืออะไร มีกี่แบบ ข้อดี/เสีย ขั้นตอนต้องรู้ก่อนเสียตังค์

การจัดฟันคืออะไร? การจัดฟัน (Orthodontic treatment) เป็นการเคลี่อนฟันไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านความสวยงามและการทำหน้าที่ โดยอาศัยเครื่องมือบางชนิด ซึ่งมีทั้งแบบถอดได้และแบบที่ยึดติดอยู่กับตัวฟันแบบที่อยู่ในช่องปากและแบบที่อยู่นอกช่องปากแบบที่มีสีจากโลหะและแบบที่มีสีเดียวกับฟันธรรมชาติ  การจัดฟันยังรวมไปถึงการแก้ไขลักษณะนิสัยที่ผิดปกติในการบดเคี้ยว การเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของขากรรไกรอีกด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านความสวยงาม และการทำหน้าที่ ทำไมต้องจัดฟัน? การจัดฟันเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหาฟันเก ฟันซ้อน ฟันห่าง ฟันเหยินได้ และปัจจุบันก็เป็นที่นิยมทำกันมาก การมีฟันเก ฟันห่าง ฟันที่เรียงซ้อนกัน หรือฟันที่สบกันไม่พอดี อาจจะส่งผลให้มีปัญหาเกี่ยวกับขากรรไกรที่ส่งผลต่อการเคี้ยวอาหาร ทำให้ประสิทธิภาพในการเคี้ยวอาหารลดลง และยังเป็นอุปสรรคต่อการทำความสะอาด ส่งผลต่อสุขภาพของเหงือกและฟันตามมา ซึ่งสาเหตุของฟันที่สบกันไม่พอดีนี้อาจมาจากนิสัยบางอย่าง เช่น การชอบดูดนิ้วตอนเด็ก การถอนฟันแท้ในช่วงก่อนโตเป็นผู้ใหญ่ หรือเกิดจากพันธุกรรม ดังนั้น การจัดฟันจึงมีผลดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะเมื่อฟันเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ การทำความสะอาดจะง่ายขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดฟันผุ และโรคเหงือก นอกจากนี้ ฟันที่สบกันสนิทจะทำให้เคี้ยวอาหารได้อย่างละเอียด ทั้งยังสามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับการพูดที่เกิดจากการสบของฟัน การจัดฟันทำโดยการติดเครื่องมือจัดฟัน ซึ่งจะทำให้เกิดแรงกดลงไปที่ฟัน ทำให้ฟันเกิดการเคลื่อนย้ายไปในทิศทางที่ต้องการและค่อยๆ ขยับเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องการสบกันระหว่างฟันบนกับฟันล่างด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานและสุขภาพของช่องปากและฟัน นอกจากนี้การจัดฟันยังช่วยเพิ่มความสวยงามของฟัน ทำให้พูดหรือยิ้มได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ประเภทของการจัดฟัน ประเภทของการจัดฟัน แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ   การจัดฟันแบบใช้เหล็กดัด กับการจัดฟันโดยไม่ใช้เหล็กดัด แต่จะใช้เป็นพลาสติกใสๆ ครอบไปที่ตัวฟันแทน  โดยที่เราจะเปลี่ยนชิ้นพลาสติกนี้ไปเรื่อยๆ ฟันก็จะขยับไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องมีเหล็กดัดติดอยู่ที่ฟันของเรา การจัดฟันแบบนี้เรียกว่า การจัดฟันแบบใส Invisalign ข้อดี การบดเคี้ยวอาหาร การจัดฟันจะทำให้บดเคี้ยวอาหารได้ดียิ่งขึ้น และย่อยอาหารได้ดียิ่งขึ้น กระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป เนื่องจากการบดเคี้ยวเป็นขั้นแรกในการย่อยอาหาร ทำให้ปัญหาต่างๆ ทางทันตกรรมลดลง ฟันซ้อนเกจะทำให้เราทำความสะอาดหรือแปรงฟันได้ยาก และไม่ทั่วถึง ส่งผลให้มีคราบอาหารและคราบจุลินทรีย์รวมทั้งหินปูนมาเกาะจับที่ตัวฟันอยู่เยอะ ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้นานๆ ก็จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดฟันผุและโรคเหงือกได้ ฟันซ้อนเกจะทำให้เมื่อเราใช้ฟันในการบดเคี้ยวอาหารประจำวัน จะเกิดการสึกของฟันในตำแหน่งที่ไม่ควรจะเกิด ทำให้การสบฟันผิดจากตำแหน่งปกติที่ควรจะเป็น จึงส่งผลให้ยิ่งนานไป ยิ่งจะทำให้เกิดปัญหาต่อตัวฟัน เหงือกและข้อต่อขากรรไกร ความสวยงาม การจัดฟันจะทำให้ฟันเรียงตัวสวยงาม เป็นการเสริมสร้างบุคลิกภาพและเพิ่มความมั่นใจแก่ตัวเองอีกด้วย ข้อเสีย                                  1. ฟันผุ เหงือกอักเสบ เนื่องจากการที่เรามีเครื่องมือจัดฟันอยู่ในช่องปาก จะทำให้การทำความสะอาดเป็นไปได้ยาก ส่งผลให้เกิดฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่าย ผู้ที่จัดฟันจึงควรแปรงฟันอย่างสะอาดทั่วถึงหลังจากมื้ออาหารทุกมื้อ 2. อาการแพ้สาร ที่เป็นส่วนประกอบในเครื่องมือจัดฟัน บางคนแพ้สารนิเกิลที่เป็นส่วนประกอบในเครื่องมือจัดฟัน แต่พบได้น้อยมาก 3. อาการเจ็บ พบได้เกือบทุกคนที่จัดฟัน อาการเจ็บนี้มักเกิดจากการเคลื่อนตัวของฟัน หรือเกิดจากเครื่องมือจัดฟันไปทิ่มกับเนื้อเยื่อภายในช่องปาก อาการเจ็บจะเป็นในบางช่วงของการจัดฟันเท่านั้น 4. อาการปวดข้อต่อขากรรไกร อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการจัดฟัน เนื่องจากฟันเคลื่อนตัวไปในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมต่อการบดเคี้ยว 5. ฟันตายหรือรากฟันมีการละลายตัว พบได้ไม่บ่อยนักในผู้ที่มีการจัดฟัน อย่างไรก็ตามเราพบว่าในระหว่างการจัดฟันนั้น ฟันที่ตายไปแล้ว อาจจะย้อนกลับมามีชีวิตดังเดิมได้ และในคนปกติที่ไม่ได้จัดฟันรากฟันก็จะมีการละลายตัวได้เองอยู่แล้ว เมื่อไหร่จึงเริ่มจัดได้ การจัดฟันสามารถกระทำได้ทั้งในเด็กที่ฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบและในผู้ใหญ่ที่ฟันแท้ขึ้นครบทุกซี่แล้ว ทั้งนี้อาจจะมีจุดมุ่งหมายและข้อจำกัดแตกต่างกันออกไปบ้าง  การจัดฟันในเด็กอาจจะมีผลทำให้รูปหน้าและรูปร่างของกระดูกขากรรไกรเปลี่ยนแปลงไปได้  ในขณะที่ในผู้ใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะการเรียงตัวของฟันเท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของใบหน้าได้มากนักและมีข้อจำกัดต่างๆมากกว่าในเด็ก  ในบางครั้งการจัดฟันเพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถแก้ไขการสบฟันและรูปร่างใบหน้าให้สมบูรณ์ได้  จึงต้องมีการถอนฟันออกไปบางซี่ หรือในรายที่มีความผิดปกติรุนแรง อาจจะต้องทำการจัดฟันร่วมกับการผ่าตัดกระดูกขากรรไกร (Orthognathic surgery) ขั้นตอนทั่วไปในการจัดฟัน X-Ray โครงสร้างฟัน พิมพ์ปาก แยกฟัน ติดเครื่องมือในสัปดาห์ต่อมา จากนั้นจะนัดพบทันตแพทย์จัดฟัน ทุก 3 - 4 สัปดาห์ ต่อครั้ง จนกระทั่งสภาพฟัน เป็นที่น่าพอใจ ใช้เวลาประมาณ ปีครึ่ง - 2 ปี จึงถอดเครื่องมือ ใส่ Retainer 9 ต่อจนฟันคงสภาพในตำแหน่งที่จัดอีก 1-2 ปี ซึ่งจะนัดตรวจเป็นระยะ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 2 ปี  ระยะเวลาที่ต้องใช้ ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดฟันนั้น จะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย โดยเฉลี่ยการจัดฟันแบบติดแน่นนั้นใช้เวลาประมาณ 1.5 - 2.5 ปี แต่ก็ยังมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดฟันแตกต่างกันไป ดังนี้ ผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า มักจะใช้ระยะเวลาในการจัดฟันมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อยกว่า การจัดฟันที่มีการถอนฟันร่วมด้วย มักจะใช้เวลาในการจัดฟันมากกว่าการจัดฟันที่ไม่มีการถอนฟันร่วมด้วย การจัดฟันที่มีการผ่าตัดขากรรไกรร่วมด้วย มักจะใช้เวลามากกว่าการจัดฟันที่ไม่มีการผ่าตัดขากรรไกร การผิดนัดบ่อยๆ ย่อมทำให้เวลาในการจัดฟันนานขึ้น         การไม่ปฏิบัติตามที่แพทย์สั่ง เช่น การใส่ยางหรือการใส่เครื่องมือจัดฟันชนิดถอดได้ ย่อมทำให้เวลาในการจัดฟันมากขึ้น การรับประทานอาหารโดยการไม่ระมัดระวัง จะทำให้เหล็ก ยางหรือลวดจัดฟันหลุด หรือเสียหาย ย่อมทำให้ระยะเวลาในการจัดฟันมากขึ้น ความสำเร็จในการจัดฟัน การใส่เครื่องมือบางชนิดในช่องปากด้วยตัวเองจนถึงการใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน (Retainer) หลังจากเสร็จสิ้นการรักษาแล้ว ถ้าปราศจากการร่วมมือที่ดีจากผู้ป่วยแล้ว การจัดฟันอาจจะใช้เวลานานกว่าปกติและไม่ประสบผลสำเร็จ หรือผลที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควรครับ  จะต้องอาศัยความร่วมมืออย่างสูงจากผู้ป่วยตั้งแต่การมาให้ตรงเวลานัดโดยทั่วไป  จะต้องมาพบทันตแพทย์ทุกๆ 3-4 สัปดาห์เพื่อทำการปรับเครื่องมือ  การรักษาความสะอาดในช่องปาก  ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัว แปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร และรักษาความสะอาดฟันและช่องปากให้ดี ปฏิบัติตัวตามที่ทันตแพทย์สั่งโดยเคร่งครัด เช่น การใส่ยาง การใส่ retainer การมาตามนัดที่กำหนด งดอาหารบางประเภท อาหารที่แข็งมาก เช่น อ้อย น้ำแข็ง อาหารเหนียว เช่น หมากฝรั่ง ตังเม เนื้อที่เหนียวมากๆ อาหารหวานจัด เช่น ลูกอม ช็อคโกแลต แพทย์ ทพ. ณพงษ์ พัวพรพงษ์ ศูนย์ทันตกรรมและทันตกรรมเฉพาะทาง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ควรจะบีบยาสีฟันแค่ไหนถึงจะดี ?

ควรจะบีบยาสีฟันแค่ไหนถึงจะดี ?             ผู้ใหญ่หลายๆคนคิดว่า ขณะแปรงฟันยิ่งใช้ยาสีฟันมากขึ้นเท่าใด ฟันของเราก็ยิ่งสะอาดมากขึ้นเท่านั้น แต่เขาเหล่านั้นคงลืมไปว่า ความจริงแล้วสิ่งที่ทำความสะอาดฟันนั้นไม่ใช่ยาสีฟัน แต่เป็นแปรงสีฟันครับ          บางคนอาจจะตั้งข้อสงสัยขึ้นมาทันทีว่า ถ้าอย่างนั้นผมก็เลิกใช้ยาสีฟัน ก็ได้นะสิ คำตอบ คือ ไม่ใช่นะครับ อย่างน้อยๆเหตุผลข้อหนึ่งในนั้น ก็คือฟลูออไรด์ในยาสีฟันที่เราใช้แปรง สามารถทำให้ฟันแข็งแรงขึ้น แล้วก็ช่วยต่อต้านฟันผุด้ว              ปริมาณยาสีฟันที่ควรใช้กันที่ได้รับการรับรองจากสมาคมทันตแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา คือ ในเด็กบีบยาสีฟันให้มีขนาดเท่าเม็ดถั่วครับ   เพราะถ้าใช้มากเกินไปเด็กมักจะกลืนยาสีฟัน เข้าไปด้วย ทำให้ได้รับปริมาณฟลูออไรด์มากเกินไปซึ่งส่งผลทำให้ฟันแท้ที่ขึ้นมาอาจมีจุดสีขาวๆ บนตัวฟัน (Dental Fluorosis) และไม่สามารถกำจัดออกไปได้ครับ          ส่วนในผู้ใหญ่ ให้กำหนดปริมาณยาสีฟันจากการบีบยาครับ คือ ให้บีบให้มีความยาวเท่ากับความยาวของขนแปรงสีฟันที่คุณใช้อยู่ครับ อย่าลืมแปรงฟันทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 หนนะครับ   โดย ทพ.ณพงษ์ พัวพรพงษ์ ทันตแพทย์ รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ปวดฟัน

ปวดฟัน           อาการปวดฟันเป็นอาการที่ไม่พึงประสงค์ของคนทุกคน(รวมทั้งผู้เขียนด้วย) สามารถเกิดได้กับทุกชนชั้นวรรณะ   อาการปวดฟันเกิดได้จากหลายๆสาเหตุ ที่พบบ่อยมีดังนี้  1.ฟันผุหรือหักร้าวจนถึงโพรงประสาทฟัน มักทำให้ปวดมาก ปวดจนนอนไม่หลับ  การรักษา : โดยการรักษารากฟันหรือถอนฟันชี่นั้นออกไป    2.ฟันผุไม่ถึงประสาทฟัน  แต่มีอาหารไปอัดอยู่แล้วไปกดโดนเหงือกทำให้ปวด อาการปวดแบบนี้จะปวดเมื่อเวลารับประทานอาหารแล้วเศษอาหารไปติดที่ซอกฟัน ทำให้ปวดตื้อๆอยู่นานๆ  การรักษา : โดยการอุดฟันที่ผุนั้น    3. โรคเหงือก (Periodontal Disease) ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากคราบหินปูนนั่นเอง ทำให้เหงือกอักเสบ บวม และปวดได้ บางครั้งอาจมีหนองเกิดร่วมด้วย  การรักษา : โดยการขูดหินปูน เกลารากฟัน และอาจจำเป็นต้องมีการรักษาอื่นร่วมด้วย ถ้าเป็นมากอาจต้องถอนฟันออกไป    4. การสบฟันผิดปกติ (Malocclusion)   มักจะปวดเมื่อเคี้ยวอาหารหรือขณะฟันกระทบกัน  การรักษา : โดยการกรอแก้ไขการสบฟัน (occlusal adjustment) และแก้ไขสาเหตุที่ทำให้ ฟันสบกันผิดปกติ    5. โรคทางระบบประสาท (Trigeminal Neuralgia) มักจะปวดฟันมากกว่า 1 ซี่ร่วมกับการปวดเหงือกและผิวหนังบริเวณแก้ม  การรักษา : โดยการรับประทานยา บางครั้งอาจมีการผ่าตัดร่วมด้วย    6. สาเหตุอื่นๆ เช่น ฟันที่เคยรักษารากฟันมานานแล้ว    เมื่อมีอาการปวดฟันเกิดขึ้น ผมแนะนำให้รับประทานยาแก้ปวดได้ครับ แต่ห้าม นำยาแก้ปวดทุกชนิดไปแปะหรืออัดไว้ตรงฟันที่ปวดนะครับ เพราะอาจทำให้เป็นแผลพุพองได้  หลังจากนั้นก็ให้มาพบทันตแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและแก้ไขไม่ควรปล่อยทิ้งไว้แม้ว่าจะหายปวดไปแล้วก็ตาม เพราะการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ผลการรักษาย่อมประสบความสำเร็จมากกว่า จริงไหมครับ   โดย  ทพ.ณพงษ์ พัวพรพงษ์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การรักษารากฟัน (Root Canal Treatment)

การรักษารากฟัน (Root Canal Treatment) การรักษารากฟัน คือ การนำเอาเส้นเลือด และเส้นประสาทที่มาเลี้ยง ตัวฟันออกไป แล้วแทนที่ ด้วยวัสดุบางอย่าง มักจะทำการรักษารากฟัน  เมื่อฟันผุหรือหักทะลุโพรงประสาทฟัน  ซึ่งไม่สามารถ  ทำการอุดฟันได้ตามปกติ หรือ ฟันที่รับอันตรายจากแรงกระแทก ทำให้เส้นเลือดที่มาเลี้ยงตัวฟันขาดหรือ  เสียไป ซึ่งอาการที่ผู้ป่วยมักจะมาหา คือ ปวดฟัน, ฟันมีสีคล้ำลงกว่าเดิม    การรักษารากฟัน ต้องมารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และมักใช้เวลาในการรักษามากกว่า 1 ครั้ง ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจให้ทันตแพทย์รักษารากฟัน ผู้ป่วยต้องแน่ใจว่ามีเวลา เพียงพอที่จะมารับการรักษา  โดยปกติจะใช้เวลารักษาประมาณ 2-4 ครั้ง  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของฟันที่จะรับการรักษา อนึ่ง       การรักษารากฟัน เป็นเพียงการที่จะพยายามเก็บฟันไว้ให้อยู่ในช่องปาก ได้นานที่สุด  แทนที่จะต้องถอนออกไป ดังนั้น หลังจากการรับการรักษารากฟัน  โดยสมบูรณ์แล้ว ฟันซี่นั้น  อาจจะอยู่ได้อีก 1 ปี, 2 ปี, 5 ปี หรือตลอดชีวิตก็ได้  ฟันที่ได้รับการรักษารากฟันแล้ว  จะเรียกว่าฟันตาย (non-vital tooth)  โดยจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่เห็นได้ชัด คือ  เนื้อฟันจะเปราะขึ้น แตกหัก  ได้ง่ายขึ้น ฟันเปลี่ยนเป็นสีคล้ำลงกว่าเดิม  ดังนั้น ทันตแพทย์จึงแนะนำให้ ทำเดือยฟันร่วมกับครอบฟัน (post & core) เพื่อให้ฟันนั้น  มีความแข็งแรง และสวยงามดังเดิม   โดย ทพ. ณพงษ์  พัวพรพงษ์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
<