ยกกระชับ (Lifting)

“ปัญหาที่เกิดจากความหย่อนคล้อย เช่น คิ้วและหนังตาตก แก้มหย่อนคล้อย ทำให้เกิดร่องข้างจมูกลึกมากขึ้นถุงใต้ตา ซึ่งเกิดจากการแข็งแรงของโครงสร้างที่ช่วยในการดึงผิวลดลง   ยกกระชับ (Lifting) “ปัญหาที่เกิดจากความหย่อนคล้อย เช่น คิ้วและหนังตาตก แก้มหย่อนคล้อย ทำให้เกิดร่องข้างจมูกลึกมากขึ้นถุงใต้ตา ซึ่งเกิดจากการแข็งแรงของโครงสร้างที่ช่วยในการดึงผิวลดลง ร่วมกับแรงโน้มถ่วงของโลกช่วยดึงลงทุกๆวัน จึงทำให้ใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่ต้องกังวลใจ เราสามารถช่วยคุณได้” 1.คลื่นวิทยุ : Radiofrequency:RF เป็นคลื่นพลังงานจากวิทยุ ส่งผ่านความร้อนสูงไปยังชั้นหนังแท้ด้านล่าง กระตุ้นให้เกิดการหดตัวของคลอลาเจน และสร้างคลอลาเจนขึ้นใหม่ ตัวอย่างของกลุ่มนี้คือ เทอร์มาจ (Thermage) ซึ่งเป็นรุ่นแรกๆ และเป็นต้นแบบของเครื่องที่เป็นคลื่นวิทยุ เครื่องมือรุ่นหลังๆที่ใช้คลื่นวิทยุผสมเลเซอร์ ความร้อนจะลงไปได้ตื้นกว่า Thermage ทำให้โอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อผิวหนังชั้นลึกๆ น้อยกว่า แต่ผลการยกกระชับก็อาจน้อยกว่า Thermage อย่างไรก็ตาม กระชับผิวด้วยคลื่นวิทยุ ก็ไม่อาจเห็นผลได้ชัดเจนเท่าการผ่าตัด เช่น ผลของคลื่นวิยุอาจมีการเปลี่ยนแปลงเป็นมิลลิเมตร ไม่ใช่เซ็นติเมตร เช่น การผ่าตัดต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ และไม่เห็นผลดีกับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหามากการผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า 2.ดึงหน้าด้วย Ultrasound จะใช้อัลตราซาวด์ความเข้มสูงที่มีความจำเพาะเจาะจง โดยใช้คลื่นความถี่สูงลงไปในชั้นใต้ผิวหนังชั้นลึก (SMAS:Superficial Muscular Aponeurotic System) ที่ติดกับชั้นกล้ามเนื้อ เป็นชั้นที่ช่วยยึดไม่ให้ใบหน้าหย่อนคล้อย ความร้อนที่ส่งลงไปจะทำให้เนื้อเยื่อตึงกระชับขึ้น จึงช่วยยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อย แก้ปัญหาหนังตาตก กระชับถุงใต้ตา และปรับรูปหน้าโดยรวมให้เรียวขึ้น โดยผลจะค่อยๆปรากฏ 1-6 เดือน หลังการรักษา การรักษาเพื่อยกกระชับ จะเจ็บในบางเครื่องมือ จะต้องทายาชา ก่อนทำการรักษา ก่อนทำการรักษาควรหลีกเลี่ยงแดดจัดประมาณหนึ่งสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการกรอผิว ผลัดเซลล์ผิวหรือทำเลเซอร์อื่นๆ ช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ ถอดเครื่องประดับที่เป็นโลหะออก (ในการรักษาด้วยเครื่องวิทยุ) หลังการรักษาหน้าอาจบวมแดงเล็กน้อยไม่กี่ชั่วโมง จึงสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ ควรหลีกเลี่ยงแดดจัดและความร้อนสูง เช่น ซาวน่า หรือโยคะร้อน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาแก้อักเสบในกลุ่ม NSAIDS เช่น แอสไพริน ผลของการรักษาความหย่อนคล้อยในคลื่นวิทยุ Thenage และอัลตราซาวด์ความเข้มสูง ผลจะอยู่ได้นานเป็นปีแต่เจ็บ และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า คลื่นวิทยุเลเซอร์ซึ่งเจ็บน้อยกว่า ราคาต่ำกว่า แต่ต้องทำซ้ำหลายครั้ง ประมาณ 5-6 ครั้ง ห่างกัน 1 สัปดาห์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคไตเรื้อรัง

ไต มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว ขนาดเท่ากำปั้น(150 กรัม) ในคนปกติ มี2 อัน วางอยู่สองข้างของกระดูกสันหลัง ประมาณซี่โครงซี่12             ไต มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว ขนาดเท่ากำปั้น(150 กรัม) ในคนปกติ มี2 อัน วางอยู่สองข้างของกระดูกสันหลัง ประมาณซี่โครงซี่12  หน้าที่ของไต 1.      ขับถ่ายของเสียออกทางปัสสาวะ ไตสามารถกรองของเสียออกจากเลือด ได้ประมาณ 120-125 ml./นาที 2.      รักษาดุล -          รักษาดุลน้ำ -          รักษาดุลเกลือแร่ -          รักษาดุลกรดด่าง 3.      ช่วยสร้างเอนไซฒ์ และฮอรืโมน -          แองจิโอเทนซิน               -          อิริโธรปัวอิติน -          วิตามิน D รู้ได้อย่างไร เมื่อไตทำงานลดลง -          รู้สึกไม่สุขสบาย เนื่องจากมีของเสียสะสมในเลือดมาก -          ง่วงซึม สับสน คลื่นไส้ และเบื่ออาหาร -          ซีด เหนื่อยง่าย ไตวายเรื้อรัง เป็นภาวการณ์ทำงานของไตบกพร่องเป็นเวลานาน และมีการดำเนินของโรคไปถึงระยะสุดท้าย ESRD (End stage Renal Disease) วิธีบำบัดผู้ป่วยโรคไต 1. Hemodialysis ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 2. CAPD (Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis) การล้างทางช่องท้องถาวร 3. การผ่าตัดปลูกถ่ายไต การล้างไตด้วยเครื่องไตเทียม คือ การนำเลือดออกจากร่างกาย ผ่านตัวกรองที่เครื่องไตเทียม เพื่อกำจัดของเสียและน้ำส่วนเกิน แล้วน้ำเลือดที่ดีกลับเข้าสู่ร่างกาย ข้อดีของการทำ Hemodialysis 1.     สามารถ กำจัดน้ำที่เกินและของเสีย ได้อย่างรวดเร็ว 2.     สามารถให้สารอาหารและยาได้เพิ่มขึ้น 3.     เกิดการติดเชื้อน้อยกว่าการล้างทางช่องท้อง 4.     สะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ 5.     ต้องมีเครื่อง Hemodialysis และเครื่องน้ำRO 6.     ต้องมาทำในโรงพยาบาล อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง 7.     ต้องใช้ยากันเลือดแข็งตัว       8.     เกิดภาวะแทรกซ้อนขณะทำ เช่น ความดันโลหิตต่ำ ปวดศีรษะ ตะคริว ฯลฯ การล้างไตทางช่องท้องถาวร เป็นการกำจัดของเสีย และส่วนเกินออกจากร่างกาย โดยวิธีฝังสายใส่น้ำยาเข้าทางช่องท้อง หลอดเลือดฝอยที่เลี้ยงอวัยวะภายในช่องท้อง จะพาเลือดที่มีของเสีย ซึมผ่านเยื่อบุช่องท้องอาศัยเป็นตัวกรองแลกเปลี่ยนของเสีย ข้อดีของการทำ CAPD 1.     ใช้จำนวนบุคลากรน้อยกว่าทำ Hemodialysis 2.     ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด 3.     การล้างทางหน้าท้อง ผู้ป่วยสามารถเดิน และทำงานได้ตามปกติ ช่วยเหลือตัวเองได้เต็มที่ 4.     เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ และผู้ป่วยที่เป้นโรคเบาหวานมานาน 5.     ผู้ป่วยที่รักษาโดยวิธีนี้ มักจะไม่มีผิวคล้า ดำ เหมือนผู้ป่วยที่ล้างเลือดด้วยไตเทียม 6.     สามารถทำเองได้ที่บ้าน                                7.     เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการทำ Hemodialysis 8.     สภาพการทำงานของไตที่เหลืออยู่ดีกว่า 9.     Quality of life ดีกว่า ข้อเสียของการทำ CAPD 1.     มีการติดเชื้อทางช่องท้องง่าย 2.     แน่นอึดอัดเมือน้ำอยู่ในท้อง การพยาบาล ระยะแรก 1.     ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ 2.     ให้ผู้ป่วยได้รับความสุขสบาย ทั้งด่านร่างกาย จิตใจ 3.     รับประทานอาหารที่ถูกต้องกับโรค ระยะบำบัดทดแทนไต 1.     ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์ 2.     ให้การพยาบาลตามอาการ 3.     ควบคุมภาวะโภชนาการ คนไข้ที่ทำ Hemodialysis ขณะทำ 1.     เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย พยาบาลต้องดูแลอย่างใกล้ชิด 2.     วัดVital Signs (วัดสัญญาณชีพ) ทุก15นาที 1 ชั่วโมง หลังทำ 1.     ดูแลภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้น เช่น หน้ามืด เป็นลม 2.     Record Vital Signs (บันทึกสัญญาณชีพ) เป็นระยะๆ 3.     ประเมินระดับความรู้สึก 4.     ชั่งน้ำหนัก เปรียบเทียบกับน้ำหนักก่อนทำ 5.     ตรวจสอบที่แทงเข็มดู Bleeding 6.     มีอาการหน้ามืด เป็นลม ให้รายงานแพทย์ อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ทำการฟอกเลือด -          อาหารโปรตีนต่ำ 40 กรัมต่อวัน -          ใช้ไข่ขาวและปลาเป็นแหล่งอาหารโปรตีน -          หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์ -          หลีกเลี่ยงไขมันสัตว์และกะทิ -          งดอาหารเค็ม จำกัดน้ำ -          งดผลไม้ ยกเว้นเช้าวันฟอกเลือด -          งดอาหารที่มีฟอสเฟตสูง เช่นเมล็ดพืช นมสด เนย ไข่แดง -          รับประทานวิตามิน B รวม,วิตามินC และกรดโฟลิก รับประทานวิตามินD ตามแพทย์สั่ง การดูแลคนไข้ที่ทำ CAPD                                    -          การดูแลต้องอาศัยทีมแพทย์ พยาบาล นักโภชนาการ ทำการสอนญาติหรือคนไข้ ในการเปลี่ยนน้ำยา -          ดูแลสุขอนามัย รักษาความสะอาดของร่างกาย -          ผิวแห้ง ให้ใช้โลชั่นทา -          ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน ทุกวัน -          ออกกำลังกายตามความเหมาะสม -          คนไข้สามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด      

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคสะเก็ดเงิน(Psoriasis)

เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เชื่อว่าอาจเป็นผลจากพันธุกรรมร่วมกับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน มีหลายปัจจัยในการเกิดและกระตุ้นให้เกิดโรค เช่น แกะเกา เสียดสี     โรคสะเก็ดเงิน(Psoriasis) เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เชื่อว่าอาจเป็นผลจากพันธุกรรมร่วมกับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน มีหลายปัจจัยในการเกิดและกระตุ้นให้เกิดโรค เช่น แกะเกา เสียดสี การติดเชื้อ หรือ ยา เป็นต้น พบโรคนี้ประมาณ2% ของประชากรทั่วโลก พบมีอาการมาก1 ใน3 พบมีความผิดปกติของเล็บและมีอาการปวดข้อร่วมด้วยได้ ส่วนมากจะอยู่ในช่วงอายุ 20-30 ปี และ 50-60 ปี เป็นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชายโดยเพศหญิงจะเกิดเร็วกว่า ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรค ได้แก่ การแกะเกา การเสียดสี กดทับ การติดเชื้อ ยาบางชนิด การตั้งครรภ์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แสงแดดจัด (Sunburn) ลักษณะทางคลินิก เป็นผื่นแดง ขอบเขตชัดเจน และมีสะเก็ดหนาสีขาวเงิน(Silvery Scale) ซึ่งติดค่อนข้างแน่น ถ้าแกะสะเก็ดออก อาจพบมีจุดเลือดออกเล็กๆ (Au spitz sign) ถ้าถูที่ผิวหนังอาจเกิดผื่นใหม่บริเวณนั้นได้ (Koebners phenomenon) บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่ หนังศีรษะ ข้อศอก เข่า ก้นกบ หน้าแข้ง ถ้าเป็นมากอาจกระจายทั่วตัวได้ ผื่นสะเก็ดเงิน มีหลายรูปแบบ ที่พบบ่อย เป็นชนิดผื่นหนาขอบเขตชัดเจน มีสะเก็ดขาวติดแน่นปกคลุม ผื่นมักกระจากทั่วตัวรวมทั้งอาจมีผื่นที่หนังศีรษะและไรผมได้ ขนาดของผื่นไม่แน่นอน ผื่นลักษณะอื่นๆ ที่อาจพบได้ คือ ผื่นขนาดเล็ก(guttate) กระจายทั้งตัวตุ่มหนอง ผื่นตามรอยพับของร่างกาย ความผิดปกติของเล็บ อาจมีเล็บหนาขึ้น (Subungual hyperk ratosis) เป็นหลุม (pitting) เล็บร่อนหรือแยกตัว (distal onycholysis) เล็บเปลี่ยนเป็นสีเหลือง (Oil spot) บางประเภทของสะเก็ดเงินอาจมีผื่นในปากได้                                                                                             อาการปวดข้อ พบได้ 5-30% ของโรคที่เรื้อรัง มักเป็นที่ข้อปลาย นิ้วมือ หรืออาจคล้ายข้ออักเสบของโรครูมาตอยด์ สาเหตุของโรค ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเป็นจากพันธุกรรม ร่วมกับสิ่งกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ทำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังเร็วกว่าปกติ ทำให้มีการพอกตัวหนา และหลุดลอกออกไปเร็วกว่าปกติ จึงเห็นเป็นผื่นหนาและมีสะเก็ดร่อนหลุดจำนวนมาก อีกสาเหตุหนึ่งเกิดจากมีความผิดปกติของเซลเม็ดเลือดขาว ชนิด T-lymphocyte ทำให้ผิวหนังหลั่งสารต่างๆ ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น การรักษา โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่เรื้อรังที่หายขาด ดังนั้นสิ่งสำคัญในการรักษา คือ การปฏิบัติตนของผู้ป่วยเอง เพื่อป้องกัน หรือเพื่อให้ผื่นกำเริบน้อยสุด 1.ปัจจัยที่ทำให้โรคเป็นมากขึ้น ได้แก่ การติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียของทางเดินหายใจส่วนบน ภาวะเครียดยาบางชนิด เช่น chloroquine , ยาลดความดันกลุ่ม Beta-blocker, aleohol และ lithium การแกะเกา เสียดสี หรือมีแผลที่ผิวหนัง 2.ยารับประทานกลุ่มกรดวิตามินเอ ได้แก่ Acitretinอาจใช่ร่วมกับการฉายแสง ในกรณีที่ใช้ชนิดเดียว จะใช้ในรายที่เป็นมาก หรือเป็นสะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง ผลข้างเคียงที่สำคัญได้แก่ ผิวแห้ง ลอกเป็นขุย ระดับไขมันในเลือด และการทำงานเอ็นไซม์ตับสูงได้ ยานี้ห้ามใช้หญิงมีครรภ์และห้ามตั้งครรภ์หลังหยุดยาอย่างน้อย 2 ปี 3.Methotrexate เป็นยาที่ให้ผลการรักษาดี และราคาไม่แพงมีผลข้างเคียงสูง ได้แก่ ตับอักเสบ ระดับเอ็นไซม์ตับสูงและเกิดตับแข็งได้ จะเลือกใช้ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อยาอื่นหรือวิธีการรักษาอื่นที่ปลอดภัยกว่า ดังนั้น ก่อนระหว่างและหลังการรักษาต้องมีการตรวจเลือดเป็นระยะๆ 4.Cyclosporin ใช้ในรายที่มีอาการรุนแรง เนื่องจากผลข้างคียงของยา เช่น ความดันโลหิตสูง ไตและตับอักเสบ 5.ยาอื่นๆ ในปัจจุบันยังมียากลุ่มใหม่ๆ ที่ให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ แต่ยังมีราคาแพงๆ และมีผลข้างเคียงที่ยังต้องศึกษาและเฝ้าติดตามต่อไป เนื่องจากโรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคเรื้อรัง บางครั้งการใช้ยาอาจมีผลข้างเคียง จึงควรใช้ยาสลับกันเป็นระยะๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงระยะยาวจากการใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งเป็นประจำ บางครั้งอาจต้องใช้ยาหลายกลุ่มร่วมกัน ทั้งยาทาและยารับประทาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา และลดผลข้างเคียงของยา

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

6 วิธีดูแลผิวในหน้าหนาวให้ชุ่มชื้นตลอดวัน

 6 วิธีดูแลผิวในหน้าหนาวให้ชุ่มชื้นตลอดวัน หากตลอดฤดูกาลที่ผ่านมาผิวพรรณของคุณคงความสวยนุ่มชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่เมื่อลมหนาวพัดมาสภาพความชุ่มชื้นที่เคยมีก็กลับค่อยๆ จางไปเหลือไว้แต่ผิวที่แห้งกร้านและลอกแตกเป็นขุย แต่ 6 วิธีดูแลผิวหน้าหนาวดังที่เราหยิบมาฝากกันในวันนี้สามารถช่วยถนอมความชุ่มชื้นให้คงอยู่บนผิวสวยของคุณอย่างยาวนานตลอดฤดูแน่นอนค่ะ มีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลย 1.ไม่ควรอาบน้ำร้อน หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนหรือน้ำอุ่นค่อนร้อนค่ะ ไม่เช่นนั้น ความร้อนจะชะล้างเอาน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวให้หมดไป สภาพผิวก็จะแห้งกร้านและแตกง่ายขึ้น โดยเฉพาะสาวผิวแห้งต้องยิ่งใส่ใจมากเป็นพิเศษสองเท่า แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ไหวจริงๆ กับการอาบน้ำเย็นจัดซึ่งจะทำให้คุณหนาวจนไม่สบายได้ ก็ปรับอุณหภูมิน้ำให้พออุ่นๆ เล็กน้อยแต่อาบไม่เกิน 15 นาทีแบบนี้ก็จะช่วยถนอมผิวไม่ให้แห้งมากกว่าเดิมได้แล้วค่ะ 2.หลีกเลี่ยงการสครับผิว ลดการสครับผิวให้น้อยลง เพราะยิ่งสครับมากผิวชั้นนอกจะยิ่งบอบบางและแห้งแตกง่าย หากเคยสครับบ่อยครั้งก็ลดมาเหลือแค่ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ 3.ชโลมผิวด้วยเบบี้ออยล์ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วให้หยดเบบี้ออยล์มาชโลมผิวพรรณให้ทั่วเรือนร่าง เพื่อจะได้ช่วยเก็บล็อกความชุ่มชื้นให้คงอยู่ยาวนานเป็นพิเศษมากขึ้น 4.ทาโลชั่นทันทีหลังอาบน้ำเสร็จ หลังจากชโลมผิวด้วยเบบี้ออยล์เสร็จแล้ว ให้ซับผิวพอหมาดแล้วรีบทาโลชั่นที่มีส่วนผสมจากมอยส์เจอไรเซอร์ทันทีทั้งผิวหน้าและผิวกายค่ะ ผิวจะได้เนียนนุ่มและคงความชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน 5.นวดตัวด้วยน้ำมันมะพร้าว หาเวลาว่างมานวดตัวด้วยน้ำมันมะพร้าวบ้างก็ดีไม่น้อย ยิ่งหากคุณมีสภาพผิวที่แห้งแตกสุดๆ แนะนำเลยค่ะเพียงหยดน้ำมันมะพร้าวแล้วนวดเบาๆ ให้ซึมซาบสู่ผิวเน้นเฉพาะบริเวณที่แห้งกร้านเป็นพิเศษ วิธีสามารถใช้แทนโลชั่นก็ยังได้ด้วยนะ 6.ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน แสงแดดนอกจากทำให้ผิวคล้ำเสียได้ง่ายแล้ว แสงแดดในหน้าหนาวยิ่งเป็นตัวการทำลายความชุ่มชื้นผิวให้ยิ่งแห้งกร้านมากขึ้นเป็นสองเท่าเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมทาครีมกันแดดชนิดที่มีค่า SPF 15-30 กันด้วยนะคะ จะได้ช่วยคงความชุ่มชื้นไว้กับผิวอย่างยาวนานตลอดวันนั่นเอง สุดท้ายนี้เพื่อผลลัพธ์การมีผิวสวยในหน้าหนาวอย่างมีสุขภาพดีและนุ่มชุ่มชื้นทุกครั้งที่สัมผัส อย่าลืมใส่ใจการกินอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะผักผลไม้ที่ให้วิตามินสูง พร้อมกับดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้วอย่างเพียงพอ อาหารเพื่อผิวสวยเหล่านี้จะได้ช่วยปรนนิบัติและช่วยบำรุงผิวไม่ให้แห้งเสีย มีริ้วรอยก่อนวันในหน้าหนาวแบบไม่ต้องหวั่นว่าผิวจะเสียอีกต่อไป                                              ด้วยความปรารถนาดี รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

10 ที่เที่ยวหน้าหนาวที่ต้องไปเยือนในปีนี้

10 ที่เที่ยวหน้าหนาวที่ต้องไปเยือนในปีนี้ ขอบอกเลยว่าบางทีก็ต้องใช้พละกำลังในการเดินไปหาความงามที่ซุกซ่อนไว้สักหน่อย แต่รับรองว่าคุ้มเกินบรรยาย เอาเป็นว่าลองไปดูสิจะไปเที่ยวหน้าหนาวที่ไหนกันดี 1. ดอยหลวงเชียงดาว ดอยเชียงดาว อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อำเภอเชียงดาว ยอดสูงสุดของดอยเชียงดาว เรียกว่า ดอยหลวงเชียงดาว (เพี้ยนมาจากคำที่ชาวบ้านในละแวกเปรียบเทียบดอยนี้ว่าสูงเพียงดาว) มีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนรูปกรวยคว่ำสูง 2,195 เมตร จากระดับน้ำทะเล นับเป็นยอดดอยที่สูงอันดับ 3 ของประเทศรองจากดอยอินทนนท์และดอยผ้าห่มปก จากบนยอดดอยซึ่งเป็นที่ราบแคบ ๆ สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามรอบด้าน คือ ทะเลหมอกด้านอำเภอเชียงดาว ดอยสามพี่น้อง เทือกดอยเชียงดาว ตลอดจนถึงยอดดอยอินทนนท์อันไกลลิบ อากาศเย็น ลมแรง และสมบูรณ์ด้วยดอกไม้ป่าภูเขาที่หาชมได้ยากมากมายรวมทั้งนกและผีเสื้อด้วย (ไม่เหมาะที่จะขึ้นไปยืนบนยอดดอยทีละกลุ่มใหญ่ ๆ เพราะจะไปเหยียบย่ำทำลายพรรณไม้บนนั้นได้แม้จะโดยไม่ตั้งใจก็ตาม) โดยการเข้าไปใช้พื้นที่ต้องทำหนังสือขออนุญาตถึงผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ อย่างน้อย 2 อาทิตย์ ก่อนการเดินทาง รายละเอียด โทรศัพท์ 0 2561 2947           การเดินทางสู่ยอดดอยเชียงดาวเริ่มที่ถ้ำเชียงดาว ซึ่งนักท่องเที่ยวจะสามารถติดต่อคนนำทาง ลูกหาบ รวมทั้งรถไปส่งที่จุดเริ่มเดินได้ ซึ่งบนดอยเชียงดาวไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมตัวไปด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องนอน อาหาร และน้ำ 2. เขาโมโกจู ขุนเขาแห่งความหนาวเย็น ด้วยความสูง 1,964 เมตร จากระดับน้ำทะเล โมโกจูจึงเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์และสูงที่สุดในผืนป่าตะวันตก อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 27 กิโลเมตร แม่วงก์ ใช้เวลาเดินเท้าไปกลับ 4-5 วัน แม้ระยะทางจะไกลและยากแก่การเข้าไปถึง แต่โมโกจูก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางหลาย ๆ คน ที่จะเก็บเป็นความประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิต           ทั้งนี้คำว่า "โมโกจู" เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า เหมือนฝนจะตก เนื่องจากบนยอดเขามักถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกและมีอากาศหนาวเย็นตลอดเวลา ผู้สนใจจะไปสัมผัสยอดเขาโมโกจูต้องเตรียมร่างกายให้แข็งแรง เพราะทางเดินขึ้นเขามีความลาดชันไม่ต่ำกว่า 60 องศา ใช้เวลาในการเดินทางไป-กลับ 5 วัน และต้องพักแรมในป่าตามจุดที่กำหนด นอกจากนั้นควรศึกษาสภาพเส้นทาง สภาพอากาศ และติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางจากอุทยานฯ ซึ่งเปิดให้เดินขึ้นยอดเขาโมโกจูในเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ของทุกปี 3. ภูป่าเปาะ ภูป่าเปาะ ที่ที่ได้รับสมญานามว่าเป็น "ฟูจิเมืองไทย" ตั้งอยู่ที่บ้านผาหวาย อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูค้อ-ภูกระแต ซึ่งห่างจากสวนผาหินงามหรือคุนหมิงเมืองไทยประมาณ 7 กิโลเมตร เป็นจุดชมวิวที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 900 เมตร บนภูป่าเปาะนั้นมีจุดชมวิวอยู่ด้วยกัน 4 จุด โดยจุดชมวิวแต่ละจุดมีระยะทางห่างกันประมาณ 200 เมตร 4. ดอยผ้าห่มปก ดอยผ้าห่มปก อยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก เป็นดอยที่สูงอันดับ 2 ของประเทศไทย ด้วยความสูงประมาณ 2,285 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง บนยอดดอยสูงสุดเป็นทุ่งโล่งอันเกิดจากสภาพธรณีวิทยาที่มีชั้นดินตื้น ชั้นหินเป็นหินแกรนิต ประกอบกับอากาศมีลมกรรโชกแรงตลอดทั้งปี จากยอดดอยจะเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม เช่น ทะเลหมอก และถนนบนสันเขา ขนานกับชายแดนไทย-พม่า ซึ่งถือเป็นถนนที่สร้างขึ้นเพื่อความมั่นคงระหว่างประเทศ ส่วนสภาพป่าเป็นป่าต้นน้ำ ป่าดิบเขา ซึ่งมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สมดุลและหลากหลายทางชีวภาพ ดังเช่นจะพบพันธุ์พืช สัตว์ป่าหายากและที่น่าสนใจนานาชนิด อาทิ เทียนหาง บัวทอง ผีเสื้อไกเซอร์อิมพิเรียล ผีเสื้อมรกตผ้าห่มปก ผีเสื้อหางติ่งแววเลือน ผีเสื้อหางดาบตาลไหม้ นกปรอดหัวโขนก้นเหลือง และนกปีกแพรสีม่วง เป็นต้น ในฤดูหนาวมีนกอพยพมาอาศัย เช่น นกเดินดงคอแดง นกเดินดงดำปีกเทา นกเดินดงสีน้ำตาลแดง ฯลฯ           สำหรับเส้นทางขึ้นดอยผ้าห่มปกมี 3 เส้นทาง ได้แก่ ทางกิ่วลม ทางปางมงคล และทางหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สาว โดยนักท่องเที่ยวสามารถตั้งแคมป์พักแรมได้ตรงบริเวณกิ่วลม เนื่องจากทางอุทยานแห่งชาติไม่อนุญาตให้พักแรมบนยอดดอยฟ้าห่มปก เพราะเป็นหน้าผาชันและอาจเกิดอันตรายได้ ซึ่งการเดินทางขึ้นสู่ยอดดอยเป็นการเดินเท้าระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการเดินขึ้นและลง อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกอนุญาตให้นำรถขึ้นดอยผ้าห่มปกได้แล้ว โดยต้องขึ้นดอยก่อน 15.30 น. และต้องใช้รถกระบะเท่านั้น ห้ามนำรถเก๋ง รถตู้ รถบัสขึ้นดอย เพราะถนนยังเป็นทางลูกรัง ถ้าไม่มีรถขึ้นดอยสามารถติดต่อรถให้บริการได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก เลขที่ 224 หมู่ 6 ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ 50110 โทรศัพท์ 08 6430 9748 , 0 5345 3517-8 โทรสาร 0 5345 3517 อีเมล [email protected] 5. ภูสอยดาว ภูสอยดาว อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงตามแนวชายแดนไทย-ลาว มีความสูงอยู่ที่ 2,102 เมตร อากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี สภาพป่าส่วนใหญ่ยังอุดมสมบูรณ์ มีทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่เคยเป็นที่ทำกินของชาวเขาเผ่าม้ง แหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ได้แก่ ป่าสน ทุ่งดอกไม้ หน้าผาจุดชมวิว น้ำตกสายทิพย์ และน้ำตกภูสอยดาว พื้นที่ป่าสนสามใบ เหมาะแก่การมาเที่ยวชมในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน เนื่องจากจะพบเห็นทะเลหมอกและดอกไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะดอกหงอนนาคขึ้นอยู่ทั่วไป และกล้วยไม้ป่าตามคาคบไม้ใหญ่ ระยะทางเดินทางจากเชิงเขา 6.5 กิโลเมตร บางช่วงเป็นเส้นทางชัน ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง มีสถานที่กางเต็นท์และห้องสุขาบริการ           ทั้งนี้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ตำบลห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ 53110 โทรศัพท์ 0 5543 6001-2 6. ม่อนจอง ม่อนจอง ขึ้นอยู่กับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ และ อำเภอสามเงา จังหวัดตาก สิ่งที่ดึงดูดให้นักท่องไพรมายังดอยม่อนจอง ก็คือ กวางผาหรือม้าเทวดาซึ่งมีถิ่นอาศัยอยู่ที่นี่ และทิวทัศน์ที่สวยงามของทิวเขา ซึ่งหากมาในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม จะได้พบดอกกุหลาบพันปีที่กำลังบาน ว่ากันว่าต้นนี้เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมี “ดอยหัวสิงห์” เป็นยอดเขาสูงสุด ทั้งนี้การเดินขึ้นม่อนจองสามารถไปเช้าเย็นกลับได้ แต่จะเหนื่อยมาก ต้องเริ่มออกเดินตั้งแต่ 06.30 น. เป็นอย่างน้อย หากเดินแบบไม่เหนื่อยเกินไปนักควรใช้เวลา 2 วัน 1 คืน ก่อนเดินขึ้นดอยต้องติดต่อขออนุญาตจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอซึ่งเป็นที่ตั้งที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ฯ           การเดินทางไปยังเขตรักษาพันธุ์ฯ อมก๋อย (หน่วยมูเซอ) จากเชียงใหม่ใช้ทางหลวงหมายเลข 108 แล้วแยกซ้ายจากอำเภอฮอดเข้าทางหลวงหมายเลข 1099 ไปจนถึงตัวอำเภออมก๋อย และตรงต่อไปตามทางหลวง 1099 ประมาณ 40 กิโลเมตร จะพบหน่วยมูเซออยู่ทางด้านซ้ายมือ จากหน่วยฯไปยังจุดเริ่มเดินอีกประมาณ 16 กิโลเมตร ทางในช่วงนี้จำเป็นต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อและคนขับที่มีความชำนาญเป็นอย่างมาก เนื่องจากสภาพทางเป็นลูกรังและแคบคดเคี้ยวริมผา ผู้ที่เดินทางโดยรถโดยสารประจำทางจากอำเภอเมืองเชียงใหม่มีคิวรถจากประตูช้างเผือกมายังอมก๋อย รถออกประมาณ 08.00 น. ซึ่งบนม่อนจองไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ หากต้องการพักแรมต้องนำเต็นท์และอาหารไปเอง 7. ภูลมโล ภูลมโล อยู่ในพื้นที่ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า บนรอยต่อของสามจังหวัด คือ จังหงวัดเลย จังหวัดเพชรบูรณ์ และจังหวัดพิษณุโลก โดยจุดสูงสูดอยู่บริเวณ "ยอดภูลมโล" มีความสูง 1,680 เมตร จากระดับน้ำทะเล ทำให้อากาศหนาวเย็นตลอดปี แต่ไฮไลท์ที่ทำให้ใคร ๆ ก็อยากไปสัมผัสกับที่นี่สักครั้ง ก็คือ การไปชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่เยอะมากที่สุดในเมืองไทย ซึ่งในอดีตภูลมโลเคยถูกเป็นภูเขาหัวโล้น ต่อมาทางอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าได้เข้ามาพัฒนาพร้อมกับปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งหลายหมื่นต้น บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ เมื่อถึงช่วงราวเดือนธันวาคม-มกราคม ต้นนางพญาเสือโคร่งก็จะออกดอกบานสะพรั่งย้อมให้ภูลมโลกลายเป็นดินแดนสีชมพูสุดงดงาม ทั้งนี้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวต.กกสะทอน หรือติดต่อสอบถามที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวต.กกสะทอน โทรศัพท์ 08 0791 4748, 09 1373 0903 8. อุทยานแห่งชาติเขาหลวง อุทยานแห่งชาติเขาหลวง เป็นแหล่งท่องเที่ยวรางวัลยอดเยี่ยม ประเภทแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ปี 2541 ครอบคลุมพื้นที่ 8 อำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช นับเป็นอุทยานแห่งชาติสำคัญอันดับต้น ๆ ของประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญของโลก มีรายงานสำรวจพบเฟิร์นบนเขาหลวงมากกว่า 200 ชนิด เช่น เฟิร์นบัวแฉก (พันธุ์ไม้โบราณ) เฟิร์นมหาสดำ (เฟิร์นต้นขนาดใหญ่ที่พัฒนามาก่อนยุคไดโนเสาร์) เป็น "สุดยอดแหล่งรวมกล้วยไม้เมืองใต้" เช่น กล้วยไม้สิงโตอาจารย์เต็ม, สิงโตใบพัดเหลือง, ขนตาสิงโต, เอื้องสายเสริต, เอื้องคีรีวง เป็นต้น  ป่าผืนนี้ยังเป็นอาณาจักรของพืชสัตว์เฉพาะถิ่น เช่น กุหลาบพันปีเขาหลวง นกกินปลีหางยาวเขียว ฯลฯ           โดยมียอดเขาหลวงสูงที่สุดในภาคใต้ ความสูง 1,835 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ในเขตอุทยานฯ มีแหล่งท่องเที่ยวหลายหลายรูปแบบทั้งการเที่ยวชมความงามและชื่นฉ่ำกับน้ำตกมายมาย เช่น น้ำตกพรหมโลก น้ำตกอ้ายเขียว น้ำตกกะโรม น้ำตกกรุงชิง ฯลฯ การเดินป่าศึกษาธรรมชาติทั้งระยะสั้นและระยะไกลหลายเส้นทาง นักผจญภัยไม่ควรพลาดการพิชิตยอดเขาหลวงในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน ระยะเวลาที่เหมาะสม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

สีผิวเข้ม จาก กระ ฝ้า

กระและฝ้า ปัญหาที่เป็นไปได้ทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายปัญหาที่กวนใจคุณ กระ มี 3 แบบ กระเนื้อ (Seborrteic keratosis) เป็นตุ่มเนื้อที่นูนสีน้ำตาลแปะอยู่ที่ผิว มีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ผิวจะขรุขระ เกิดขึ้นได้ในคนที่อายุมาก เกิดมากน้อยตามกรรมพันธุ์ เป็นชนิดที่อยู่ตื้นในชั้นหนังกำพร้า การรักษาง่ายด้วยการจี้คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ (Co2 Laser) หลังจี้จะเป็นรอยถลอกอยู่ 4-7 วัน ขึ้นกับความลึก หลังสะเก็ดหลุด ในคนผิวคล้ำหรือโดนแสงแดดอาจมีรอยเรื่อๆหรือรอยคล้ำระยะหนึ่ง มีวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การจี้ด้วยไฟฟ้า ใช้ไนโตรเจนเหลว การจี้ด้วยกรด แต่พบว่าความสวยงามของแผลหลังการรักษาไม่เท่าการรักษาด้วยเลเซอร์ หลังการรักษาในบางรายกระเนื้อสามารถเกิดซ้ำได้ เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปีๆ   กระตื้น Freckles เป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ ขอบชัดเจน เริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่น มักพบบ่อยในคนผิวขาว จะเข้มขึ้นในช่วงที่โดนแสงแดด เช่นฤดูร้อน การรักษาจะใช้เลเซอร์ เช่น Q-switvhed Nd: YAG หลังการรักษาอาจจะมีรอยขาวอยู่ระยะหนึ่ง และมักจะไม่เป็นซ้ำ แต่อาจเป็นใหม่บริเวณใกล้เคียง ถ้าโดนแดดมากเกินไป และบางรอยโรคสามารถจางได้เอง Solar lentigo เกิดจากการกระตุ้นด้วยแสงแดด(UV) เป็นการเปลี่ยนแปลงที่บอกอายุอย่างหนึ่ง พบมากบริเวณที่โดนแสง เช่น โหนกแก้ม หลังมือ แขน การรักษากระตื้น คือ ใช้เลเซอร์หรือแสงความเข้มสูง(IPL) ที่จำเพาะต่อเม็ดสีเมลานิน เกิดเป็นสะเก็ดแล้วหลุดลอกออก ถ้าเป็นรอยโรคที่ลึกอาจต้องทำซ้ำ และภายหลังรักษาต้องหลีกเลี่บงแดดจัด และทาครีมกันแดดเพื่อไม่ให้เกิดรอยดำภายหลัง   กระลึก Hori : โฮริ ลักษณะเป็นจุดหรือปื้นสีน้ำตาลปนเทาบริเวณโหนกแก้ม เกิดจากกรรมพันธุ์ พบได้ในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 20 ปี ขึ้นไป มักเป็นทั้ง 2ข้าง สีเพิ่มขึ้นตามอายุ การรักษาจะไม่ได้ผลด้วยยาลดสีผิวหรือการลอกผิวด้วยกรด หรือเลเซอร์ชนิด Ablation Nevus of Ota โดยมากจะเป็นตั้งแต่กำเนิด หรือเริ่มเป็นในวัยรุ่น เป็นปื้นหรือเป็นจุดๆ รวมเป็นปื้นสีน้ำตาลปนเทาบริเวณโหนกแก้มขมับ และหน้าผากข้างใดข้างหนึ่ง บางครั้งอาจพบสีเทาบริเวณตาขาวด้านนั้นด้วย กระลึกรักษายาก ต้องใช้เวลารักษานาน โดยการยิงแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นเหมาะสม เพื่อลดอันตรายจากความร้อนต่อผิวหนังด้านบน และพลังงานสูงพอที่จะทำลายเซลล์สี โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื้อเยื่อข้างเคียง โดยระยะเวลาการรักษาจะห่างกันทุก 6-8 สัปดาห์ ส่วนใหญ่จำนวนมากกว่า 5 ครั้ง และมีโอกาสเกิดซ้ำ อีกภายหลังการรักษา จะมีรอยถลอกและสะเก็ดบางๆ เป็นจุดๆ ควรหลีกเลี่ยงแดดจัด และอาจเกิดรอยขาวหรือรอยคล้ำได้ระยะหนึ่ง เลเซอร์ที่ใช้รักษา ได้แก่ Q-switvhed Nd: YAG, Q-switvhed Alexandrite,Q-switvhed Ruby   ฝ้า (Melasma)   เป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลแก่ จนถึงสีเทาขึ้นกับความลึก เป็นทั้งสองด้านของใบหน้าเท่าๆกัน สาเหตุของฝ้ามีหลายปัจจัย สาเหตุสำคัญ คือ การถูกแสงแดดและความร้อน การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์ การได้รับฮอร์โมนเพศและกรรมพันธุ์ การรักษาฝ้าจะใช้ยาทาร่วมกับรับประทาน การทำทรีทเมนท์โดยใช้กระแสไฟฟ้า หรือคลื่นเสียงช่วยให้เกิดการผลักยาเข้าสู่ผิวหนัง เช่น lonto/Phonophoresis, Electroporation การใช้เลเซอร์ที่เฉพาะเจาะจงต่อเม็ดสี จะทำให้ฝ้าจางลง แต่ผลการรักษาจะดีในรายที่เป็นฝ้าตื้นๆ ในรายฝ้าลึกผลการรักษายังไม่แน่นอน ส่วนเลเซอร์ในกลุ่มแยกส่วน (Fractional skin Resurfacing Laser) เช่น Fraxel ,fractional Erbium, Fractional Co2 เรื่มมีการนำมาใช้ในการรักษาฝ้าที่รักษายาก สิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันและรักษา คือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุด และควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF มากกว่า30 และคุณสมบัติในการป้องกัน UVA PRO มากกว่า 8 ร่วมกับการทายา 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ไหว้พระขอพรช่วงปีใหม่ไหว้พระ 9 วัด พระอารามหลวงกรุงเทพ

ไหว้พระขอพรช่วงปีใหม่ ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง (ททท.)                                                         "การเริ่มต้นที่ดี คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จ" จากคติดังกล่าว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้จัดทำกิจกรรม "ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง" ขึ้น เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่สนใจได้เดินทางท่องเที่ยวสักการะสถานที่อันเป็นมงคล เพื่อการเริ่มต้นอย่างมีความสุขสงบทางใจ ตามคติความเชื่อของไทย อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้ถึงคุณค่าของโบราณสถานที่สำคัญของเกาะ รัตนโกสินทร์และบริเวณโดยรอบอีกด้วย สำหรับ 9 พระอารามหลวง ได้แก่... 1. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร คติ : เดินทางปลอดภัยดี มีมิตรไมตรีที่ดี เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนแดงคู่ ดอกไม้พวงมาลัย ประวัติ/ความเป็นมา           วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศที่ดิน ซึ่งบริเวณดังกล่าวเดิมเรียกว่า "หมู่บ้านกุฎีจีน" วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2368 ในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้ถวายเป็นพระอารามหลวง ได้รับพระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร" พร้อมกับทรงสร้างพระวิหารหลวงเพื่อเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธไตรรัตนนายก" (หลวงพ่อโต) ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 4 หรือเรียกตามแบบจีนว่า ชำปอฮุดกง หรือ ชำปอกง           วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่มีองค์พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ โดยประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ นอกจากนี้ ยังมีหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกและพระคัมภีร์ต่าง ๆ ซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2408 การเดินทาง          วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ตั้งอยู่แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี มีโดยรถประจำทาง สาย 40, 57, 149 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 177 หรือจะไปทางเรือก็ต้องข้ามเรือข้ามฟากที่ท่าเรือปากคลองตลาดมาท่าเรือวัดกัลยาฯ 2. วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร คติ : มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง เครื่องสักการะสำหรับพระประธานในโบสถ์ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก   เครื่องสักการะสำหรับรูปเคารพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท : ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก ประวัติ/ความเป็นมา        วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท สร้างสมัยก่อนกรุงรัตรโกสินทร์ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาวัดขึ้นมาใหม่ และรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายราชสามัญ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ทหารรามัญในกองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุ รสิงหนาท ต่อมาเมื่อมีชัยชนะต่อกองทหารข้าศึกถึง 3 ครั้ง จึงพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดชนะสงคราม"       วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร มีพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย เป็นพระประธาน มีพระนามว่า "พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดมบรมศาสดา อนาวรญาณ" ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ            การเดินทาง           วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนจักรพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร สามารถเดินทางโดยรถประจำทาง สาย 33, 64, 65 หรือรถปรับอากาศ สาย ปอ. 3, 32, 33, 64, 65 3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร  คติ : ร่มเย็นเป็นสุข  เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 11 แผ่น  ประวัติ/ความเป็นมา        วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือที่รู้จักกันในนาม "วัดโพธิ์" เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก เดิมชื่อ "วัดโพธาราม" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงบูรณะและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างประเจดีย์เพื่อบรรจุพระพุทธรูปพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงศรีอยุธยา ต่อมาใน พ.ศ. 2377 รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระเจดีย์ แล้วพระราชทานนามว่า "พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ" และทรงสร้าง "พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกนิธาน" เพื่ออุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 และทรงมีพระราชประสงค์ให้วัดโพธิ์เป็น "มหาวิทยาลัยสำหรับประชาชน" จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมสรรพวิชาความรู้มาจารึกบนแผ่นศิลาติดไว้บริเวณพระอุโบสถ เพื่อให้ประชาชนมาศึกษาหาความรู้           ที่วัดโพธิ์มี "พระพุทธเทวปฏิมากร" ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ใต้ฐานชุกชี บรรจุพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 1 มีพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ที่สวยงามที่สุด และองค์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในประเทศไทย เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนพื้นพระบาทประดับมุก เป็นภาพมงคล 108 ประการ นอกจากนั้น วัดโพธิ์ยังมีเจดีย์ทั้งสิ้น 99 องค์ ถือว่าเป็นวัดที่มีเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย และมีพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล คือ รัชกาลที่ 1- 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์           ในปัจจุบันวัดโพธิ์เปิดอบรมเผยแพร่วิชาการแพทย์แผนโบราณ โดยผู้ผ่านการอบรมจะได้รับใบประกอบโรคศิลป์จากกระทรวงสาธารณสุข           การเดินทาง           วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ด้านหลังพระบรมมหาราชวัง ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร สามารถโดยสารรถประจำทางสาย 12, 44, 82, 91 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 12, 32, 44, 91, 51 4. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม  คติ : เพื่อจิตใจสะอาด ดุจรัตนตรัย  เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกไม้           ประวัติ/ความเป็นมา           วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว เป็นพระอารามที่อยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2326 เพื่อความสะดวกเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลตามราชประเพณี และเพื่อเป็นที่บรรจุพระอัฐิอายุของพระเจ้าแผ่นดินเจ้านายในราชสกุล ภายในวัดพระแก้วมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร" (พระแก้วมรกต) ที่พระระเบียงมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่วิจิตรสวยงามและยาวที่สุดในโลก มีปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งเป็นปราสาทยอดปรางค์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 1- 8            มีพระศรีรัตนเจดีย์ประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรม สารีริกธาตุมีหอพระราชพงศานุสรณ์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลของ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีหอระฆังที่มีระฆังซึ่งตีมีเสียงดังกังวานดี มีพระบรมราชานุสาวรีย์ประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์และยัง มีรูปยักษ์ 6 คู่ เป็นรูปยักษ์ตัวสำคัญจากเรื่องรามเกียรติ์ เป็นปูนปั้นทาสี ประดับกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ สูงประมาณ 6 เมตร ตั้งประจำที่ช่องประตูพระระเบียง           การเดินทาง           วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่บริเวณสนามหลวง ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 25, 32, 33, 59, 60, 70, 82, 91, 201, 203 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 2, 3, 6, 25, 32, 59, 60, 70, 82, 91, 201, 203, 512 5. วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร                              คติ : ชื่อเสียงโด่งดัง คนนิยมชมชอบ  เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว  ประวัติ/ความเป็นมา           วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม วัดระฆัง เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เดิมชื่อว่า “วัดบางว้าใหญ่” เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 1 มีลายหน้าบันเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถนี้ เป็นที่ประดิษฐานของพระประธานซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงเรียกว่า "พระประธานยิ้มรับฟ้า" นอกจากนี้ ยังมีหอไตรเป็นรูปเรือนสามหลังแฝด ภายในมีภาพจิตรกรรมที่สำคัญหลายแห่งทั้งบานประตู และฝาผนังรวมทั้งตู้พระไตรปิฏกสมัยกรุงศรีอยุธยา           วัดระฆังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระราชาคณะในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นพระเถระผู้ทรงเกียรติคุณ วิทยาคุณโด่งดังมากแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน การไปสักการะสมเด็จพุฒาจารย์ เพื่อขอพรโดยการสวดคาถาชินบัญชรเมื่อสวดจบแล้ว ปักธูปที่กระถางและปิดทองที่รูปปั้น แล้วอย่าลืมพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล            การเดินทาง           วัดระฆังโฆสิตารามมรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย สามารถโดยรถประจำทาง สาย 19, 57 ส่วนทางเรือ โดยเรือด่วนเจ้าพระยาแล้วลงที่ท่ารถไฟ หรือท่าวังหลัง หรือข้ามฝากที่ท่าช้างแล้วขึ้นที่ท่าเรือวัดระฆัง  6. วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร  คติ : วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป  เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม   ประวัติ/ความเป็นมา           วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมชื่อ "วัดมหาสุทธาวาส" วันนี้เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2350 เสร็จสมบูรณ์ พ.ศ. 2390 ในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดสุทัศนเทพวราราม"           ที่พระวิหารมี "พระศรีศากยมุนี" เป็นพระประธานซึ่งอัญเชิญมาจากสุโขทัยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วย สำริดถอดแบบมาจากพระวิหารพระมงคลบพิตร กรุงศรีอยุธยา บานประตูใหญ่ของพระวิหารสลักไม้สวยงามรอบพระวิหารมีถะ หรือเจดีย์ศิลาแบบจีนตั้งอยู่บนฐานทักษิณ เป็นถะ 6 ชั้น จำนวน 28 องค์ มีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ เป็นพระประธานปางมารวิชัย ใหญ่กว่าพระที่หล่อในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ องค์อื่น ๆ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเป็นฝีมือช่างชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่งดงามมาก พระอุโบสถนี้นับว่ายาวที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีศาลาการเปรียญที่มีพระพุทธเสรฏฐมุนี เป็นพระประธานที่หล่อด้วยกลักฝิ่นเมื่อ พ.ศ. 2382 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เช่นกัน           การเดินทาง           วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บริเวณเสาชิงช้า ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร สามารถโดยสารรถประจำทางสาย 10, 12, 42 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 10, 12, 42 7. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร  คติ : ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน  เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนคู่  ประวัติ/ความเป็นมา           วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดมะกอก เมื่อ พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พระเจ้ากรุงธนบุรี) เสด็จทางชลมารคจากกรุงศรีอยุธยามารุ่งเช้าที่หน้าวัดมะกอก จึงโปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "วัดแจ้ง" ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงปฏิสังขรณ์และพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดอรุณราชวราราม"           ในสมัยกรุงธนบุรีวัดอรุณราชวรารามเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ก่อนที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระแก้ว นอกจากนั้นยังมียักษ์ปูนปั้นขนาดใหญ่ 2 ตน ตั้งอยู่หน้าประตูซุ้มยอดพระมงกุฏ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม "ยักษ์วัดแจ้ง"           ภายในวัดอรุณราชวรารามนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ มีพระปรางค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสูง 33 วาเศษ ประดับด้วยชิ้นกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ ยอดพระปรางค์เป็นนภศูล ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีปรางค์ทิศทั้ง 4 ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประสูติ เทศน์พระธัมมจักร ตรัสรู้ นิพพาน การเดินเวียนทักษิณาวัดรอบพระปรางค์ 3 รอบ โดยเดินเวียนขวา (ตามเข็มนาฬิกา) เพื่อความเป็นสิริมงคล มีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" ซึ่งรัชกาลที่ 2 ทรงปั้นหุ่นและพระพักตร์ด้วยฝีพระหัตถ์พระองค์เอง และยังมีพระวิหารที่มีพระบรมสารีริกธาติที่เกศพระพุทธชมภูนุชฯ มีพระอรุณหรือพระแจ้ง ที่รัชกาลที่ 4 ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ การเดินทาง                                                                                   วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ข้างกองทัพเรือ ถนนอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ สามารถโดยรถประจำทาง สาย 19, 57 หรือนั่งเรือโดยสารข้ามฟากจากท่าเตียน มาขึ้นที่วัดอรุณ  8. วัดบวรนิเวศวิหาร คติ : พบแต่สิ่งดีงามในชีวิต เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 3 ดอก ประวัติ/ความเป็นมา           วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชชวรวิหาร สมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นใหม่ระหว่าง พ.ศ. 2367 - 2375 เดิมมีชื่อเรียกว่า วัดใหม่ ได้รับพระราชทานชื่อใหม่ เมื่อรัชกาลที่ 3 ทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จมาประทับเมื่อปี พ .ศ. 2375 นอกจากนี้ ยังเป็นวัดที่รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลปัจจุบันทรงผนวช เป็นวัดของคณะ สงฆ์ฝ่ายคามวาสีของธรรมยุติกนิกาย           สิ่งสำคัญภายในวัดบวรนิเวศวิหาร ได้แก่ พระอุโบสถ เป็นอาคารแบบตรีมุข หน้าบันประดับกระเบื้องเคลือบ ตรงกลางมีตรามหามงกุฎ พระประธานในพระอุโบสถและพระพุทธชินสีห์ วิหารพระศาสดา พระเจดีย์ใหญ่ และพระตำหนักปั้นหยา สถาน                                                                                       

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

7 เคล็ดลับดูแลสุขภาพพร้อมรับ ลมหนาว

7 เคล็ดลับดูแลสุขภาพพร้อมรับ ลมหนาว             ฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนอาจทำให้หลายคนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือผิวแห้งแตกลอกได้ง่าย ๆ วันนี้มีเคล็ดลับดูแลสุขภาพ ให้คุณพร้อมสู้กับลมหนาวในปีนี้มาฝาก             1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้เพียงพอและครบหมู่ ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ตรากตรำทำงานหนักจนเกินไป            การรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง จะช่วยให้คุณพร้อมสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่พบได้บ่อยในฤดูหนาว เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ รวมถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ด้วย             2.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่าง ๆ เนื่องจากจะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม เท่ากับเพิ่มโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น             3.อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชนที่แออัดยัดเยียด โดยเฉพาะหากมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่             4.ล้างมือบ่อย ๆ เพราะอาจไปสัมผัสเชื้อโรคที่ติดอยู่ตามสิ่งของต่าง ๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มลิฟต์ โทรศัพท์สาธารณะ เป็นต้น             5.หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จานชาม ช้อนส้อม             6.หากป่วยแล้วมีอาการไอหรือจาม ควรมีผ้าปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย             7.ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการจะกำเริบได้ง่ายในฤดูนี้ นอกจากอากาศเย็นที่เป็นสาเหตุโดยตรงแล้ว ก็อาจเนื่องมาจากฤดูหนาวจะมีฝุ่นมาก หรืออากาศหนาวทำให้เราต้องนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้าน หากแพ้ขนสัตว์ก็จะทำให้อาการกำเริบมากขึ้น หรือการนอนนาน ๆ ในฤดูหนาวซึ่งมืดเร็วและสว่างช้า ก็เพิ่มโอกาสที่จะทำให้แพ้ตัวไรฝุ่นตามที่นอน หมอน ผ้าห่มได้มากขึ้น ดังนั้นควรระมัดระวังสิ่งกระตุ้นเหล่านี้ และรักษาร่างกายให้แข็งแรงเข้าไว้ LINET

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

9 ข้อปฏิบัติการกินอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดี

ข้อปฏิบัติการกินอาหาร 9 ข้อ จะช่วยได้ ถ้าท่านถือเป็นหลักปฏิบัติตาม ร่างกายเราต้องการสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารต่างๆ เพื่อให้มีสุขภาพดี แต่เราจะต้องรู้ว่าจะกินอย่างไร กินอาหารอะไรบ้าง มากน้อยเพียงใดจึงจะได้สารอาหารครบและเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย   ข้อปฏิบัติการกินอาหากเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย 9 ข้อนี้ จะช่วยได้ ถ้าท่านถือเป็นหลักปฏิบัติตาม   กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลายและหมั่นดูแลน้ำหนักตัว กินข้าวเป็นอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ กินพืชผักให้มาก และกินผลไม้เป็นประจำ กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัด และเค็มจัด กินอาหารที่สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์   1.กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลายและหมั่นดูแลน้ำหนักตัว   เนื่องจากร่างกายเราต้องการสารอาหารต่างๆ ที่มีอยู่ในอาหาร ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แร่ธาตุ วิตามิน น้ำ และใยอาหาร แต่ไม่มีอาหารชนิดใด ชนิดเดียวที่ให้สารอาหารต่างๆครบ ในปริมาณที่ร่างกายต้องการ จึงจำเป็น ต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และกินแต่ละหมู่ให้หลากหลาย   จึงจะได้สารอาหารต่างๆครบถ้วน และเพียงพอ   น้ำหนักตัว เป็นเครื่องบ่งชี้บอกถึงสุขภาพของเรา จึงควรหมั่นดูแลโดยใช้ดัชนีมวลกาย(Body Mass Index) ซึ่งคำนวณจากสูตร   ดัชนีมวลกาย(BMI) =น้ำหนัก(กิโลกรัม)                                                                                                                             ส่วนสูง (เมตร)2   ค่าปกติจะอยู่ที่ 18.5-24.9 กก/ตร.ม.          2 .กินข้าวเป็นอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ   ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทยที่ให้กำลังงาน มีสารอาหารคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินกับแร่ธาตุ และใยอาหาร ควรกินข้าวที่ขัดสีแต่น้อย และกินสลับกับ อาหารประเภทแป้งอื่นๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมปัง เผือกและมัน   3. กินพืชผักให้มาก และกินผลไม้เป็นประจำ    พืชผักและผลไม้ นอกจากให้วิตามินแร่ธาตุ และกากอาหารแล้ว ยังมีสารอื่นๆ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปเกาะตามหลอดเลือด และช่วยทำให้เยื่อบุของเซลล์ และอวัยวะต่างๆแข็งแรงอีกด้วย   4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ   -เนื้อสัตว์ทุกชนิดมีโปรตีน แต่ควรกินชนิดไม่ติดมันเพื่อลดการสะสมไขมันในร่างกาย   -ไข่เป็นอาหารโปรตีนราคาถูก หาซื้อง่าย เด็กสามารถกินได้ทุกวัน แต่ผู้ใหญ่ควรกิน ไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ฟอง   -ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์ เป็นโปรตีนที่ดี ราคาถูก ควรกินสลับกับเนื้อสัตว์เป็นประจำ   5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย   นมมีโปรตีน วิตามินบี และแคลเซียมซึ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโต และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน จึงเป็นอาหารที่เหมาะสมกับบุคคลทุกวัย   ในคนอ้วนควรดื่มนมพร่องมันเนย                                  6. กินอาหารที่มีแต่ไขมันพอควร   ไขมันให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทั้งช่วยดูดซึมวิตามิน เอ ดี อี และเค แต่ไม่ควรกินมากเกินไป จะทำให้อ้วน และเกิดโรคอื่นๆตามมา   การได้รับไขมันอิ่มตัวจากสัตว์ และอาหารที่มีโคเลสเตอรอลมากเกินไป จะทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ควรกินอาหารประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง อบ  จะช่วยลดปริมาณไขมันในอาหารได้   7.หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด   การกินอาหารรสจัดมากจนเป็นนิสัย ให้โทษแก่ร่างกาย รสหวานจัดทำให้ได้พลังงานเพิ่มทำให้อ้วน รสเค็มจัดเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูง   8. กินอาหารที่สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน   อาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ มีการปกปิดป้องกันแมลงวันและบรรจุในภาชนะที่สะอาด มีอุปกรณ์หยิบจับที่ถูกต้อง ย่อมทำให้ปลอดภัยจากการเจ็บป่วยด้วยระบบทางเดินอาหาร   9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์   การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ เป็นโทษแก่ร่างกาย ทำให้สมรรถภาพการทำงานลดลง ขาดสติ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย สูญเสียทรัพย์สิน เงินทอง ตลอดจนชีวิต เสี่ยงต่อ การเป็นโรคตับแข็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้มะเร็งหลอดอาหารและโรคกระเพาะอาหาร จึงควรงด หรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และไม่ขับขี่ยานพาหนะในขณะมึนเมา   ด้วยความปรารถนาดี  รพ.วิภาวดี ที่มาข้อมูลจาก Thaiclinic.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

อัมพาตคืออะไร

อัมพาตคืออะไร    อัมพาตคืออะไร ในปัจจุบันที่คนเรามีอายุยืนขึ้น เนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น  การที่เรามีการดูแลสุขภาพร่างกาย การออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ การพักผ่อนที่เพียงพอและการรับประทาน อาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นต้นในทางตรงกันข้าม  ถ้าเราละเลยสิ่งเหล่านี้ เช่น นอนดึก  สูบบุหรี่จัด  ดื่มแอลกอฮอลเป็นประจำทำให้เกิดเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆได้  เช่น  เบาหวาน  ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ  โรคตับและในบรรดาโรคต่างๆเหล่านี้  โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคหนึ่งที่ไม่เพียงมีผลต่อผู้ป่วยเอง แต่ยังมีผลกระทบ อย่างมากต่อญาติของผู้ป่วยด้วย  ทั้งในแง่เวลา  ค่ารักษาพยาบาล และการขาดรายได้ของญาติที่ต้องคอยพาผู้ป่วยมาหาแพทย์ ดังนั้นโรคอัมพาตจึงมีผลกระทบอย่างมาก ต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย     อัมพาต(Stroke) เป็นคำที่ใช้เรียกอาการอ่อนแรงครึ่งซีกของร่างกาย หรือครึ่งท่อนล่างของร่างกาย ที่มีสาเหตุจากโรค หลอดเลือดสมอง หรือ ไขสันหลัง ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดตีบหรือแตกก็ได้   องค์การอนามัยโลก(World Health Organization;WHO)ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า "เป็นอาการที่เกิดอย่างปัจจุบันทันทีต่อการทำงานของสมองบางส่วน หรือทั้งหมด โดยที่อาการนั้นเป็นอยู่นานเกิน 24ชม. หรือทำให้สูญเสียชีวิต ซึ่งมีสาเหตุมาจาก โรคของหลอดเลือดเท่านั้น" คำว่า "อัมพาต"  เรามักจะหมายถึงอาการอ่อนแรงจนไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้เลย ส่วนคำว่า "อัมพฤกษ์" เราหมายถึงอาการอ่อนแรงที่ผู้ป่วยยังพอขยับร่างกายส่วนนั้นได้บ้าง  โดยทั่วไป เรามักจะนึกว่า อัมพาต  อัมพฤกษ์  จะต้องมีอาการอ่อนแรงเสมอ  แต่โดยความเป็นจริงแล้ว การที่มีอาการชา  หรือมีความรู้สึกลดน้อยลงครึ่งซีกทั้งในแง่การรับรู้สัมผัส  ความเจ็บปวด  ความรู้สึกร้อนหรือเย็น  ที่ลดลงก็เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองได้ทั้งสิ้น อาการ จะต้องเกิดในทันทีทันใด เช่น ตื่นนอนเช้า ขณะกำลังทำงาน  หรือ กำลังทำกิจวัตรต่างๆ แล้วมีอาการชา หรืออ่อนแรง ในบางคนอาจจะมีอาการเตือนมาก่อน เช่น มีอาการอ่อนแรงครึ่งซีก  ตาข้างหนึ่งข้างใดมองไม่เห็นชั่วระยะเวลาสั้นๆ แค่เป็นนาที หรือเป็น ชม. แล้วอาการดีขึ้นเป็นปกติ  ซึ่งถ้าผู้ป่วยมีอาการเตือนแล้วรีบมาพบแพทย์ก็จะมีประโยชน์ในแง่ของ การป้องกัน การเกิดอัมพาต อัมพฤกษ์ได้ อัมพาตพบในผู้สูงอายุบ่อยแค่ไหน จากการศึกษาของต่างประเทศพบว่า  อัมพาตจะพบมากขึ้นตามอายุทั้งเพศชายและหญิง เช่น อายุ 45-54ปี  พบอัมพาต  ประมาณ 1 ต่อ ประชากร 1000ราย อายุ 56-64ปี   พบอัมพาต  ประมาณ 1 ต่อ ประชากร 100 ราย อายุ 75-84 ปี   พบอัมพาต  ประมาณ 1 ต่อ ประชากร 50ราย อายุ มากกว่า 85 ปี พบอัมพาต  ประมาณ 1 ต่อ ประชากร 30 ราย นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ชาย มีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง ในช่วงอายุ 45-64 ปี แต่ถ้าอายุมากกว่า 65 ปีแล้ว โอกาสในการเกิดอัมพาต จะค่อนข้างเท่ากัน                                                     อะไรเป็นสาเหตุของอัมพาต จากการศึกษาพบว่า ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ  หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เบาหวาน สูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิด อัมพาตทั้งสิ้น  เช่น ·       ผู้ที่มี ความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นอัมพาตมากกว่า คนที่ไม่เป็นประมาณ 2-4 เท่า ·       ผู้ที่มี โรคหลอดเลือดหัวใจ มีโอกาสเป็นอัมพาตมากกว่า คนไม่เป็นประมาณ 1-3 เท่า  เป็นต้น  ดังนั้น การควบคุม ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง                      ทำอย่างไรจึงจะป้องกันอัมพาตได้ ดังได้กล่าวมาแล้ว  การควบคุมปัจจัยเสี่ยงล้วนสามารถป้องกันการเกิดอัมพาตได้ การป้องกันในระยะที่ยังไม่มีอัมพาตเป็นสิ่งที่แพทย์ สามารถให้คำแนะนำได้ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 45ปี ขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่จัด  มีประวัติเบาหวานในครอบครัวจำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต เอ็กซเรย์ปอด  คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจเลือดหาระดับน้ำตาล ไขมันตลอดจนการตรวจหาเชื้อ ซิฟิลิสในเลือด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งจะเป็นการทำให้เราทราบว่ามีโรคประจำตัวหรือไม่ เมื่อพบว่ามีโรคเหล่านี้ตั้งแต่ระยะแรกๆ จะทำให้การควบคุมและป้องกัน ผลแทรกซ้อนของโรคสามารถทำได้ง่าย       สำหรับผู้ป่วยบางรายที่มีโรคอัมพาตอยู่แล้ว และกำลังรักษาอยู่ สิ่งที่สำคัญก็คือ ทำอย่างไรให้อาการนั้นดีขึ้น และป้องกันไม่ให้เกิดอัมพาตซ้ำ  การควบคุมอาหาร เลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน ควรควบคุม อาหารรสหวานทุกชนิด  เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง  ผลไม้รสหวานทุกชนิด  อาหารจำพวกแป้ง เช่นข้าว  ขนมปัง เป็นต้น  แนะนำให้รับประทานผลไม้จำพวกส้ม หรือมะละกอ     ส่วนผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง  ถ้ามีไขมัน คลอเรสเตอรอลสูง ควรงดอาหารจำพวก ไข่แดง  ข้าวขาหมู  ข้าวมันไก่ ปลาหมึก หอยนางรม กุ้ง เป็นต้น แต่ถ้ามีไขมัน ไตรกรีเซอไรด์สูง  ควรงดอาหารจำพวกแป้งดังกล่าวมาแล้ว  นอกจากนี้ควรรับประทานยาและออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ  รวมทั้งหมั่นไปพบแพทย์ เป็นระยะๆ จะช่วยให้อาการเหล่านั้นดีขึ้น และยังป้องกันไม่ให้อัมพาตซ้ำ ผลที่เกิดกับผู้ป่วยอัมพาต ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตในระยะแรกพบว่าจะมีอาการเลวลงได้ถึง 30%ถ้ามีโรคแทรกซ้อน เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ปอดบวม หรือชัก ก็ยิ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นไปอีก ในช่วงเดือนแรก หลังเกิดอาการพบว่ามีอัตราตายถึง 25% และใน 1 ปีมีอัตรา ตายถึง 40%   โอกาสที่จะเป็นอัมพาตซ้ำในระยะ 1 เดือนแรกหลังเกิดอัมพาตพบได้ถึง 3-5 %  และ 10% ใน 1 ปี     เมื่อเราติดตามผู้ป่วยเหล่านี้ต่อไปจะพบว่า ผู้ป่วยจะไม่สามารถทำงานได้ถึง 50% ซึ่งในจำนวนนี้ มีถึง 25% ที่ต้องอยู่ในสถานพยาบาลเป็นเวลานาน นอกจากนี้ 30 %ของผู้ป่วยจะเกิดโรคสมองเสื่อมตามมา สรุป จะเห็นได้ว่า โรคอัมพาตเป็นโรคที่ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งในแง่ของตัวผู้ป่วยเอง ญาติพี่น้องที่จะต้องดูแลช่วยเหลือทำให้ มีผลกระทบต่อเศรษกิจในครอบครัวและส่วนรวม การป้องกันโรคอัมพาต สามารถทำได้ โดยการคอยตรวจสุขภาพ ร่างกายสม่ำเสมอ ก็จะช่วยเราสามารถมี ชีวิตที่มีความสุขช่วยเหลือตนเองได้ ไม่ต้องเป็นภาระของครอบครัว ด้วยความปรารถนาดี จาก รพ.วิภาวดี ที่มาของข้อมูล Thaiclinic.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
<