การกำจัดเชื้อราหลังน้ำท่วม

การกำจัดเชื้อราหลังน้ำท่วม   การสํารวจว่ามี เชื้อราหลังน้ำท่วมหรือไม่ อาจทําได้ 2 ทางคือ ดูด้วยตา เช่น พบเห็นผนังมี รอยเปื้อน หรือมี ลักษณะเชื้อราขึ้น  ดมกลิ่น กลิ่นเชื้อราเป็นกลิ่นเหม็นอับทึบ หรือเหม็นคล้ายกลิ่นดิน (earthy smell)   หากสงสัยว่ามีเชื้อรา ให้ปฏิบัติ ดังนี้  ให้ใช้หลักว่าสิ่งของใดที่ไม่สามารถกําจัดเชื้อราได้หมดจดให้ทิ้งไป เลยโดยเฉพาะวัสดุที่มี รูพรุนซึ่งไม่สามารถชะล้างและทําให้แห้งได้จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อรา อยู่ต่อไปนอกจากนี้เชื้อราที่ตายแล้ว ก็ยังอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ได้ ถ้าเป็น สิ่งของที่ทําด้วยผ้าหากต้มได้ต้องฆ่าเชื้อด้วยการต้มด้วยน้ำร้อนก่อนจึงจะนํามาใช้อีก  รีบทําควาะอาดพื้นและผนังโดยการขัดล้างให้เร็วที่สุดภายใน 24 - 48 ชั่วโมงหลังน้ำลดระหว่างทําความสะอาดให้เปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ    และเปิดพัดลมเพื่อช่วยให้ แห้งโดยเร็วเริ่มแรกควรล้างด้วยน้ำและสบู่หรือผงซักฟอกเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกก่อนแล้วตาม   ด้วยการขัดล้างด้วยน้ำยา 0.5 % sodium hypochlorite    ถ้าเป็นการขัดผนังปูนหรือพื้นผิวที่ หยาบควรขัดด้วยแปรงชนิดแข็งถ้าไม่ใช้น้ำยา 0.5% sodium hypochlorite อาจผสมน้ำยาใช้ เองโดยใช้ผงฟอกขาวที่มีใช้อยู่ตามบ้านปริมาณ 1 ถ้วยตวงผสมกับ น้ำ 1แกลลอนก็ได้ ส่วน   ผู้ทําความสะอาดต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันร่างกายได้แก่  รองเท้าบู๊ทยาง  ถุงมือยางสําหรับทํางานบ้าน  แว่นป้องกันตา  หน้ากากอนามัย เมื่อขัดล้างเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง หรืออาจใช้ไฟสปอร์ตไลท์ส่องเพื่อช่วยให้แห้งเร็วขึ้น   นอกจากนี้หากพบว่ามีเชื้อราฝังแน่นตามผนัง ไม่สามารถขัดล้างออกได้ ควรเปลี่ยนใหม่ ไม่ควรทาสีทับ และหากเป็นห้อง ที่มีเครื่องปรับอากาศควรล้างทําความสะอาดเครื่องปรับอากาศไปพร้อมกันด้วย  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การทําความสะอาดบ้าน...อย่างปลอดภัย

การทําความสะอาดบ้าน...อย่างปลอดภัย              การเช็ดล้างเป็นการทําความสะอาดพื้นผิว แต่อาจจะยังไม่สามารถทําให้เชื้อราตายได้ จึงควรใช้สารฆ่าเชื้อราเพื่อให้มั่นใจในการหยุดยั้งการทําอันตรายต่อสุขภาพ หลักการและวิธีทําความสะอาด             แยกพื้นที่ที่จะทําความสะอาดให้อยู่ในวงจํากัดในมุมหนึ่งของบ้านและควรทํานอกอาคารถ้าเป็นไปได้  ในกรณี ที่วัสดุนั้นๆยากแก่การทําความสะอาดหรือ มีรูพรุนมากมี เชื้อรามากให้คัดแยกวัสดุนั้นทิ้งไป ตัวอย่างเช่น  กระดาษฉนวน พรมรองพื้น ฝ้าเพดาน ยิบซัมฝ้าผนัง ผลิตภัณฑ์ไม้ที่บดอัดขึ้นรูป เป็นต้น ในการ ทิ้งต้องห่อด้วยพลาสติกกันการฟุ้งกระจายของสปอร์ราด้วย                พึงตระหนักว่าการเช็ดล้างเป็นการทําความสะอาดพื้นผิว แต่อาจจะยังไม่สามารถทําให้เชื้อราตายได้ จึงควรใช้สารฆ่าเชื้อราเพื่อให้มั่นใจในการหยุดยั้งการทําอันตรายต่อสุขภาพ เชื้อราที่ตายไปแล้วยังคงสามารถ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพเช่นกันซึ่งเป็นผลจากการผลิตสารพิษของเชื้อรา                เฝ้าระวังการเกิดราใหม่เสมอทํา ถ้าหากผลยังไม่เป็นที่พอใจและต้องลดกิจกรรมใดๆที่จะทําให้มี ความชื้นอยู่ใน อากาศนานๆเช่น การตากผ้าในบ้าน การต้มน้ำ ทํากับข้าวภายในบ้านการปิดเครื่องปรับอากาศแล้วเปิดหน้าต่างทันที เป็นต้น               กรณี พื้นผิววัสดุที่ขึ้นรามี สภาพแห้งและรามี ลักษณะฟู เห็นเส้นใยโผล่ออกมาต้องระวังห้ามใช้ผ้าแห้ง เช็ดเพราะสปอร์ของราจะฟุ้งกระจายได้ และไม่ควรเปิดพัดลมเพราะแรงลมจะยิ่งทําให้สปอร์ของราฟุ้งกระจายได้ ง่ายขึ้น ให้ใช้กระดาษทิชชูเนื้อเหนียวแผ่นหนาและขนาดใหญ่ๆจะดีมากพรมน้ำให้เปียกเล็กน้อย(หรือใช้กระดาษ หนังสือพิมพ์ก็ได้) ชุบน้ำพอหมาดๆเช็ดพื้นผิวโดยให้เช็ดจากล่างขึ้นบนหรือจากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้ายก็ได้ แต่ต้องเช็ดไปทางเดียวเท่านั้น   ห้ามเช็ดย้อนไปมา  เช็ดแล้วทิ้งเลย  ไม่เช็ดถูไปถูมา  ไม่ต้องประหยัดเพราะจะทํา ให้มันหลุดออกไม่หมด  (หลุดไปแล้วกลับมาติดใหม่  ) กระดาษที่เช็ดนี้ควรรวบรวมใส่ถุงขยะขนาดใหญ่ และ ระมัดระวังในการขยับปากถุงอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้สปอร์ของราฟุ้งกระจายง่ายจากลมกระพือขณะเปิดปิดปากถุง                ผสมน้ำกับสบู่ แล้วเช็ดซ้ำแบบเดิมอีก ไม่แนะนําให้ใช้ผงซักฟอกเพราะหลังการซักล้างจะสร้างปัญหา น้ำเสียตามมาเนื่องจากส่วนผสมในผงซักฟอกจะมีแป้งและซัลเฟตที่เป็นอาหารของเชื้อรา   การเช็ดครั้งที่ 3 นี้ให้ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อราเช็ด จะเช็ดซ้ำไปมาก็ได้ น้ำยาที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อราได้มีหลายชนิดควรใช้ ให้ถูกชนิดกับวัสดุ ตัวอย่างของน้ำยาที่มี ฤทธิ์ฆ่าเชื้อราแบบอ่อนได้แก่  น้ำส้มสายชู สูตรกลั่นหรือหมักก็ได้ (ควรมี ความเข้มข้นอย่างน้อย 7 %) ควรใช้กับกระดาษดี กว่าผ้า เพราะจะได้ไม่ต้องซัก หรือใส่ขวดสเปรย์ก็ได้ สเปรย์ตั้งทิ้งไว้สัก  5-10 นาที แล้วก็ เช็ดเลย กําจัดได้ในระดับน่าพอใจ (80%) แต่ไม่สามารถฆ่าสปอร์ได้  Tea tree oil ใช้ 2 ช้อนชาใน น้ำ 2 ถ้วยใส่ขวดสเปรย์เบาๆบนบริเวณที่ต้องการแล้วเช็ดเหลือเก็บใส่ขวดเก็บไว้ใช้ได้นานมี กลิ่นฉุนฆ่าราได้หลายชนิดแต่มี ราคาแพง  Grapefruit seed extract ใช้ 20 หยดใส่ใน น้ำ 2 ถ้วยใส่ขวดสเปรย์เบาๆ บนบริ เวณที่ต้องการแล้วเช็ดออกได้เลยมี ราคาแพงแต่ไม่มี กลิ่น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ทำไมต้องตรวจสุขภาพประจำปี

ทำไมต้องตรวจสุขภาพประจำปี          ในภาวะปัจจุบัน ทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา เร่งรีบ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ มีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม หากแต่สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปโดยปริยาย และเกิดความเคยชินกับ ภัยคุกคามสุขภาพของเราต่างๆ จะเห็นได้ว่า สุขภาพของคนในปัจจุบัน ไม่ดีเท่าคนในสมัยก่อน   และขาดความสมดุลของชีวิต   ปัจจัยต่างๆเหล่านี้เป็นปัจจัยลบต่อสุขภาพของเราทั้งสิ้น           การตรวจสุขภาพประจำปี ก็เหมือนการสำรวจว่าร่างกายเรามีความผิดปกติ หรือความบกพร่องตรงจุดไหน เพื่อจะได้แก้ไข หรือ ผ่อนหนักให้เป็นเบา อีกทั้ง ยังถือว่าเป็นการให้รางวัลแก่ร่างกายของเรา มีหลายท่านกล่าวว่า “รถซ่อมได้ แต่ชีวิตคนเราซ่อมไม่ได้” คำพูดนี้จริงส่วนหนึ่ง หากแต่สุขภาพของเราก็เช่นเดียวกับรถ หากมีการดูแลอย่างดี ตรวจสอบหาข้อบกพร่อง และแก้ไขแต่ระยะต้นๆ ร่างกายก็จะอยู่กับเราได้นานขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดี         การตรวจสุขภาพนั้นหลายท่านเข้าใจว่าจะมาตรวจเมื่อไร เวลาใดก็ได้ หากแต่ความจริงแล้ว ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกบางประการ ที่ท่านควรทราบก่อนเดินทางมา ตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล จะมี การเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพ ดังนี้ งดอาหารก่อนมารับการตรวจ 8-10 ชั่วโมง น้ำเปล่าและยาประจำตัว สามารถรับประทานได้ ก่อนมาตรวจสุขภาพ  หากสงสัยว่าตั้งครรภ์กรุณาแจ้งพยาบาล ก่อนรับการตรวจ ไม่ควรสูบบุหรี่ ก่อนมารับการตรวจสุขภาพ เพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงเกินจากปกติของท่าน ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนมารับการตรวจสุขภาพ ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนมารับการตรวจสุขภาพ 24- 48 ชั่วโมง หากรับประทานยาประจำ (รวมถึงอาหารเสริมบางชนิด) อยู่ ควรแจ้ง แพทย์ก่อนตรวจสุขภาพ เพราะยาและอาหารเสริมบางชนิด มีผลต่อ ผลการตรวจเลือด, ผลการตรวจปัสสาวะ หรือ ผลการตรวจอุจจาระ ควรหลีกเลี่ยงงานเลี้ยง ที่จำเป็นต้องรับประทานมื้อใหญ่ (Big Meal) ก่อนมาตรวจสุขภาพ 48 – 72 ชั่วโมง (2-3 วัน) หากมีการตรวจการได้ยิน ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสเสียงดัง (ไม่เข้าไปใกล้เครื่องจักร หรือ ดิสโก้เทค หรือแหล่งของเสียงดังอื่นๆที่ มีเสียงดังเกิน 80 เดซิเบล) อย่างน้อย 14 ชั่วโมง ก่อนมารับการตรวจการได้ยิน  ในกรณีที่ท่านมีการตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด  ท่านควรงดอาหารมื้อใหญ่อย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนตรวจ ห้ามออกกำลังกายก่อนมาตรวจเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที ควรสวมเสื้อผ้าหลวมๆ สบายๆ และหาก ท่านใช้ยาขยายหลอดลม ควรหยุดยาขยายหลบอดลมก่อนรับการตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด  (ให้นำยาประจำตัวมาด้วย เพื่อใช้หลังตรวจเสร็จ) ยาพ่นขยายหลอดลม งด 6-8 ชั่วโมง ยากินขยายหลอดลม งด 12 ชั่วโมง ยากินขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาว งด 24 ชั่วโมง   หมายเหตุ : หากมีการนัดการตรวจกระเพาะอาหาร  ให้งดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด ก่อนมาพบแพทย์  อย่างน้อย 6 ชั่วโมง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การผ่าตัดผิวข้อสะโพกแบบใหม่

การผ่าตัดผิวข้อสะโพกแบบใหม่            โรคข้อสะโพกในวัยทำงานที่พบบ่อย    ได้แก่  ข้อสะโพกเสื่อม (Osteoarthritis,OA), ข้อสะโพกขาดเลือด(Avascular Necrosis, AVN), ข้อสะโพกพัฒนาการผิดปกติ (Developmental Hip Dysplasia,DDH)   ในคนไทยพบข้อสะโพกขาดเลือดได้บ่อยสุด ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณการดิ่มเหล้า การใช้สารสเตียรอยด์เป็นเวลานาน  ส่วนสาเหตุของข้อสะโพกเสื่อมในวัยทำงานของคนไทย ที่พบมากที่สุดได้แก่ โรคข้อสะโพกขาดเลือด ข้อสะโพกรูมาตอยด์ ข้อสะโพกขาดเลือดและเสื่อมจากภาวะไตวาย หรือได้รับสารสเตียรอยด์เป็นเวลานาน นอกจากนี้ ในวัย 40-65 ปี ผู้หญิงไทยยังพบข้อสะโพกเสื่อมที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากข้อสะโพกพัฒนาการผิดปกติที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก แต่มีอาการในวัยก่อนชรา              การรักษาในอดีต ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ จะพยายามหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนข้อสะโพก เนื่องจากอายุการใช้งานของข้อสะโพกเทียมในวัยทำงานสั้นกว่าการเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมในวัยชรามาก ประมาณกันว่า หากเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมในวัยทำงาน อายุการใช้งานอยู่ได้ประมาณ 10 ปี  แต่ถ้าเปลี่ยนในวัยชรา (อายุมากกว่า 60-65 ปี) อายุการใช้งานจะอยู่ได้เท่าตัว คือ มากกว่า 20 ปีขึ้นไป             สาเหตุที่อายุการใช้งานของข้อสะโพกเทียมในวัยหนุ่มสาวสั้นเพราะ ข้อสะโพกเทียมแบบดั้งเดิมเป็นข้อต่อแบบหัวโลหะชนกับเบ้าพลาสติกทางการแพทย์ (Ultra High Molecular Weight Polyethylene, UHMWPE)  ซึ่งมีข้อดีที่ข้อต่อลื่นไหลดี (Low friction) และทนทาน  แต่เนื่องจากว่าวัยหนุ่มสาวเป็นวัยที่มีการใช้งานสะโพกหนักมาก แม้ว่าจะเป็นการใช้ตามปกติในชีวิตประจำวันก็ตาม การสึกหรอของพลาสติกเกิดขึ้นได้เร็วและมาก เศษชิ้นส่วน(Debris)จากเบ้าพลาสติกที่สึกหรอนั้น เมื่อปริมาณสะสมมากขึ้น จะกระตุ้นให้ร่างกายจะกำจัดโดยกระบวนภูมิคุ้มกัน ผ่านการทำงานของเม็ดเลือดขาว และมีผลข้างเคียงให้เนื้อเยื่อโดยรอบสะโพก รวมทั้งกระดูกยึดเกาะกับข้อสะโพกเทียมละลายตัว (Osteolysis)     การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกแบบเดิม             ข้อสะโพกเทียมที่ใส่อยู่จะเกิดอาการหลวมจากการละลายการยึดเกาะของกระดูกได้เร็วกว่าปกติ เป็นเหตุให้ผู้ป่วยวัยทำงานเมื่อใช้งานไปได้ 5-10 ปี จะมีการปวดสะโพกอีก และศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ จึงจำเป็นแนะนำให้ผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกใหม่(Revision Surgery) ซึ่งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกใหม่นี้ ผลการรักษาและอายุการใช้งานจะแย่กว่าการผ่าตัดครั้งแรกมาก หมายความว่า อายุการใช้งานหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกใหม่นี้ น้อยกว่า 10 ปี ทั้งนี้เป็นเพราะกระดูกรอบข้อสะโพกเหลือน้อยกว่ากรณีการผ่าตัดครั้งแรกมาก เนื่องการการหลอมละลายของกระดูก (Osteolysis) และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อรอบข้อสะโพกมีพังผืดอันเป็นผลมาจากการผ่าตัดครั้งแรก  การรักษาแบบใหม่            การผ่าตัดแบบใหม่เพื่อใช้ในวัยทำงานได้รับการพัฒนาขึ้นครั้งแรกในเบอริมิงแฮม ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ 1991 และได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลก ช่วยให้ผู้ป่วยวัยหนุ่มสาว สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายหนักได้ ข้อสะโพกแบบใหม่นี้เป็นแบบโลหะชนกับโลหะ แทนที่จะเป็นโลหะชนกับพลาสติกทางการแพทย์                นอกนี้หัวสะโพกมีขนาดใหญ่เท่ากับหัวสะโพกเดิมของผู้ป่วย (ข้อสะโพกคนไทยทั่วไปมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 40-52 มิลลิเมตร) ซึ่งข้อสะโพกเทียมดั้งเดิมจะมีขนาดหัวสะโพกเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 28 มิลลิเมตร ทำให้การหลุดของสะโพกในข้อสะโพกเทียมแบบใหม่ยากกว่าในข้อสะโพกเทียมแบบดั้งเดิม หัวสะโพกใหญ่จะหลุดยากกว่า หัวสะโพกเล็ก          ผู้ป่วยข้อสะโพกในวัยทำงานที่เป็นชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก (ทั่วโลกมีมากกว่า 1 แสนข้อในปัจจุบัน) ที่รับการรักษาด้วยข้อสะโพกแบบใหม่นี้ ประทับใจในผลการรักษามาก ทำให้เกิดความนิยมอย่างรวดเร็วมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ และเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นข้อสะโพกเทียมเบอร์มิงแฮม         สำหรับในประเทศไทย เริ่มมีการรักษาแบบใหม่แล้ว แต่ยังไม่แพร่หลายนัก แต่ผลการรักษาก็เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งแพทย์และผู้ป่วยต้องร่วมกันวางแผนการรักษา เพราะถ้าหากผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกแบบดั้งเดิมไปแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนใจมาผ่าตัดข้อสะโพกแบบใหม่นี้ได้เลย      ขอบคุณข้อมูล www. thaiclinic.com 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

2 กลุ่ม "ยาคุมกำเนิด" ฉุกเฉินประเภทเม็ด【ที่นิยมที่สุด】ใช้ยังไง ข้อจำกัดมีอะไรบ้าง?

ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินใช้อย่างไรให้ถูกต้อง? การคุมกำเนิดหลังการมีเพศสัมพันธ์มีหลายวิธีการ แต่การใช้ยาเม็ดแบบรับประทานเป็นวิธีการที่สะดวกและนิยมใช้มากที่สุด เดิมเรียกยากลุ่มนี้ว่า “ยาคุมกำเนิดหลังเพศสัมพันธ์” แต่ต่อมาเพื่อความเข้าใจและการใช้ที่ถูกต้องจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน” ซึ่งเป็นยากลุ่มที่มีผลต่อฮอร์โมนเพศทั้งสิ้น ยาคุมที่นิยมที่สุด ในกลุ่มของยาเม็ดรับประทานยังมีหลายกลุ่ม เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียว , ฮอร์โมนโปรเจสเตอ โรนอย่างเดียว ฮอร์โมนรวม และ ดานาซอล แต่ที่นิยมและหาได้ง่ายมีเพียง ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียวและฮอร์โมนรวมเท่านั้น 1. ยาเม็ดโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว หรือที่ทราบกันดีว่ามีชื่อการค้าว่า โพสตินอร์ มีส่วนประกอบหลักเพียงอย่างเดียว คือ  Levonorgestrel ขนาดเม็ดละ 0.75 มิลลิกรัม โดยรับประทาน 2 ครั้ง ระยะห่างกัน 12 ชั่วโมง และต้องรับประทานภายใน 72 ชม หลังจากมีเพศสัมพันธ์ ผลข้างเคียงที่อาจพบได้บ่อย: เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน คัดเต้านม และระดูมาผิดปกติ โดยอาจมาเร็วขึ้นหรือช้าก็ได้  บางครั้งอาจพบเลือดออกกระปริดกระปรอย ดังนั้นถ้าขาดระดูหรือระดูมากระปริดกระปรอยหลังใช้ยานี้ จำเป็นจะต้องตรวจให้ทราบว่าเป็นการตั้งครรภ์หรือเป็นผลของยา ในกรณีที่ป้องกันไม่ได้ยังมีโอกาสตั้งครรภ์นอกมดลูกสูงกว่าปกติอีกด้วย 2. ยาเม็ดฮอร์โมนรวม หรือที่เรียกว่า Yuzpe regimen เป็นการใช้ฮอร์โมน ethinyl estradiol 0.1 มิลลิกรัม และ Levonorgestrel ขนาด 0.5มิลลิกรัม โดยแบ่งรับประทานเป็น 2 ครั้ง ระยะห่างกัน 12 ชั่วโมง โดยรับประทานภายใน 72 ชม เช่นกัน วิธีนี้เป็นที่นิยมในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป แต่มีข้อเสีย คือ มีผลข้างเคียงมากกว่าแบบแรก อีกทั้งในประเทศไทยยังไม่มีบริษัทใดผลิตออกมาจำหน่ายโดยตรง ต่างกับการทำแท้งอย่างไร? หลายคนเข้าใจว่าการทานยาเม็ดเหล่านี้จะทำให้เกิดการแท้ง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากกลไกลของการป้องกันการตั้งครรภ์จะมีกลไกลหลายอย่าง ซึ่งไม่ใช่เป็นการทำให้ตัวอ่อนที่ฝังตัวแล้วแท้งหรือหลุดลอกออกมา แม้ว่ากลไกลที่แท้จริงจะยังไม่ทราบแน่นอน แต่มีหลักฐานเชื่อว่ามีกลไกหลายอย่างเช่น ยาจะไปขัดขวางการปฏิสนธิของสเปริ์มและไข่ ยับยั้งการตกไข่ หรืออาจมีผลต่อการทำงานของคอร์ปัสลูเตียมก็ได้ ใช้เมื่อใดและข้อบ่งชี้? การใช้ยากลุ่มนี้ควรจะใช้เมื่อมีความจำเป็น “ ฉุกเฉิน” เท่านั้น เนื่องจาก ประสิทธิภาพการป้องกันการตั้งครรภ์ยังไม่สูงเท่ากับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบปกติ โดยมีประสิทธิภาพการป้องกัน ราว 58 – 95 %  ซึ่งยังขึ้นกับการใช้ที่ถูกวิธีและระยะเวลาที่เริ่มใช้ด้วย โดยถ้ารับประทานครั้งแรกภายใน 24 ชม แรก พบว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า ( the sooner -the better )  การทานยามากกว่าขนาดที่กำหนดก็ไม่พบว่าได้ประโยชน์มากขึ้นแต่จะมีผลข้างเคียงมากขึ้น ข้อบ่งใช้สำหรับยากลุ่มนี้ ได้แก่ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจและไม่ได้คุมกำเนิด มีความผิดพลาดของการใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น เช่น ลืมทานยาคุมมากกว่า 3 วัน ลืมฉีดยาคุม หรือถุงยางอนามัยเกิดรั่วหรือแตก ถูกข่มขืน ข้อบ่งห้าม มีการตั้งครรภ์แล้ว หรือมีข้อห้ามต่อการให้ฮอร์โมนดังกล่าว โดยสรุป การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน มีประโยชน์สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ผู้ใช้ควรใช้อย่างถูกวิธีและใช้เมื่อมีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น  แผนกสูตินรีเวช ขอบคุณข้อมูล www.thaiclinic.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

วิกฤตมอบโอกาส และ ท่ามกลางทุกข์ สุขมีอยู่จริง หมอที่ดีที่สุด กับ หมอคนสุดท้าย

วิกฤตมอบโอกาส และ ท่ามกลางทุกข์ สุขมีอยู่จริง หมอที่ดีที่สุด กับ หมอคนสุดท้าย            พึ่งยอมรับอย่างจริงใจว่า “วิกฤตมอบโอกาส” และ “ท่ามกลางทุกข์ สุขมีอยู่จริง” “หมอที่ดีที่สุด” กับ “หมอคนสุดท้าย” และ “มีสิ่งดี ๆ มากมายที่ได้มาจากการสูญเสีย” เรื่องที่อยากเล่าเพื่อว่าอาจจะเกิดประโยชน์กับผู้ได้อ่านที่ยังมีโอกาสดูแลพ่อแม่ที่ท่านก็แก่ลงทุกวัน ป่วยเพิ่มขึ้น รวมทั้งผู้เป็นที่รัก ตลอดจนตัวเอง สำหรับเพื่อนแพทย์ การวางใจที่ถูกต้องในการดูแลพ่อแม่เมื่อท่านป่วยมาก ทำให้เราลดความทุกข์ กังวลใจ และยังสร้างพลังซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานั้น เวลาที่เราต้องเป็นที่พึ่งของญาติทุกคนอีกด้วย สิ่งนี้ยังสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยต่อ ๆ ไป แม้ตัวเองจะเป็นหมอ เมื่อคุณแม่ป่วย ทราบว่าเป็นโรคที่ไม่หาย การตัดสินใจเลือกหมอที่จะดูแลแม่ และความรู้เรื่องโรคนั้นพอทำได้ แต่การหาวิธีดูแลจิตใจของแม่ คนในครอบครัวและตัวเองนั้นยากอย่างยิ่ง ตอนนั้นไม่รู้จะถามใคร เริ่มที่ใด จำได้ว่าน้ำหนักลดไปเลยสามกิโล ที่ทำคือโทรศัพท์คุยกับเพื่อนหมอที่เคยมีพ่อป่วย และสูญเสีย ถามอาจารย์แพทย์ ไม่ใช่แง่โรค แต่เป็นด้านการดูแลจิตใจ “วิกฤตมอบโอกาส”           เรื่องที่อยากเล่าเพื่อว่า   อาจจะเกิดประโยชน์กับผู้ได้อ่านที่ยังมีโอกาสดูแลพ่อแม่ที่ท่านก็แก่ลงทุกวัน   ป่วยเพิ่มขึ้น รวมทั้งผู้เป็นที่รัก ตลอดจนตัวเอง สำหรับเพื่อนแพทย์  การวางใจที่ถูกต้องในการดูแลพ่อแม่เมื่อท่านป่วยมาก ทำให้เราลดความทุกข์ กังวลใจ  และยังสร้างพลังซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานั้น เวลาที่เราต้องเป็นที่พึ่งของญาติทุกคนอีกด้วย สิ่งนี้ยังสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยต่อ ๆ ไป         แม้ตัวเองจะเป็นหมอ เมื่อคุณแม่ป่วย ทราบว่าเป็นโรคที่ไม่หาย การตัดสินใจเลือกหมอที่จะดูแลแม่ และความรู้เรื่องโรคนั้นพอทำได้ แต่การหาวิธีดูแลจิตใจของแม่ คนในครอบครัวและตัวเองนั้นยากอย่างยิ่ง ตอนนั้นไม่รู้จะถามใคร เริ่มที่ใด จำได้ว่าน้ำหนักลดไปเลยสามกิโล ที่ทำคือโทรศัพท์คุยกับเพื่อนหมอที่เคยมีพ่อป่วย และสูญเสีย ถามอาจารย์แพทย์ ไม่ใช่แง่โรค แต่เป็นด้านการดูแลจิตใจ “วิกฤตมอบโอกาส”          จากสึนามิปีที่แล้ว (2554) ทำให้ต้องยกเลิกการไปญี่ปุ่น 7 วัน ทั้งที่เตรียมการไว้ครบแล้ว    และเลือกที่จะไปปฏิบัติธรรมเป็นครั้งที่ 2 ของชีวิตที่วัดป่าโสมพนัส จ.สกลนคร ช่วง 4-11 เมษายน ได้เรียนรู้อะไรมากมาย กลับมาปลายเดือนเมษายน พ่อต้องรับการผ่าตัดใหญ่ ซึ่งมีความเสี่ยงสูง เดือนตุลาคมลูกต้องผ่าตัดในขณะที่น้ำท่วมกำลังเข้ากรุงเทพ และไม่รู้ว่าอาจารย์หมอที่ผ่าตัดซึ่งบ้านก็กำลังจะน้ำเข้าจะมาตรวจเยี่ยมลูกได้จนหายหรือไม่ ต่อด้วยต้องย้ายออกต่างจังหวัดหนีน้ำ โดยภาวนาอย่าให้มีภาวะแทรกซ้อนกับพ่อ ลูก และแม่ที่ป่วยเรื้อรังต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อย ๆ มาตั้งแต่ปี 2550 เดือนธันวาคมแม่เปลี่ยนจากโรคที่ไม่หายแต่ค่อยเป็นค่อยไป กลายเป็นชนิดใหม่ที่รวดเร็วรุนแรง เข้ารักษาตัวภายในโรงพยาบาลศิริราช สถาบันที่เราศึกษา ตั้งแต่มกราคมจนวันสุดท้ายที่จากไปอย่างสงบคือ 28 เมษายน 2555          เพราะ “วิกฤต” ครั้งนั้นทำให้ได้มี “โอกาส” ไปฝึกตัวเองในรูปแบบที่ตำราแพทย์ไม่ได้สอน จึงพอจะดูแลทุก ๆ คนได้อย่างมีสติมากขึ้น โดยที่ผ่อนคลายได้บ้าง สงกรานต์ปีนี้เช่นกัน ไม่กล้าไปไหน เพราะแม่ป่วยมาก เลือกที่จะพาลูกเข้าไปทำกิจกรรมดี ๆ ในวัดใกล้ ๆ และค้างได้หนึ่งคืน ซึ่งก็ดีเพราะจะเที่ยวไทย ก็หาของทานยาก ไปต่างประเทศก็จองลำบาก และแพงกว่าปกติ เริ่มรู้สึกว่าช่วงสงกรานต์ปีละครั้ง ได้ไปวัด พักจิต พักใจกับลูกหรือครอบครัวเป็นสิ่งดีมาก  ก็เพราะ “วิกฤต” ครั้งนี้อีกที่ทำให้ได้มี “โอกาส” ไปฝึกตัวเองและลูกอีกครั้ง และกลับมาดูแม่ได้อย่างมีสติพอสมควร   “หมอที่ดีที่สุด และหมอคนสุดท้าย”            อ.ธีระ แพทย์รุ่นพี่ศิริราช 2 ปีดูแลแม่อย่างดีที่สุดตลอดเวลาห้าปีเต็ม จำได้ว่าช่วงแรกก็หาข้อมูลว่าจะให้อาจารย์แพทย์ที่โรงพยาบาลใด ท่านใดมาดูแล แต่ยังไม่ได้หาจนสุด ๆ หรอก ก็ตัดสินใจว่าให้พี่ธีระเป็นผู้ดูแลด้วยว่าความเอาใจใส่ เพียงรอยยิ้ม การอธิบายบนพื้นฐานความจริง แต่ให้ความหวัง สร้างกำลังใจ และที่สำคัญคือศรัทธาแก่แม่และเรา รวมถึงทุกคนในครอบครัว เราจึงคิดว่าพี่คนนี้แหละคือ “หมอที่ดีที่สุด” ของแม่แล้ว สิ่งนี้เองทำให้แม่มีกำลังใจดีเสมอ ปฏิบัติตนเชื่อฟังพี่ธีระทุกอย่าง ไม่ต่อต้านการรักษาใด ๆ ทั้งที่บางครั้งเจ็บปวดมาก และชื่นชมหมอของท่านอยู่ตลอดเวลา จนสองสัปดาห์ก่อนจากไปก็ยังพูดว่า “หมอธีระแกดีจะตายไป” “แม่เชื่อว่าหมอคนนี้จะช่วยแม่ได้” “หมอไม่ให้แม่กลับก็ต้องเชื่อหมอ แม่เชื่อแกทุกอย่าง” เราได้เรียนรู้การเป็นหมอที่ดีจากพี่ธีระ พี่ไม่ได้ดีต่อแม่เท่านั้น แต่ต่อทุกคนในครอบครัว อีกสิ่งที่ได้เรียนรู้คือคนไข้แม้เป็นโรคที่ไม่หาย โดยเฉพาะระยะท้าย ๆ แม้จะอยู่ที่หอผู้ป่วยปกติ แต่คนไข้และญาติต้องการดูแลจากแพทย์ พยาบาลไม่ต่างจากผู้ป่วยใน ICU เพราะความเจ็บปวดจากโรคที่ภาวะไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน ความทุกข์ในใจของญาติที่ไม่รู้จะช่วยคนที่เขารักได้อย่างไร เมื่อแม่ของเราเองเป็นคนไข้คนนั้น เราเข้าใจลึกซึ้งเลยว่าการดูแลที่สม่ำเสมอ เอาใจใส่ให้กำลังใจ การสัมผัส การช่วยเหลือ แม้โรคไม่หาย แต่ก็ขอให้ไม่ทรมานจากการเจ็บปวดนั้นคือสิ่งที่มีคุณค่าเพียงใด แต่ “หมอคนสุดท้าย” ไม่ใช่หมอคนที่ดูแลแม่มาตลอด แต่คือ “การจากไป” ต่างหาก เพราะถึงอย่างไรพี่ธีระก็ไม่สามารถทำให้แม่หาย แต่ความทุกข์ของแม่ได้จบสิ้นลง สุขสบาย และพักผ่อนสมบูรณ์เมื่อ “การจากไป” ได้ช่วยท่านต่างหาก ความคิดนี้เราพึ่งได้จากการอ่านหนังสือที่พี่สาวน้องเขยนำมาช่วยแจกในงานของแม่ สองวันหลังจากที่แม่จากไปชื่อว่า “ตายไม่มี” ของท่านปิยโสภณ จากวัดพระราม ๙ อ่านแล้วมุมมองของการจากไปเปลี่ยนทันที สบายใจขึ้นมาก เพราะยอมรับว่าตลอดห้าปีโดยเฉพาะสี่เดือนหลัง มีความสับสนเป็นระยะ ว่าเราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีทางทำให้แม่ได้สมบูรณ์ด้วยภาระต่างๆของตัวเราเอง คิดว่าหากได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก่อน คงทำให้เราดูแลแม่ด้วยจิตใจที่เบิกบาน และช่วยให้แนวทางแก่คนในครอบครัวได้ดียิ่งขึ้น เล่มก็เพียงเล็ก ๆ บาง ๆ ไม่กี่หน้าเท่านั้นเอง   “สิ่งดี ๆ มากมายที่ได้จาก สูญเสีย”             เราสูญ “เสีย” แต่แม่ “ได้” พักผ่อน สุขสงบ และสบาย เราได้เรียนจบหลักสูตรแพทย์จริง ๆ เมื่อได้ฝึกหัดดูแลแม่ตัวเอง ในเวลาที่ท่านป่วยหนัก จนวาระที่ท่านจากไปต่อหน้าของเราอย่างสงบ แม่เป็นยิ่งกว่าอาจารย์ใหญ่ (คือร่างผู้ล่วงลับที่อุทิศแก่โรงพยาบาลให้นักศึกษาแพทย์ศึกษาทุกส่วนของร่างกายในวิชากายวิภาค) คือแม่ “จากไป” ให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยที่เป็นผู้เลือกอย่างสงบ  ก่อนจากไปสองสัปดาห์ แม่พูดให้น้องสาวฟังว่า “ไปได้แล้วล่ะ สุคนธ์” ซึ่งแม่ไม่เคยพูดเลยก่อนหน้านี้ ท่านคงเลือกแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ท่านต้องการที่สุดในเวลานั้น จริงเช่นที่หลายคนบอกเราว่าถึงที่สุด ผู้ป่วยเขาอาจเลือกออกมาเอง ซึ่งเราสามารถนำไปใช้กับการดูแลผู้ป่วย คนใกล้ชิดที่ยังอยู่ และเป็นตัวอย่างของการจากไปให้แก่ตัวเราเองด้วย ก็เหมือนทุกสิ่ง หากได้เตรียมหรือทำแบบผึกหัดมาบ้าง พอเจอของจริง ก็พอจะมีแนวทางอยู่บ้าง  การร่วมกันดูแลแม่ทำให้พี่น้องกลับมาใกล้ชิดกัน ห่วงหาอาทรกันมากขึ้น พ่อก็ทำอาหารอร่อยไปฝากแม่บ่อย ๆ เมื่อแม่จากไป เราต้องช่วยกันทำให้รักกันมากกว่าเดิมสิ่งที่ไม่เคยทำก็อยากทำ พี่สาวชวนกันว่าจะพาพ่อไปต่างประเทศ ไปแบบทั้งครอบครัว ก็เราเหลือแต่พ่อแล้ว ต้องรีบทำ   “ท่ามกลางทุกข์ สุขมีอยู่จริง”            งานของการจากไป ทำให้ได้เห็นน้ำใจของญาติ เพื่อน ผู้ร่วมงานมากมาย ที่รวมถึงการมาร่วมงาน ส่งพวงหรีดมา ร่วมทำบุญ เขียนคำไว้อาลัย หรือเพียงรำลึกถึง ที่ทำให้ซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยคิดอะไรมากเวลาไปร่วมงานของผู้อื่น หรือการกล่าวแสดงความเสียใจ ไม่รู้เลยว่าผู้เป็นลูกรู้สึกเช่นไร ก็ไม่มีวันรู้ได้หรอกจนถึงวันของแม่ตัวเอง ทุกสิ่งที่ได้รับยิ่งใหญ่มากจริง ๆ ในความรู้สึก จำได้ว่าวันที่เห็นผู้คนมาร่วมงานแต่งงาน ดีใจและรู้สึกขอบคุณพ่อแม่ที่เป็นเพราะท่านจึงมีแขกผู้มีเกียรติของท่านมาในงานของเรามากมาย แต่ความรู้สึกเมื่อเห็นคนก้าวเข้ามาในงานของแม่ มันซาบซึ้ง ตื้นตันใจกว่าหลายเท่านัก เพราะไม่ใช่งานรื่นเริง ที่จอดรถในโรงแรมงานแต่งว่าหายาก แต่จอดตามวัดยิ่งยากกว่า แสดงว่าเขาต้องตั้งใจจริง ๆ และคิดกลับกันว่าเพราะพ่อแม่ทำให้เรามีงานทำ มีคนรู้จัก ท่านเลี้ยงลูก ๆ ให้เป็นคนดี จึงมีเพื่อนที่ยังรำลึกถึงและมาในงานของท่าน และบางคนยังมาร่วมงานหลายวัน ญาติสนิทบางท่านก็มาแทบทุกวันอีกด้วย บางทีเราจะเลือกไปงานเพื่อสังคม เช่น เพื่อน ผู้ร่วมงาน จนลดความสำคัญของงานรวมญาติต่าง ๆ แต่จากนี้ความรู้สึกเปลี่ยนไป เพราะความสัมพันธ์ของญาติที่เนิ่นนาน ลึกซึ้ง และเห็นเรามาตั้งแต่ยังไม่มีเรา มันมีคุณค่ามากนัก ตั่วเฮียพี่ชายคนโตของหมอหมงน้องชายคนที่สิบ ก็มาร่วมงานถึงสี่วันรวมวันสุดท้าย เป็นความกรุณาต่อสะใภ้คนเล็กอย่างเราจริง ๆ  ทุกคืนกลับมา เราจะส่งข้อความขอบคุณพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่สละเวลามาร่วมงาน จากใจของเรา คำที่ post ใน facebook แสดงความเสียใจของการจากไปของแม่    มันตื้นตันใจกว่าที่อวยพรวันเกิดของเราเสียอีก             ตอนแรกก็นึกว่ารู้สึกเช่นนี้คนเดียว พี่สาวในวันที่สามของงานมาจับมือพูดน้ำตาไหลว่า “ดูสิ แม่คงดีใจนะ แม่เคยพูดว่าแม่ไม่มีใคร วันงานแม่คงไม่ค่อยมีใครมา แต่นี่มีพวงหรีดจากไหนมากมายที่มีผู้นำมามอบให้” ส่วนน้องสาวก็ส่ง e-mail ขอบคุณเพื่อนร่วมงานใจความว่า“......เวลามีความทุกข์ ก็ยังมีความสุขเล็กๆที่ได้เห็นน้ำใจจากคนที่รู้จัก ญาติบางคนตัวเองป่วย ต้องนั่งรถเข็น แต่มางานคุณแม่ทุกวัน เพื่อนบางคนไม่ได้สนิท เจอกันครั้งสุดท้าย 20 ปีที่แล้ว ได้ข่าวก็มา เพื่อนบางคน ปีนี้ปีชง ก็มีน้ำใจมาร่วมงาน น้องบางคนรู้จักผิวเผิน ก็เป็นน้องใน office แทบไม่เคยติดต่องานกันเลย เสร็จงานก็แวะมา เพื่อนพี่สาวคนหนึ่งเคยโกรธจนเลิกติดต่อกันไปเกินกว่า 20 ปี แต่พอได้ข่าวก็มา ที่บอกว่าคนเราจะเห็นใจกันก็ตอนที่มีความทุกข์เป็นอย่างนี้นี่เอง.........”  จึงรู้ได้ว่างานของแม่  ลูก ๆ เขารู้สึกกันเช่นไร     “ไม่มีทุกข์ของใครหนักกว่ากัน”              แม่ป่วยห้าปีเต็มเป็นช่วงที่แม่เข้าออกโรงพยาบาลบ่อย ๆ มีการป่วยหลายระบบ เปลี่ยนไปมา แทบทุก 1-2 สัปดาห์จะต้องมีปัญหาใหม่ให้ขบคิด เพราะแม่มีโรคเดิมมากอยู่แล้ว ความทุกข์จึงไม่ใช่ของผู้ป่วยเท่านั้น เเต่เป็นทุกข์ทั้งบ้าน ช่วงแรกแม่บ้านหายไปกับน้ำท่วม ไม่มีคนช่วยดูลูก ต้องทำงานและงานบ้าน และต้องเทียวดูแม่ด้วย เหนื่อยสุด ๆ แทบจะคลานขึ้นเตียงตอนนอน ตื่นเช้าก็มีอรุณสวัสดิ์เป็น WhatsApp จากพี่สาวที่ส่งมาค้างไว้กลางดึก บวกกับกระดาษสอดใต้ประตูเล่าอาการแม่ ซึ่งถ้ามีก็แปลว่าต้องตั้งสติก่อนเปิดอ่าน บางทีโชคดีหน่อยที่ในกระดาษเขียนว่า “มีขนมในตู้เย็น เธอเอาไปกินได้” ทุกครั้งที่แม่มีอาการอะไรใหม่ เเม้เราไม่อยู่ เราจะได้รับการบอกกล่าวจากพี่น้องเสมอ หลายครั้งเครียด เหนื่อย ยิ่งเวลาเหนื่อยจากงาน คนไข้หนัก กลับมาบ้านก็เหมือนไม่มีเวลาหยุดพัก เพราะมีผู้ป่วยคนสำคัญอยู่ที่บ้าน จึงเป็นช่วงที่เราต้องใช้สติในการดำรงตนให้เป็นปกติสุขตลอดระยะเวลาห้าปี  ทำให้มีโอกาสหันไปมองคนที่ทุกข์กว่า เช่นบางครอบครัวต้องดูแลลูกที่ป่วยตั้งแต่เกิด การเข้าคิวรอพบหมอ การหาห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาลศิริราชที่มีผู้ป่วยหนาแน่น รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ซึ่งเรามีโอกาสที่ดีกว่าหลายคนเพราะเป็นแพทย์เอง เป็นศิษย์เก่า แม่ใช้สิทธิเบิกราชการของพ่อ แล้วผู้ป่วยอื่น ๆ ที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ทุกข์ของเขาจะกี่เท่าทวีคูณของเรา    “กายทุกข์ แต่ใจก็สุขได้ อยู่ที่รู้จักเลือก”          เพราะเรามองเห็นหนทางยาวไกลของโรคที่แม่ต้องเผชิญ สงสารแม่และคนรอบข้าง และไม่รู้ว่าควรรักษาจิตใจของทุกคนอย่างไร แต่แม่เข้มแข็งกว่าที่เราคิดไว้มาก แท้ที่จริงท่านยอมรับโรคของท่าน โดยพร้อมจะต่อสู้ แม่จึงเป็นนักสู้ที่กล้าหาญในความรู้สึก การป่วยทำให้แม่ดูแลสุขภาพตัวเองดีขึ้น หัดปัก cross -stitch ได้ภาพสวยหลายภาพ ที่ชีวิตนี้ไม่เคยทำ และไม่น่าจะหัดทำได้ในวัยนี้ สวดมนต์นานกว่าชั่วโมง ปฏิบัติธรรม ทำให้แม้กายป่วย แต่จิตใจแม่ดีมาก    “เลือกที่จะไปอย่างไร”           ช่วงสี่เดือนหลัง ต้องไปกลับบ้านกับศิริราชซึ่งไกลมาก รถติด เราเลือกไปช่วงประมาณหกโมงเย็น กลับสามทุ่ม หลังเลิกงานตัวเอง กลับมานอนก่อน เพราะกลัวขับรถไม่ไหว กลัวตัวเองประมาทเมี่อต้องขับรถกลางคืน แม้จะไปดูแลเม่ไม่ได้เต็มที่ สิ่งที่ปลอบใจตัวเองคือ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เรามีกำลังทำได้ เพราะแม่ป่วย แต่เราและคนที่เหลือต้องแข็งแรง เข้มแข็ง จึงจะมีสติดูแลท่านได้ การตัดสินใจว่าแม่จะจากไปอย่างไรเป็นสิ่งยากมาก เคยได้เรียนว่าผู้ป่วยต้องมีสิทธิเลือก แต่ความเป็นจริงถ้าแม่รู้และให้ท่านเลือก ท่านจะเป็นอย่างไร อาจารย์เราแนะนำในวันที่ท่านมางานว่า เราพูดตรง ๆ ไม่ได้ น่าจะเล่ายกตัวอย่างคนอื่น แล้วแม่อาจเลือกสิ่งที่ท่านต้องการได้ เราก็ว่าจริงนะ แค่นี้ทำไมคิดไม่ได้ จริงที่ว่าปัญหาตัวเองมักคิดไม่ออก  ส่วนมากเราคุยกับพี่สาว แต่ตอนใกล้ ๆ เราขอประชุมน้องสาวและเชิญพ่อด้วย เล่าให้ฟังตามความเป็นจริง ให้ทุกคนแสดงความเห็นเข้าใจตรงกัน เราจะได้ไม่รู้สึกผิด เพราะเป็นการตัดสินใจของทุกคนที่รักแม่ที่สุด พวกเราขอที่จะให้แม่จากไปอย่างสงบดีกว่ายื้อไว้ด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยี ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายไม่แตกต่างกัน               การได้ปรึกษาพระที่ตนเองนับถือ อ่านหนังสือที่ไม่ใช่ตำราวิชาการ แต่เป็นตำราธรรมะที่ให้ข้อคิดที่ไม่ได้เรียนตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ และหัดปฏิบัติธรรมที่เคยทำน้อยนิด ทั้งหมดนี้คือตำราชั้นเยี่ยมที่สอนในสิ่งที่เราไม่เคยสนใจศึกษา หรือเตรียมตัว เตรียมใจว่าหากโรคทั้งปวงที่เราเรียนรู้มาเกิดกับผู้ใกล้ชิดหรือพ่อแม่ของเรา เราจะรับมือเช่นไร จะเป็นการดีเพียงใด หากเราได้รู้จัก และเรียนรู้มาก่อน และเราจึงอยากปลูกฝังไปถึงลูกหลาน เพื่อให้เขาไม่ได้มีแต่ความรู้ แต่มีความเข้าใจชีวิตด้วย เพื่อเป็นเกราะให้แข็งแกร่งเมื่อมีสิ่งมากระทบแรง ๆ     “การเตรียมพร้อมย่อมดีกว่า รวมทั้งการจากไป”            ขนาดเราที่รู้มาก่อนถึงห้าปีว่าโรคของแม่ไม่หาย รู้ว่าใกล้แล้วมาสี่เดือน และรู้ว่าใกล้มาก ๆ มาสองสัปดาห์ ในวันที่มาถึงจริง ทุกอย่างก็ยังฉุกละหุก เพราะมีอีกมากที่เราไม่ได้รู้มาก่อน เที่ยงคืนวันที่ 28 เมษายน ได้รับโทรศัพท์จากน้องสาวที่เฝ้าแม่ว่าแพทย์เวรให้ตามญาติมาดูอาการแม่ ตอนนั้นรู้สึกอื้อ ๆ ในหัวเพราะพึ่งจากแม่มาตอนบ่ายสอง ซึ่งแม่ดูปกติเหมือนทุกวัน  สิ่งที่ทำคือบอกตัวเองให้รีบตั้งสติให้ได้ก่อน เตรียมของที่จำเป็น ปลุกพ่อ หมอหมงสามีขอไปด้วย ตามแม่บ้านมาดูแลเด็ก ๆ ทั้งสามคน น้องโทรหาพี่สาวที่ทำงานอยู่ airport  ส่วนเรากำชับเขาว่าอย่าขับรถเอง และให้น้องเขยเป็นผู้ขับรถ หมอหมงไปไหว้พระในห้องพระ และสิ่งสุดท้ายที่คว้าใส่กระเป๋าคือเข็มกลัดมีรูปหลวงตา และคำว่า “รู้สึกตัว” จากวัดที่เราไปมาเมื่อปีก่อน            พยายามเจริญสติที่เอาไม่ค่อยจะอยู่มาตลอดทาง คำจากหนังสือธรรมะที่พึ่งอ่านสองวันก่อนท่องมาตลอดว่า “มีสติอยู่กับตัว จะทำให้รู้จัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนเราสามารถมองการจากไปของคนที่เรารักได้อย่างสงบและเข้าใจ” เมื่อไปถึงทุกคนก็ไปรายล้อมแม่อย่างอบอุ่น อย่างที่ได้ตั้งใจ และเตรียมไว้ ท่ามกลางน้ำตาของพี่และน้อง และคำถามที่ยังเหลือ เราบอกว่าถึงตอนนี้ ได้เวลาที่แม่จะได้พักผ่อนแล้วให้ท่านสบายเถอะ เปิดบทสวดชิณบัญชรที่แม่ชอบและปกติเปิดให้ทุกคืน พี่สาวจับมือแม่จนนาทีสุดท้าย เราก็พนมมือ สวดไม่เป็น แต่ตั้งจิตให้แม่ตามที่มีผู้สอนว่าการจากไปโดยไม่ห่วงว่าผู้ยังอยู่จะอาลัยและเศร้าโศก จะเป็นการจากไปอย่างสงบ เพราะเราทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้นในเวลานั้น ปกติพยาบาลจะตามแพทย์ให้มาฟังหัวใจผู้ป่วยตอนสุดท้ายว่าไม่เต้นแน่แล้ว เพื่อเป็นการยืนยัน คืนนั้นเราต้องฟังหัวใจของเม่เราเองที่หยุดนิ่ง รวบรวมสติถึงที่สุดแล้วบอกทุกคนว่า “แม่พักผ่อนเถอะนะ ไม่ต้องเป็นห่วง วันนี้ทุกคนมาครบ มาอยู่กับแม่” กราบที่อกแล้วก็ไปกราบที่เท้าขอขมาแม่ ในสิ่งที่เราได้ทำผิดพลาดหรือล่วงเกินท่าน ถอดสายและอุปกรณ์ต่าง ๆ จากตัวแม่ เราคิดว่าเราได้ทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว             เราถามตัวเองว่าถ้าหากการจากไปแบบไม่ได้เตรียมการ เตรียมใจ หรือการจากไปอย่างกระทันหันล่ะ มันจะเป็นความทุกข์ยากลำบากใจเพียงไร ถึงเราเองจะได้เคยบอกคนรอบข้างไว้บ้างว่าเราต้องการอย่างไร เผื่อว่าถึงเวลาจริงคนอื่นๆ รวมทั้งตัวเราเองจะได้ตั้งสติได้บ้าง รวมทั้งหากเราได้ทำทุกสิ่งที่อยากทำที่สุด ทั้งให้ตัวเอง คนที่เรารัก แม้ไม่สำเร็จก็ได้วางแผนไว้ เมื่อถึงเวลาต้องจากไป ก็คงไม่มีอะไรต้องห่วงอีก วันที่แม่จากไปแล้วได้ยินคำสรรเสริญมากมาย เราจึงได้กระตุ้นเตือนใจเราว่าให้รีบทำความดี   เพราะสิ่งที่เหลืออยู่คือคุณงามความดีที่ทุกคนจะยังรำลึกถึงเราจริง ๆ   “อย่ารอกอดแม่ในวันแม่ (แบบที่เราทำ) เพราะบางทีท่านอาจไม่สามารถรอเรา”          ยังขอบคุณพี่สาวเสมอ หนึ่งสัปดาห์ก่อนแม่จากไป วันนั้นตั้งใจจะไปงานวันแห่งสติที่สวนโมกข์ กรุงเทพ กับลูกและหมอหมง อยากไปมาก รอมานาน แต่พี่สาวคุยให้ฟังว่า แม่พึ่งบอกว่า “แม่รอเจอหน้าลูกทุกวัน” บอกว่าเธองดไปก่อนเถอะ จึงได้มาหาแม่ในวันนั้น มาตอนบ่ายต้น ๆ จำได้ว่าแม่สีหน้าอิดโรยมาก แต่ยิ้มอย่างมีความสุข แล้วบอกว่า “ดีใจจังตื่นมาก็ได้เจอลูกแต่เช้าเลย” เพราะที่ผ่านมาเราจะไปตอนค่ำเสมอ แล้วเข้าไปกอด แม่บอกว่า “กอดลูกนี่มันชื่นใจจริง ๆ อบอุ่นจัง” แล้วก็โอบกอดเราแน่น ๆ  เราเอาหูฟังไปฟังปอดให้  แม่บอกว่า “มีลูกเป็นหมอก็ดีอย่างนี้เอง” ถามว่าเหนื่อย เจ็บไหมแม่วันนี้ แม่ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วบอก “สบายดี” คงเหมือนเดิมที่แม่ไม่อยากให้ลูกกังวล นี่คือวันสุดท้ายที่เรากอดแม่ ขณะที่แม่ยังมีแรงกอดตอบ ขณะที่แม่ยังพูดความรู้สึกได้ เพราะจากวันนั้นสองวัน แขนแม่อ่อนแรงยกไม่ได้ และพูดไม่ได้ หากเราไม่มาหาแม่ตามที่พี่สาวบอก เราคงพลาดโอกาสนี้ เพราะเราลืมคิดไปว่าเรากอดแม่ได้จนวันสุดท้ายก็จริง แต่แม่อาจไม่อยู่ในภาวะของการรับรู้ว่าลูกมากอด  เราเคยคิดว่าเราเป็นหมอ คงมีโอกาสทำให้แม่ได้ดีที่สุด และต้องเป็นคนจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่ใช่เลย พี่สาวคนโตได้แสดงบทบาทของความเป็นพี่ใหญ่ที่ดีและสมบูรณ์แบบ พี่จัดการเรื่องเวรสลับกันมาเฝ้าแม่ พี่เลือกบอกพี่แหม่มมาช่วยเฝ้า ซึ่งเป็นญาติที่แม่รักมาก ชอบปฏิบัติธรรม ทำให้แม่ได้ฟังคำเตือนสติ และพี่แหม่มก็นำซีดีบทสวดมนต์มาเปิดให้แม่ฟังทุกวัน  พี่สาวยังจัดเรื่องอาหารแต่ละมื้อ  เป็นผู้มาเฝ้าบ่อยครั้งและนานหลายวัน ถึงจะวินิจฉัยสั่งการรักษาไม่ได้ แต่เมื่อใดที่สังเกตอาการแม่ผิดปกติ จะรีบโทรบอกเรา ที่สำคัญได้พาแม่สวดมนต์ และกอดแม่ในยามที่แม่รู้ตัวมากที่สุด ส่วนน้องสาวที่ดูไม่ค่อยเป็นสาระในสายตาของพี่ ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ มีสองวันรวมทั้งคืนสุดท้ายของแม่ที่น้องมาเยื่ยม และตั้งใจจะกลับ แต่เมื่อเห็นแม่อาการไม่ดีก็ตัดสินใจอยู่กับแม่ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย  “ทำให้แม่ตอนแม่อยู่กับเรา”            ความภูมิใจของเราที่ได้ทำให้แม่คือ เดือนมกราคมที่เริ่มทราบว่าอาการมาก เรารีบถามถึงสิ่งที่ท่านอยากทำที่สุด และท่านได้เลือกทำบุญสร้างกุฏิให้วัดป่าอกาลิโก จังหวัดกาฬสินธุ์ของท่านชุติปัญโญ ซึ่งเป็นพระที่เราและหมอหมงเคารพและเคยนิมนต์มาให้แม่ได้สนทนาธรรมที่บ้าน และต่อมาเป็นที่เคารพและศรัทธาของแม่ จากนั้นทุกเดือนที่ท่านลงมากรุงเทพ ท่านจะแวะมาเยี่ยมแม่ ทำให้แม่ได้สนทนาธรรมในยามที่แม้กายไม่สบายแต่ก็ได้ความอิ่มเอิบใจมาช่วย ได้เห็นภาพกุฏิที่ร่วมสร้างมีความคืบหน้า  เรากับพี่ได้ตัดสินใจหาคนจากศูนย์ที่หาได้อย่างยากลำบาก ในจังหวะที่ไม่แน่ใจว่าคนเฝ้าเดิมอาจไม่กลับมา ค่าใช้จ่ายมากกว่าเท่าหนึ่งของที่เป็นอยู่ แต่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะได้คนเอาใจใส่ มีประสบการณ์ดูแลแม่ได้อย่างดี ที่สำคัญคือถูกใจแม่  จนเมื่อแม่จากไป ของชำร่วยในงาน เราเคยเห็นด้ายแดงผูกลูกอมก็ไม่เข้าใจความหมาย ทราบภายหลังว่าเป็นความเชื่อ ส่วนเราอยากแจกหนังสือธรรมะให้ทุกคืนสวด เพื่อเป็นกุศลให้แม่ ตอนแรกจะซื้อหนังสือท่านชุติปัญโญ  สอบถามได้ว่าต้นทุนต่ำสุดก็ 45 บาทต่อเล่ม เราก็ไม่มีกำลังขนาดนั้น ก็หาติดต่อจนได้ซีดีของหลวงตาที่วัดป่าโสมพนัส ที่เราเคยไป ราคาแผ่นละสิบบาท หมอหมงช่วยรีบไปเอาของในวันรุ่งขี้น และท่านชุติปัญโญซึ่งลงมากรุงเทพพอดี ก็ช่วยนำหนังสือจากวัดต่าง ๆ ที่ท่านรู้จักกับพระในวัดนั้นซึ่งจะขอได้หลากหลาย และจำนวนมาก เราจึงได้มีหนังสือมาแจกทุกวัน เราเลือกให้ลูกสาว และลูกน้องสาวเป็นผู้แจกเมื่อมีผู้มาไหว้แม่ เพื่อให้ทุกคนรับไป เพราะบางคนเกรงใจ หรือชีวิตนี้ไม่คิดจะอ่านหนังสือธรรมะ แต่พอเห็นหน้าและได้ยินเสียงเรียกร้องจากเด็ก ๆ ว่า “หนังสือที่ระลึกงานของคุณยายค่ะ” ก็รับไปได้ทุกคน สมตามเจตนา      หากเป็นพวกเราเอง สามารถไปขอรับหนังสือจากวัดต่างๆ ที่มีการพิมพ์เผยแพร่ เป็นธรรมทาน เช่นวัดญาณเวศกวัน นครปฐม แล้วร่วมทำบุญ แต่คงเอามาไม่ได้มากนัก (www.watnyanaves.net)  หรือทำบุญแล้วแจ้งว่าต้องการพิมพ์กี่เล่ม ซึ่งทำบุญต่อได้อีกคือ เอากลับมาเพียงบางส่วน ส่วนที่เหลือไว้เผื่อมีผู้มาขอรับภายหลังได้อีก ซึ่งกรณีนี้ต้องรอเวลา เช่นที่วัดพระราม ๙ (ติดต่อ 02-719-7550-1) หรือวัดสนามในมีหนังสือจำหน่ายในราคาไม่สูงนัก ยิ่งภายหลังได้อ่านเจอคำว่า “ธรรมทาน ชนะทานอื่นใดทั้งปวง” ซึ่งท่านอธิบายว่าไม่ใช่แปลว่าได้บุญมากกว่าสิ่งอื่น แต่เหมือนดั่งสอนเด็กให้สอนจับปลา ไม่ใช่ให้ปลา คือการให้หนังสือ ถ้ามีคนได้อ่าน แล้วนำไปปฏิบัติ ไปแนะนำต่อ ธรรมมะดี ๆ ก็แผ่ขยายกว้างไกลออกไป เป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก ก็ดีใจที่ได้ทำให้แม่ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อแม่จากไป การทำอาหารทำบุญไปให้ การนำเงินที่มาจากผู้ร่วมทำบุญในงานแม่ ไปบริจาคตามสถานที่ที่แม่เคยประสงค์ ก็คงไม่เกิดประโยชน์เท่ากับทำอะไรให้ท่านตอนที่ท่านยังอยู่ ซึ่งเราเข้าใจลึกซึ้งแล้วจริง ๆ  “งานของการจากไป เหมือนการไปทำแผลให้หาย”            แต่ละวันที่ผ่านไป การปลอบโยน กำลังใจ จากผู้มาร่วมงานหรือเพียงส่งใจมา การที่ลูก ๆ ต้องไปเตรียมงานที่วัดทุกวัน เปรียบเหมือนเวลาเรามีแผลสด ที่ต้องทำแผลทุกวัน    คือมันจะค่อย ๆ ดีขึ้น แสบลดลง แล้วก็หาย เหมือนความห่อเหี่ยว เศร้าโศกในใจได้ถูกรักษาให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว บางส่วนมาจากความเหนื่อยล้าจากงานแต่ละวัน เพราะกว่าจะเสร็จได้เข้านอน และพี่สาว น้องสาว เป็นเหมือนกัน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เนื้องอกกับมะเร็ง ต่างกันอย่างไร

เนื้องอกกับมะเร็ง ต่างกันอย่างไร           โดยคร่าวๆนะครับ เนื้องอกเป็นก้อนเนื้อที่งอกขึ้นในอวัยวะต่างๆ เนื้องอกอาจทำให้เกิดปัญหาการกดทับได้ แต่ไม่สามารถลุกลามเข้าไปในเนื้อเยื่ออื่นๆได้ ถ้าต้องรักษาส่วนมากผ่าออกก็จะหาย            มะเร็งหรือเนื้อร้ายเป็นเนื้องอกที่สามารถลุกลามเข้าไปโตในเนื้อเยื่อชนิดอื่นๆได้ ทั้งที่อยู่ในบริเวณรอบๆ ใกล้เคียง หรือไกลออกไป การรักษาจะยากกว่าเนื้องอกเพราะมะเร็งชอบทิ้งเซลล์เล็กๆไว้ในร่างกายถึงแม้จะผ่าเอาก้อนออกไปได้ ดังนั้นการรักษามะเร็งจึงต้องพยายามทำลายเซลล์เล็กๆเหล่านั้นด้วยวิธีต่างๆ เช่น การใช้คีโม รังสีรักษา สารกลุ่มที่เรียกกันว่าไบโอลอจิกชนิดต่างๆ ฯลฯ สรุปแบบคณิตศาสตร์ คือ มะเร็งเป็น subset ของเนื้องอกครับ  เป็นเนื้องอก อาจเป็นเนื้อดีหรือร้ายก็ได้ แต่ มะเร็งคือ เนื้อร้ายอย่างเดียว ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaiclinic.com 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ก๋วยเตี๋ยวหลอดฮ่องเต้ เมนูอาหารสุขภาพ

ก๋วยเตี๋ยวหลอดฮ่องเต้ เมนูอาหารสุขภาพ   วิธีการทำ   เครื่องหมักหมู             เนื้อหมูสันใน                                                                              100  กรัม             ซีอิ๊วขาว , แป้งข้าวโพด                                                                2      ช้อนชา             น้ำมันหอย                                                                                 1      ช้อนชา เครื่องปรุงอื่น             กุ้งชีแฮ้สับละเอียด                                                                      50    กรัม             เห็ดหอม                                                                                     2     ดอก             หน่อไม้ไผ่ตงสุก  , กุยช่ายขาวหรือถั่วงอก                                   100    กรัม             ต้นหอมหั่นเป็นทอนยาว 1 นิ้ว                                                     6      ต้น             ขิงอ่อนซอยละเอียด                                                                    10   กรัม             ตับอ่อนหั่นแฉลบบางๆ ,  เต้าหู้แผ่นหั่นเต๋า                                   100  กรัม             น้ำมันหอย,  ซีอิ๊วขาว, น้ำตาล, แป้งข้าวโพด                                2      ช้อนชา             พริกไทยป่น                                                                               1      ช้อนชา             น้ำ                                                                                            ¼    ถ้วยตวง             แผ่นก๋วยเตี๋ยวแบบยังไม่ได้ตัด                                                     ½     กิโลกรัม             งาขาวคั่ว                                                                                   ¼     ถ้วยตวง             ซอสเปรี้ยว วิธีทำ             1. หมักหมูส่วนแรกกับซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย และแป้งข้าวโพด ทิ้งไว้ 20 นาที             2. ผัดเนื้อหมูที่หมักไว้กับน้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ ใส่กุ้งผัดจนกระทั้งสุก ใส่ตับหมูและเต้าหู้ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน             3. ผัดส่วนผสมที่เหลือใช้ไฟแรง และเร็วใส่หมู กุ้งที่ผัดแล้วเติม น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว พริกไทยป่น น้ำมันงา ใส่แป้งผัดต่อจนสุก พักให้เย็น จึงนำมาห่อ วิธีห่อ             แผ่แป้งก๋วยเตี๋ยวตัดเป็นแผ่นขนาด 6x6 นิ้ว ตักส่วนผสมใส่ ม้วน 1 รอบแล้วพับริมซ้ายและขวาเข้ามาข้างละ ½ นิ้ว แล้วจึงม้วนให้แน่น นำไปนึ่งประมาณ 5 นาที โรยงาขาวคั่ว รับประทานกับซอสเปรี้ยว                                                                                                                                                                                    นายธีระเดช   สวนเส นักกำหนดอาหาร รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เข้าใจ.. พัฒนาการลูกน้อย

เข้าใจ.. พัฒนาการลูกน้อย            เด็กเล็กจะพัฒนาและเติบโตได้อย่างดีนั้น  ก็ต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่จากคุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้าง  และช่วงอายุที่สำคัญที่สุดก็จะเป็นช่วง  1-3 ปีแรก  ซึ่งเป็นโอกาสทองของคุณพ่อคุณแม่ที่จะกระตุ้นพัฒนาสมอง  ทำให้เซลล์สมองเติบโตได้อย่างเต็มที่  หัวใจสำคัญเพียงแค่คุณพ่อคุณแม่  ต้องเข้าใจพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย  และหาวิธีการเล่นที่เหมาะสม  เพราะเด็กจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ  รอบกายได้ด้วยการเล่น               การเล่นจึงถือเป็นงานของเด็กๆเหมือนกับผู้ใหญ่ที่ต้องทำงาน  เพราะการเล่นก่อให้เกิดกิจกรรมต่างๆที่จะช่วยพัฒนาสมอง  ส่วนที่ควบคุมความสนใจ... หรือกระตุ้นให้หยิบจับสัมผัสและใช้สายตา  บังคับกล้ามเนื้อ  ซึ่งเป็นการกระตุ้นการแผ่ขยายของเส้นใสสมอง  ก่อให้เกิดการจดจำและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  อันส่งผลให้เซลล์สมองเจริญเติบโตเหมือนรากไม้แผ่กิ่งก้านได้อย่างเต็มที่               การที่เด็กๆเล่นอะไรใจจดใจจ่อ  ก่อให้เกิดสมาธิกับของเล่นชิ้นนั้นๆ  จึงเป็นประโยชน์อย่างมาก  ดังนั้นจึงควรฝึกให้เล่นอย่างมีสมาธิ  เมื่อสมาธิดี  จะส่งผลให้สมองทำงานอย่างมีระบบ  ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และจดจำ  และหากมีการปฏิบัติ (คือ  เล่น ..เล่น  และ เล่น..)  ก็จะเป็นการลงมือทำอย่างมีประสิทธิภาพ                                                                                                    ขอบคุณข้อมูลหนังสือ Baby Guide

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

วิธีเก็บรักษานมแม่

วิธีเก็บรักษานมแม่              *   เมื่อต้องการนำนมที่แช่แข็งมาใช้  ให้ละลายน้ำนมแม่ที่แช่แข็งด้วยการนำมาใส่ในตู้เย็นปกติก่อนล่วงหน้า  1  คืน  ( 12 ชม.)  ถ้าลูกชอบแบบเย็นให้เขย่าไขมันที่แยกชั้นให้เท่ากัน  แต่ถ้าลูกไม่ชอบให้นำนมมาอุ่นก่อน  ห้ามใช้น้ำร้อนจัดหรือไมโครเวฟ  เพราะจะทำลายเซลล์มีชีวิตที่อยู่ในน้ำนมแม่                 *  ไม่ควรปล่อยน้ำนมแช่แข็งละลายเองในอุณหภูมิของห้อง ถ้าลืมและต้องการให้ละลายเร็วให้แช่ในน้ำธรรมดาให้เป็นอุณหภูมิปกติ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นแช่น้ำอุ่น             *  นมที่เก็บในถุงเก็บนมแม่  จะละลายเร็วกว่านมที่เก็บในภาชนะอื่น             *    น้ำที่ละลายแล้วสามารถนำเก็บในตู้เย็นได้  24 ชม.  นมที่เหลือจากการป้อนนมในขวด  หรือถ้วยสามารถเก็บในตู้เย็นต่อไปได้ถึงมื้อต่อไปเท่านั้น             *  ไม่ควรนำน้ำนมแช่แข็งที่ละลายแล้วกลับไปแช่ใหม่             *  สามารถผสมน้ำนมแม่ที่บีบหรือปั๊ม  ใส่รวมกับน้ำนมแม่ที่แช่เย็นไว้ก่อน  แล้วภายใน 24 ชม.  หลังจากการเก็บครั้งแรก             *    ถ้าต้องการใช้นมภายใน 8 วัน  หลังจากการปั๊ม  ไม่ต้องแช่แข็งในช่องแช่ปกติ  ถ้าต้องการแช่แข็งให้แช่ภายใน  24-48  ชม.  หลังจากปั๊มออกมา  (ยิ่งแช่เร็วเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น)             *  น้ำนมแช่แข็งที่ละลายแล้ว  อาจมีกลิ่นหืนแต่ไม่เสีย  (นอกจากมีกลิ่นรุนแรงมากหรือมีรสเปรี้ยวจึงจัดว่าเสีย)   หมายเหตุ             คำแนะนำในการเก็บรักษานมแม่ข้างต้น  เป็นคำแนะนำทั่วๆไป  ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติได้  สิ่งใดก็ตามที่แตกต่างไปจากคำแนะนำดังกล่าว  ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิของแต่ละครอบครัว  ถ้ากังวลมากก็ไม่ควรทำ  แต่ถ้าคิดว่าน่าจะใช้ได้  ทดลองทำดู  อาจจะใช้ได้หรือไม่ได้  เรียนรู้ไว้เป็นประสบการณ์                                                                                                ขอบคุณข้อมูล ศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
<