โรคเลือดจางธาลัสซีเมียคืออะไร

โรคเลือดจางธาลัสซีเมียคืออะไร    โรคเลือดจางธาลัสซีเมียคืออะไร  โรคเลือดจางธาลัสซีเมียเป็นโรคหนึ่งที่เกิดจากการที่ร่างกายมีหน่วยพันธุกรรมหรือยีนผิดปกติ สำหรับการสร้างส่วนของเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย โรคนี้เป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย พ่อและแม่จะเป็นผู้ถ่ายทอดยีนผิดปกตินี้ไปยังลูกพบผู้ป่วยเป็นโรคนี้ได้ทั่วโลก ในประเทศไทย มีผู้ป่วยโรคเลือดจางธาลัสซีเมียประมาณร้อยละ 1 ของประชากรและพบผู้ที่ยีนแฝง(พาหะ) ประมาณร้อยละ 40 ของประชากรคเลือดจางธาลัสซีเมียคืออะไร ผู้ที่เป็นพาหะหรือมียีนแฝงธาลัสซีเมียเป็นอย่างไร ผู้ที่เป็นพาหะหรือผู้ที่มียีนแฝงของธาลัสซีเมียอยู่ในตัว จะเป็นบุคคลที่มีสุขภาพดีเหมือนคนทั่วไป แต่สามารถถ่ายทอดยีนผิดปกติไปยังลูกได้ ตามแบบแผนการถ่ายทอดของยีน ทำอย่างไรเมื่อพบว่าคุณเป็นพาหะของโรค เมื่อคุณตรวจเลือดพบว่ามียีนแฝงธาลัสซีเมีย ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะแต่งงานไม่ได้ ก่อนจะแต่งงานชวนคู่ของคุณไปตรวจเลือดหายีนธาลัสซีเมีย ปรึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสเสี่ยงที่จะมีลูกเป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย แต่ถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์และตรวจเลือดพบว่ามียีนธาลัสซีเมีย ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อแพทย์จะได้ตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์ ก่อนคลอด เพื่อหลีกเลี่ยงการมีลูกเป็นเลือดจางธาลัสซีเมีย และวางแผนในการมีลูกคนต่อไป เด็กที่เป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย จะมีอาการอย่างไร ผู้ป่วย Thalassemia เด็กที่เป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย จะมีอาการ ซีด ตาเหลือง ตัวเหลือง ตับโต ม้ามโต แคระแกรน หน้าตาอาจเปลี่ยนแปลง จมูกแบน ฟันบนยื่นและท้องป่อง ร่างกายเติบโตช้ากว่าปกติ กระดูกเปราะหักง่าย จะเจ็บป่วยบ่อยๆ ทำให้ขาดเรียนเป็นประจำ ทั้งยังเป็นภาระของครอบครัว เพราะจะต้องเสียเงินค่าดูแลรักษาพยาบาลไปอีกนาน เพราะโรคนี้รักษายาก โรคเลือดจางธาลัสซีเมียแบ่งได้เป็นหลายชนิด 1.      ชนิดรุนแรงมาก ทำให้ทารกตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ 2.      ชนิดที่ทำให้ผู้ป่วยซีดมากต้องได้รับเลือดประจำ บางชนิดแทบไม่มีอาการผิดปกติ เพียงซีดเล็กน้อย ลูกของคุณมีโอกาสเสี่ยงแค่ไหนต่อการเป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย                                                   กรณีที่ 1 ถ้าคุณและคู่ของคุณเป็นพาหะหรือมียีนแฝงทั้ง 2 คนในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของคุณมี 1.โอกาสเป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย ร้อยละ 25 2.มียีนแฝงร้อยละ 50 3.ปกติ ร้อยละ 25 กรณีที่ 2 ถ้าคุณและคู่ของคุณมียีนแฝงคนใดคนหนึ่ง ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของคุณมีโอกาส 1.มียีนแฝง ร้อยละ 50 2.ปกติ ร้อยละ 50 กรณีที่ 3 ถ้าคุณหรือคู่ของคุณ เป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมียคนใดคนหนึ่ง อีกคนปกติ ในการตั้งครรภ์ทุกครั้ง ลูกของคุณทุกคนจะมียีนแฝง หรือเท่ากับ ร้อยละ 100 กรณีที่ 4 ถ้าคุณหรือคู่ของคุณเป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย คนใดคนหนึ่งและอีกคนมียีนแฝง ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกคุณมีโอกาส 1.      เป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย ร้อยละ 50 2.      มียีนแฝงร้อยละ 50 จะทราบอย่างไรว่า คนที่เราแต่งงานด้วยมียีนแฝงหรือไม่               ผู้ที่มียีนแฝงของโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย จะมีร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพดี เหมือนบุคคลทั่วไป ซึ่งมองภายนอก คุณจะไม่รู้เลยว่า บุคคลนั้นมียีนแฝงหรือไม่               คุณอาจสืบประวัติครอบครัวดูว่ามีใครบ้างที่ที่เป็นโรคนี้ ถ้าพบว่า มีลูกคนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ นั่นแสดงว่า พ่อ-แม่จะต้องมียีนแฝงทั้ง 2 คน  ถ้าคนที่คุณจะแต่งงานด้วยเป็นลูกของครอบครัวนี้ คนรักของคุณ อาจมียีนแฝงได้             ดังนั้นมีทางเดียวที่คุณจะรู้ได้ คือ ชวนคู่รักของคุณไปตรวจเลือด เสียค่าตรวจเพียงเล็กน้อย ถ้าผลเลือดที่ตรวจ พบว่า คู่รักของคุณมียีนแฝงคุณยังมีทางเลือกที่จะ ไม่ให้ลูก เป็นโรคเลือดจาง ธาลัสซีเมียได้  (อย่าลืมตรวจเลือดตัวเองด้วย) ผู้มียีนแฝงจะแต่งงาน มีลูกได้หรือไม่          แม้จะพบว่า คุณเป็นพาหะ ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะแต่งงานไม่ได้ ก่อนวันแต่งงาน ชวนคู่ของคุณ ไปตรวจเลือดหายีนธาลัสซีเมีย ปรึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาส ที่จะมีลูก เป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย         เพราะผู้ที่มียีนแฝง สามารถถ่ายทอดโรคนี้ไปสู่ลูกได้ ดังนั้นคุณและคู่ของคุณ จึงควรวางแผน ก่อนมีลูก แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าควรมีลูกได้หรือไม่ เมื่อเป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร             แม้ว่าโรคนี้ยังรักษาให้หายขาดได้ยาก ผู้ที่เป็นโรคนี้ ไม่ควรตื่นตกใจ เพราะบางรายอาจมีอาการ ไม่รุนแรง การปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง จะทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ  ดังนั้นจึงควรปฏิบัติดังนี้ 1.      รับประทานผักสด ไข่ นม หรือ นมถั่วเหลืองมากๆ 2.      ดื่มน้ำชาหลังอาหาร เพื่อลดการดูดซึมธาตุเหล็ก 3.      ควรตรวจฟัน ทุก 6 เดือน เนื่องจากฟันผุง่าย 4.      หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก หรือ การเล่น รุนแรง 5.      งดดื่มสุรา หรือ ของมึนเมา       6.   ถ้ามีอาการปวดท้องที่บริเวณชายโครงขวาอย่างรุนแรง มีไข้และตาขาวมีสีเหลืองมากขึ้น ควรไปพบแพทย์ ผู้ป่วยโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย ห้าม! กินยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็ก ผู้ที่เป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมียมีโอกาสหายหรือไม่ ผู้ป่วยโรคนี้ที่ยังอายุน้อยและไม่มีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง ตับม้ามไม่โตมาก ถ้ามีพี่หรือน้อง ที่มีเม็ดเลือดขาวที่เข้ากันได้ ก็อาจจะพิจารณาการปลูกถ่ายไขกระดูกทำให้หายจากโรคนี้ได้                      บทความจาก ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพเขต 1 กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข ขอบคุณที่มา Thaiclinic.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ยาสูบ

ยาสูบ    ยาสูบ       เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ายาสูบเป็นสิ่งเสพย์ติดให้โทษต่อร่างกาย แต่ทำไมปัจจุบันยังมีคนนิยมสูบกันอยู่มากมาย ทำไมยังมีจำนวนผู้เสพยาสูบใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าทุกๆฝ่ายต่างรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ (รวมทั้งยาสูบในรูปแบบอื่นด้วย ที่ใช้คำว่า "บุหรี่" เป็นเพราะว่าชนิดของยาสูบที่คนนิยมมากที่สุดก็คือบุหรี่) แต่ทำไมบุหรี่ยังขายได้ โดยเฉพาะในบางประเทศ เช่น อังกฤษ ที่มีกำแพงภาษีบุหรี่สูงมาก ทำให้มีผู้ลักลอบขนบุหรี่จากต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส มาขาย วัยรุ่นที่นี่ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายสูบบุหรี่กันมากมาย ดังที่ผมพยายามสังเกตในขณะที่ศึกษาอยู่ที่นี่ ก็พบว่าสัดส่วนของผู้หญิงต่อผู้ชายที่นิยมการสูบบุหรี่ที่อังกฤษสูงกว่าที่ประเทศของเราอย่างเห็นได้ชัด        ทำไมประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านการแพทย์ สังคมและวัฒนธรรมอย่างนี้ยังมีคนที่สูบบุหรี่อยู่มากมาย ทั้ง ๆ ที่ความรู้พื้นฐานของประชากรดีกว่าเรา แต่การตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ จึงดูไม่แตกต่างหรืออาจจะแย่กว่าเราด้วยซ้ำไป อะไรที่แฝงในเจ้าใบยาสูบแห้ง ๆ ที่คนเราจับเอามามวนแล้วห่อด้วยกระดาษเป็นแท่งเล็ก ๆ ที่จุดไฟแล้วมีควันออกมา จึงมีอิทธิพลมากมายพอที่จะเปลี่ยนโลกได้เหมือนอำนาจอื่น ๆ        บทความที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ผมพยายามเรียบเรียงจากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นบทความจากสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือ ตำราทางการแพทย์ และจากInternet เพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจ และแนะนำกันต่อ ๆ ไป เพื่อที่จะลดจำนวนผู้ที่ต้องทุกทรมานจากสิ่งเสพย์ติดนี้ อีกทั้งถ้ามีเวลาพอผมจะพยายามหาข้อมูลของอิทธิพลทางการค้าของบุหรี่ที่มีต่อประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศของเรา ดังที่เคยประสบเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว กรณีที่เราถูกบีบบังคับจากประเทศที่เรียกตัวเองว่าเป็นมหามิตรของเรา ให้นำเข้าบุหรี่จากประเทศตนเองมากขึ้น เนื่องจากไม่สามารถขายในประเทศของตนเองได้มากเหมือนเมื่อก่อน ประวัติ       ในบทแรกนี้ผมจะขอเล่าถึงประวัติความเป็นมาของบุหรี่ซะก่อนครับ จากนั้นผมจะเล่าถึงพิษภัยต่าง ๆ ของบุหรี่ นอกจากจะทำให้เป็นมะเร็งปอดและโรคถุงลมปอดโป่งพองอย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว บุหรี่ยังเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ ที่หลายท่านอาจจะคาดไม่ถึงด้วยซ้ำไป ผมจะนำมากล่าวในตอนต่อ ๆ ไปนะครับ แรกเริ่มเดิมทีชาวอินเดียนแดงในยุคก่อนที่ Christopher Columbus จะค้นพบทวีปอเมริกา รู้จักการบริโภคยาสูบกันมานานแล้ว ไม่ได้เป็นในรูปการสูบเป็นมวนบุหรี่หรือซิกา ร์แต่เป็นในรูปของการสูบจากกระบอกหรือ pipe เพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์ และการเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษเท่านั้น จนกระทั่ง Columbus เดินเรือมาพบทวีปอเมริกา ในปี1492 เขาจึงได้นำเอาใบและเมล็ดของต้นยาสูบมาตอนที่เดินทางกลับมายังยุโรป แต่ในยุคแรก ๆ นั้นยังไม่ได้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย และการนำมาใช้ก็ยังเป็นแค่เพื่อการรักษาโรคเท่านั้น จนกระทั่งประมาณตอนกลาง ๆ คริสตศตวรรษที่ 16 ยาสูบได้เข้ามายังประเทศฝรั่งเศส (ประมาณปี 1556) ในช่วงนี้มีบุคคลที่ทำให้คนเริ่มรู้จักยาสูบมากขึ้นก็คือนาย Jean Nicot ( Nicotine สารที่พบในยาสูบเรารู้จักกันดี ก็ตั้งตามชื่อของนายคนนี้) ได้นำยาสูบมารักษาอาการปวดศีรษะไมเกรนให้กับ Catherine de Medici, Queen of France นับจากนั้นมายาสูบจึงได้แพร่หลายในยุโรป ตามลำดับดังนี้คือปี 1558 เข้าไปในโปรตุเกส ปี1559 สเปน และ 1565 อังกฤษ ประเทศที่ทำให้การปลูกยาสูบและผลิตภัณฑ์จากใบยาสูบเป็นกิจการที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำมหาศาลในเวลาต่อมาก็คือประเทศอังกฤษ ซึ่งการค้าใบยาสูบในสมัยนั้นเป็นการผูกขาดของทางการราชสำนักของอังกฤษ เพราะนำเงินเข้าสู่คงคลังได้มากมาย ซึ่งอันนี้อาจรวมถึงสิ่งเสพย์ติดประเภทอื่นด้วยเช่นฝิ่น แต่การทำการเพาะปลูกเพื่อจุดประสงค์ทางการค้าจริง ๆ สำเร็จเป็นครั้งแรกโดยนาย John Rolfe ชาวอังกฤษในปี 1612 ใน Virginia และภายในเจ็ดปีให้หลังใบยาสูบก็เป็นสินค้าออกที่สำคัญของอาณานิคมอเมริกาในสมัยนั้น และประมาณสองศตวรรษต่อมาการทำไร่ยาสูบเป็นสาเหตุของความต้องการแรงงานทาสที่สำคัญของอเมริกา ในช่วงปี 1700 กว่าๆ ชนชั้นสูงในยุโรปนิยมบริโภคยาสูบในรูปแบบที่เป็นผงแล้วสูดเข้าทางจมูกคล้าย ๆแบบยานัตถุ์ (ภาษาอังกฤษเรียกว่า Snuff) มีเกร็ดความรู้เล็กน้อยที่บอกถึงความนิยมในสมัยนั้นก็คือ พระราชินีในสมัยของพระเจ้า George ที่ 3 ได้รับสมญานามว่า "Snuff Charlotte" และจักรพรรดิ Napoleon ใช้ Snuff น้ำหนักเฉลี่ยเดือนละ 7 ปอนด์ บทวิเคราะห์                                                                                                              บทวิเคราะห์ (ความเห็นส่วนตัว) จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของยาสูบก็จะเห็นได้ว่ามีความเกี่ยวพันกับผลประโยชน์มากมาย อีกทั้งยังมีส่วนชี้นำการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคมและการเมืองที่สำคัญ นั่นก็คือการค้าทาสของอเมริกา และในปัจจุบันก็มีส่วนในการทำให้เกิดภาวะทาสทางเศรษฐกิจและการค้าอีกด้วย นอกเหนือจากพิษภัยต่อสุขภาพโดยตัวยาสูบเอง ใบยาสูบ มีอะไรบ้าง ทำไมถึงมีผลต่อร่างกายมากมายขนาดที่เป็นปัญหาใหญ่ทางด้านสาธารณสุขของประเทศ ต้นยาสูบเป็นพืชที่สามารถขึ้นบนดินหลายสภาพ และสามารถเจริญงอกงามได้ในสภาพภูมิอากาศที่หลากหลาย เมื่อนำใบของมันมาทำให้แห้งก็สามารถนำมาผลิตเป็นสินค้าต่าง ๆ ดังที่ทราบกันดี ท่านทราบหรือไม่ว่ามีสารประกอบในใบยาสูบมากกว่า 4000ชนิด มีทั้งก๊าสต่างๆ สารประกอบเชิงซ้อน (compound substances) เช่น น้ำมัน tar, nicotine และ carbon monoxide สารที่สำคัญสามตัวที่จะขอกล่าวในที่นี้ก็คือ tar, nicotine และ carbon monoxide ตัวแรกให้โทษต่อร่างกายในฐานะที่เป็นสารก่อมะเร็ง ในขณะที่อีกตัวนั้นทำให้เสพย์ติด และอีกตัวเป็นก๊าสที่มีผลต่อการขนส่งอ๊อกซิเจนตามลำดับ Tar เป็นสารประกอบเชิงซ้อนที่ประกอบไปด้วยสารเคมีนับพันชนิดที่สามารถทำลายเนื้อปอดได้ ส่วนประกอบบางอย่างของ tar ที่กล่าวถึงคือ กรดต่าง ๆ แอลกอฮอล์ สารอัลดีไฮด์ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน และก๊าสอันตรายต่าง ๆ เช่น ไซยาไนด์ และ ไนโตรเจน อ๊อกไซด์ ล้วนแล้วแต่เป็นสารที่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายทั้งนั้น Nicotine เป็นสารที่พบเฉพาะในใบยาสูบเท่านั้น มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทแบบอ่อน ๆ โดยออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลางโดยตรง ทำให้ผู้ที่ใช้เกิดการติดได้ nicotine ก็เหมือนกับสารกระตุ้นอื่น ๆ คือทำให้หลอดเลือดเกิดการหดรัดตัว (vasoconstriction) ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น และทำให้ความอยากอาหารลดน้อยลง ถ้ารับเอา nicotine เข้าไปในปริมาณที่สูงมากก็จะทำให้เกิดมือสั่น หายใจเร็ว และอันนี้แปลกประหลาดมากเลยก็คือทำให้ปัสสาวะน้อยลง Carbon monoxide เป็นส่วนประกอบถึง 4 เปอร์เซนต์ของควันที่เกิดจากการเผาไหม้ของใบยาสูบ เป็นก๊าสที่ไม่มีทั้งสีและกลิ่น ทำให้เกิดการรบกวนของการแลกเปลี่ยนและการขนส่งอ๊อกซิเจนไปให้กับเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และมีความต้องการอ๊อกซิเจนสูงขึ้นทั้ง ๆ ที่รบกวนการขนถ่ายอ๊อกซิเจน นอกจากนี้ก็ยังทำให้Cholesterol เกาะที่หลอดเลือดได้ง่ายขึ้นด้วย อีกทั้งรบกวนการมองและการตัดสินใจ โทษและภัยของยาสูบ จากความรู้ดังกล่าวเราก็พอที่จะแยกโทษและพิษภัยของสารประกอบที่มีในใบยาสูบที่มีต่อร่างกายเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้หัวใจเต้นแรงและเร็ว ทำให้ cholesterol เกาะที่ผนังหลอดเลือดได้ง่าย ความดันโลหิตสูงขึ้น หลอดเลือดหดตัว ระบบทางเดินหายใจ ทำลายเนื้อปอดโดยตรง โดยเฉพาะถุงลมและทางเดินหายใจรบกวนการขนถ่ายอ๊อกซิเจนในระดับเซลล์ ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เสพย์ติด ต้องเสพมากขึ้นเรื่อย ๆ รบกวนการคิดและตัดสินใจ รบกวนการมองเห็น มือสั่นและหายใจเร็ว กระดูกและข้อ                                                      มีการศึกษาในสวีเดนเมื่อไม่นานมานี้ และตีพิมพ์ใน Archives of Internal Medicine 2001;161:983-988. พบว่าบุหรี่ เพิ่มโอกาสการเกิดกระดูกข้อสะโพกหักในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (postmenopause) ที่สูบบุหรี่มากกว่ากลุ่มที่ไม่สูบ ระบบทางเดินอาหาร ทำให้เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน โรคที่เกิดจากบุหรี่ โรคที่เกิดจากบุหรี่โดยตรง               1.ระบบหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต บุหรี่ทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบและลงเอยด้วยการเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตาย บุหรี่ยังทำให้เกิดความดันโลหิตสูง เส้นเลือดแข็ง (Atherosclerosis) แต่เปราะและแตกง่าย หลอดเลือดในสมองตีบตันหรือแตกได้ 2.ระบบทางเดินหายใจ บุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคถุงลมในปอดโป่งพอง หลอดลมตีบ มะเร็งกล่องเสียงและมะเร็งปอด 3.ระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดมะเร็งของผนังช่องปาก หลอดอาหาร และที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็เป็นจริงก็คือมะเร็งของตับอ่อน เนื่องจากสารพิษที่เกิดจากการสูบยาสูบนั้นสะสมในเลือดและก่อมะเร็งในตับอ่อนได้ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดโรคฝ้าขาวในปาก (leukoplakia) ซึ่งเป็นรอยโรคที่จะกลายเป็นมะเร็งในอนาคต (precancerous lesion) แต่ถ้ารักษาในระยะนี้ทันก็จะหายขาดไม่เป็นมะเร็ง 4.ระบบประสาท ทำให้เสพย์ติด และทำให้เกิดโรคทางสมองเฉียบพลัน (Stroke) ถ้าในระยะยาวก็ทำให้ก็การเคลื่อนไหวของร่างกายผิดปกติได้ เช่น มือสั่น หรือ Parkinsonism ซึ่งเป็นผลพวงจากการที่เซลล์สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้ตายไปจากการที่มีการตีบตันของหลอดเลือดสมองที่ไปเลี้ยงเซลล์เหล่านั้น 5.ระบบทางเดินปัสสาวะ บุหรี่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งของกระเพาะปัสสาวะด้วย ด้วยความปรารถนาดี จาก รพ.วิภาวดี ขอบคุณที่มา Thaiclinic.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เมื่อลูกน้อยเป็นโรคเท้าปุก... ต้องรีบปรึกษาแพทย์ก่อนสายเกินแก้

เมื่อลูกน้อยเป็นโรคเท้าปุก... ต้องรีบปรึกษาแพทย์ก่อนสายเกินแก้    เมื่อลูกน้อยเป็นโรคเท้าปุก... ต้องรีบปรึกษาแพทย์ก่อนสายเกินแก้        “โรคเท้าปุก” เป็นการผิดรูปของเท้าในเด็กแรกเกิดที่พบบ่อยที่สุดชนิดหนึ่งโดยมีโอกาสพบได้ประมาณ 1 ใน 1,000 ของเด็กแรกคลอดอาจแตกต่างกันไปเล็กน้อยตามเชื้อชาติ โดยรูปร่างเท้าจะมีลักษณะผิดรูปหลายอย่างร่วมกันแต่อาจสังเกตได้โดยมีลักษณะฝ่าเท้าบิดเข้าด้านใน ปลายเท้าโค้งเข้าและส้นเท้าจิกลง        โรคเท้าปุกนี้เป็นที่รู้จักและสนใจกันมาเป็นเวลานานแล้วโดยเราอาจแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ โรคเท้าปุกแท้ และ โรคเท้าปุกเทียม ซึ่งอาจแยกคร่าวๆ ได้โดยดูจากความรุนแรงของความผิดปกติที่พบ        โดย  โรคเท้าปุกเทียม จะพบว่าความผิดรูปของเท้ามีลักษณะนิ่ม เพียงการดัดเบาๆ ก็จะเห็นเท้าคืนรูปได้ เท้าปุกชนิดนี้เท้าไม่ได้มีความผิดปกติที่เกิดกับโครงสร้างของเท้าที่แท้จริง สาเหตุเชื่อว่าอาจเกิดจากการที่เด็กขดตัวอยู่ในท้องแม่เป็นเวลานานหรืออาจหาสาเหตุไม่พบเลย เท้าปุกแบบนี้สามารถหายเองได้หรืออาจใช้เพียงการเขี่ยเท้าเพื่อกระตุ้นให้เด็กขยับเท้าก็เพียงพอ        ส่วน  โรคเท้าปุกแท้  นั้น ความผิดปกติของรูปร่างเท้าจะรุนแรงกว่า เห็นได้ชัดเจนและแข็งไม่สามารถดัดให้เท้าคืนกลับมาอยู่ในรูปร่างปกติได้ เท้าปุกแบบนี้ไม่สามารถหายเองได้จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพราะหากทิ้งไว้จะก่อให้เกิดความผิดปกติหรือความพิการถาวรเกิดขึ้นได้ การแยกเท้าปุกทั้งสองแบบออกจากกันจึงมีความสำคัญหากไม่แน่ใจควรปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อในเด็ก  วิธีการรักษาโรคเท้าปุก        การรักษาโรคเท้าปุกมีการพัฒนามายาวนาน   มีทั้งการรักษาแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัด   ในปัจจุบันวิธีการรักษาที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือคือการรักษาโดยวิธีแบบ Ponseti หลักของการรักษาแบบนี้คือการดัดแก้ไขความผิดรูปของเท้าทีละน้อยร่วมกับการใส่เฝือก  โดยต้องเปลี่ยนเฝือกทุก 1-2  สัปดาห์และทำการดัดเท้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจจะประมาณ 6-8 ครั้งขึ้นกับความรุนแรง จนได้รูปเท้ากลับมาใกล้เคียงปกติ  และมักจะต้องร่วมกับการเจาะยืดเอ็นร้อยหวายในการใส่เฝือกครั้งสุดทาย   หลังจากเท้าได้รูปที่ดีแล้วยังคงต้องใส่อุปกรณ์ช่วยดัดเท้าในเวลาที่เด็กนอนหลับต่ออีก 3-4 ปีเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ การรักษาโดยวิธีนี้ควรเริ่มรักษาให้เร็วที่สุดจะได้ผลดีกว่า        แม้อาจฟังดูแล้วยุ่งยากและใช้เวลาแต่ก็เป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีและมีผลเสียน้อยที่สุด  โดยเฉพาะถ้าเทียบกับการผ่าตัดที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง  เช่นแผลเป็นที่แข็งและเจ็บหรือความเสื่อมของข้อต่อในเท้าก่อนเวลา  การผ่าตัดจึงจะทำในรายที่จำเป็นเท่านั้น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

3 สิ่งต้องห้ามกับการลดน้ำหนัก

3 สิ่งต้องห้ามกับการลดน้ำหนัก    3 สิ่งต้องห้ามกับการลดน้ำหนัก การมีเป้าหมายว่าต้องการลดน้ำหนักเป็นสิ่งที่ดี แต่เราก็ควรจะมีหุ่นที่ดีไปพร้อมสุขภาพที่ดีด้วย ดังนั้นจึงมีข้อห้ามบางประการที่ไม่ควรทำสำหรับแผนการลดน้ำหนักของคุณ มีอะไรบ้างมาดูกัน 1.      ลดน้ำหนักอย่างบ้าคลั่ง หรือหักโหมออกกำลังกาย น้ำหนักที่ลดลงเร็วจากการหักโหมออกกำลังกาย จะทำให้ร่างกายเกิดอาการอ่อนเพลียง่าย ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการไม่สมดุลจนร่างกายโทรม และเมื่อช่วงเวลาหักโหมของคุณผ่านไป จะยิ่งทำให้คุณหิวโซและกลับมากินมากขึ้นกว่าเดิม 2.      ชั่งน้ำหนักทุกวัน ควรมาทำความเข้าใจใหม่กับการลดน้ำหนักที่ถูกต้องก็คือ “การลดไขมัน” ไม่ใช่ “การลดน้ำหนัก” สรุปง่าย ๆ คือ เมื่อต้องการลดน้ำหนักคุณต้องกำจัดไขมันออกไป แม้น้ำหนักจะไม่ลดลง แต่หากร่างกายมีกล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน เราก็สามารถมีสัดส่วนที่กระชับและผอมเพรียวได้ ที่สำคัญมาดูที่ระดับการเต้นของหัวใจ หรือความแข็งแรงของสุขภาพเราที่ดีขึ้นจะดีกว่า 3.      ออกกำลังกายโดยไม่วางแผน ถ้าไม่ดีมีเทรนเนอร์ ก็ต้องมีแผนของเราเอง และรักษาระเบียบวินัยในการออกกำลังกายตามแผนการ ให้ร่างกายได้ปรับตัวไปพร้อม ๆ กับกิจกรรมระหว่างวันที่เปลี่ยนไป ถ้ารู้สึกว่าร่างกายเราเริ่มฟิตและคุ้นเคยแล้ว ก็ค่อยปรับแผนให้ยากขึ้น สู่เป้าหมายลดน้ำหนักได้อย่างประสบความสำเร็จ ที่มาของข้อมูล Cleothailand

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

5 วิธีการหายใจ ปรับเปลี่ยนชีวิตคุณ

5 วิธีการหายใจ ปรับเปลี่ยนชีวิตคุณ    5 วิธีการหายใจ  ปรับเปลี่ยนชีวิตคุณ หาก 1 ในเป้าหมายในปีนี้ของคุณ คือ การมีสุขภาพที่ดีขึ้นจากปีก่อน ๆ  ขอแนะนำกิจกรรมสำคัญที่จะช่วยให้สุขภาพกาย และสุขภาพใจของคุณดีขึ้น อย่าง “การหายใจ” มาลองทำแล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวของคุณเอง 1.      เมื่อรู้สึกเครียด  โดยปกติร่างกายจะตอบสนองด้วยการหายใจเร็ว ๆ สั้น ๆ แต่วิธีที่ถูกต้องจะช่วยผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ คือ การหายใจเข้าออกช้า ๆ ประมาณ 5 ครั้งต่อนาที 2.      เมื่อต้องการสมาธิ ให้เราโฟกัสที่ลมหายใจสั้น ๆ ประมาณ 20 ครั้งต่อนาที แต่ไม่เกิน 3-5 นาที ขณะหายใจออกจะช่วยดึงสมาธิของคุณกลับมาได้ 3.      ขณะกำลังวิ่ง ให้หายใจเข้าออกทางปากและจมูก ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยหล่อเลี้ยงออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อได้เหมาะสม 4.      ระหว่างการนั่งสมาธิ หายใจช้า ๆ หรือประมาณ 5 ครั้งต่อนาที ติดต่อกันประมาณ 5-10 นาที จะช่วยให้คุณละทิ้งความคิดที่กวนใจและมีสมาธิที่ดีขึ้น 5.      ก่อนจะนอน วางมือข้างหนึ่งไว้ที่หน้าอก อีกข้างวางไว้ที่หน้าท้อง หายใจเข้าผ่านจมูกประมาณ 2 นาที โดยพยายามให้ล้มเข้าไปในช่องท้อง ขณะหายใจออกให้กดหน้าท้องเบา ๆ ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายก่อนนอนได้   ที่มาข้อมูล Health.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

3 อาหารสำคัญ ที่กระดูกนั้นขาดไม่ได้

3อาหารสำคัญ ที่กระดูกนั้นขาดไม่ได้    3 อาหารสำคัญ   ที่กระดูกนั้นขาดไม่ได้       ร่างกายของเรามีกระดูกอยู่ประมาณ 206 ชิ้น ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยโครงสร้างของข้อต่อ เอ็น กล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน และอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งกระดูกจะคอยทำหน้าที่เป็นเหมือนแกนและจุดเชื่อมต่อให้กล้ามเนื้อสามารถเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน หรือนอน  ดังนั้นถ้ากระดูกและข้อมีปัญหาเมื่อไร ย่อมทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของเราแย่ลงแน่นอน ดังนั้นหากไม่อยากให้กระดูกมีปัญหา  3  สารอาหารเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้ แคลเซียม  เป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุดในร่างกายโดย 99% ของแคลเซียมอยู่ในกระดูกและฟัน นอกจากนี้แคลเซียมยังมีส่วนช่วยในการแข็งตัวของเลือดคอยดูดซึม เก็บรักษา เผาผลาญวิตามินเอ ซี ดี อี รวมถึงคอยควบคุม สมดุลกรด ด่างในร่างกาย แหล่งอาหารอุดมแคลเซียม นม ชีส โยเกิร์ต ปลาตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูกและผักใบเขียวเข้ม ถั่ว งา แต่ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้แค่ 30-40% เท่านั้น จึงต้องมีวิตามินดีมาเป็นตัวช่วย วิตามินดี ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่เป็นตัวสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน คอยควบคุมระดับแคลเซียมในเลือด  กระดูกและลำไส้แถมยังช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แหล่งอาหารอุดมวิตามินดี ปลาแซลมอน  ปลาทูน่า  นม  ตับ ไข่แดง เนย  เห็ดบางชนิด  หอยนางรม หรือให้ผิวหนังได้โดนแดดในช่วงสายและบ่ายวันละ 20-30 นาที รังสี UVB จะช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังผลิตวิตามินดีขึ้นมาได้ แมกนีเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง จำเป็นสำหรับการเติบโตของกระดูกและฟัน จะช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมจับตัวอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ไต แหล่งอาหารอุดมแมกนีเซียม กล้วย  พืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเปลือกแข็ง แต่ควรจะทานแต่พอดี เพราะมีไขมันอยู่ และมักจะให้พลังงานสูง                                               ที่มาของข้อมูล Cheewajtt.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

แครอท เพิ่มความฟิต

แครอท เพิ่มความฟิต     แครอท เพิ่มความฟิต บางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมในภาพยนตร์ต่างประเทศ  ตัวละครบางตัวก็ชอบหยิบแครอทออกจากตู้เย็นแล้วหั่นและรับประทานได้อย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่เรามีความรู้สึกว่าแครอทในตู้เย็นบ้านเรานั้นทั้งแข็งและสากเสี้ยน ถ้าไม่นำไปต้มให้สุกจะไม่สามารถรับประทานได้เลย จนกระทั่งมีโอกาสได้ลองรับประทานแครอทนำเข้าจากต่างประเทศนั่นล่ะ ถึงรู้ว่าของเขานิ่มกว่ารสหวาน ไม่เหมือนของบ้านเราที่ออกทางแข็งและฝากดม แต่ไม่ว่าจะแครอทนำเข้าหรือแครอทในประเทศ แครอทก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารมากวิตามินที่รับประทานแล้วดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการช่วยบำรุงสายตา เพราะอุดมไปด้วยสารเพต้าแคโรทีน หนึ่งในวิตามินที่ร่างกายต้องการ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ฟาลคารินอลป้องกันโรคมะเร็งโดยเฉพาะการก่อตัวของมะเร็งปอด ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือด เพราะมีสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งสารตัวนี้จะเข้าไปช่วยรักษาสมดุลระดับน้ำตาลในเส้นเลือดของเรา สุดท้ายก็คือช่วยในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เพราะแครอทมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งมีคุณสมบัติในการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเป็นปกติรวดเร็วมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรใส่แครอทลงไปเป็นส่วนประกอบของอาหาร และควรรับประทานแครอทเป็นประจำนั่นเอง ที่มา:หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

แนะนำคนไทยกินไข่ต้านโรคหัวใจขาดเลือด-สมองเสื่อม

แนะนำคนไทยกินไข่ต้านโรคหัวใจขาดเลือด-สมองเสื่อม    แนะนำคนไทยกินไข่ต้านโรคหัวใจขาดเลือด-สมองเสื่อม      ไข่ไก่ เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเพราะเต็มไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน ไข่ไก่ 1 ฟอง ที่น้ำหนักเฉลี่ย 50 กรัม จะให้พลังงาน 75-80 แคลอรีมีโปรตีนสูงถึง 7 กรัม โดยไข่ขาวมีน้ำหนัก 2 ใน 3 ของไข่ทั้งฟอง ประกอบไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูงประมาณ 12% สารสำคัญที่พบในไข่ขาว คือ Ovalbumin Ovoglobulin และ Phosphoprotein ซึ่งสารทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นองค์ประกอบของโปรตีนที่อุดมไปด้วยกรมอะมิโน 8 ชนิด ที่จำเป็นต่อร่างกาย      ส่วนไข่แดงมีน้ำหนักประมาณ 1 ใน 3 ของน้ำหนักไข่ ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ ไขมันที่มีอยู่ค่อนข้างมากในไข่แดงนั้นเป็นไขมันประเภทอิ่มตัว รวมถึงโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งมีคุณค่าเหมือนไขมันในปลาแซลมอน และปลาทะเล      แต่ด้วยความเข้าใจที่ว่าในไข่ไก่นั้นมีคอเลสเตอรอลค่อนข้างสูง โดยในไข่ 1 ฟอง มีปริมาณคอเลสเตอรอล 213 มิลลิกรัม ซึ่งอาจมีผลต่อการเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดได้ หากแต่การวิจัยเกี่ยวกับเรื่องไขมันและคอเลสเตอรอลในไข่ไก่ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แน่ชัดแล้วว่าไขมันและคอเลสเตอรอลในไข่ไก่มีผลเสียน้อยมากเมื่อเทียบกับไขมันจากแหล่งอื่น ๆ       ในไข่ไก่ 1 ฟองมีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายอาทิ วิตามินเอ วิตามินบี1 บี2 บี6 วิตามินดี โคลีน อิโนซิทอล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เป็นต้น โคลีนที่พบในไข่นั้นเป็นส่วนประกอบในสารที่เรียกว่า “เลซิติน” โดยปัจจุบันที่นิยมของผู้บริโภคที่มักทานในรูปอาหารเสริมสุขภาพ ช่วยบำรุงสมองและป้องกันภาวะความผิดปกติของระบบประสาท     สำหรับโคลีนอีกสารสำคัญในไข่ไก่ ผลวิจัยสรุปว่า ไข่แดงของไข่ไก่มีโคลีนอยู่ในปริมาณมากที่สุด ชนิดหนึ่ง มีผลโดยตรงต่อการเพิ่มประสิทธิภาพความจำ ความสามารถในการเรียนรู้ ช่วยชะลอการสูญเสียความทรงจำในผู้สูงอายุหรือโรคสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ อีกทั้งคลีนยังมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด และหลอดเลือดหัวใจ ช่วยชะลอความแก่อีกด้วย       วิธีการเลือกไข่ไก่ที่ดีนั้นต้องสังเกตลักษณะของไข่ ที่เปลือกต้องไม่มีรอยบุบ แตกร้าว มีรอยเปื้อน สีไข่สม่ำเสมอ สะอาด มีตรารับรองคุณภาพ มีแหล่งผลิตจากฟาร์มมาตรฐาน  ตรวจสอบวันหมดอายุให้แน่ชัด รู้วิธีการเก็บรักษาไข่ไก่ให้สดโดยอุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ที่ 4-8 องศาเซลเซียส จึงควรเก็บในตู้เย็นด้วยการนำไข่ไก่ด้านป้านขึ้นด้านบน และควรทานให้หมดภายใน 2 สัปดาห์      การทานไข่ไก่อย่างน้อยวันละ 1 ฟอง เท่ากับ 1 ปี คนไทยก็จะบริโภคไข่ไก่คนละ 365 ฟองเทียบเท่ากับที่ประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ นิยมบริโภคกัน ได้ประโยชน์จากสารอาหารและยังช่วยยับยั้งโอกาสในการเกิดโรคต่าง ๆ อีกด้วย ที่มา:หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เต้าหู้ เมนูเริ่มต้นคนรักสุขภาพ

เต้าหู้ เมนูเริ่มต้นคนรักสุขภาพ    เต้าหู้   เมนูเริ่มต้นคนรักสุขภาพ       หากถามว่าอาหารอะไรที่สามารถทดแทนเนื้อสัตว์ได้ดีที่สุด  นักโภชนาการทั้งหลายล้วนยกให้เต้าหู้คือทางเลือกอันดับหนึ่งของคนรักสุขภาพ เต้าหู้ก้อนเหลี่ยม ๆ ติดตราประทับด้วยอักษรจีน นั้นแปรรูปมาจากถั่วเหลืองล้วน ๆ จึงทำให้เต้าหู้เป็นแหล่งโปรตีน และสารเอสโตรเจนที่สำคัญต่อผู้หญิงในการรักษาระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย      ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนป้องกันมะเร็งเต้านม  และเสริมการทำงานของไตให้มีประสิทธิภาพ ด้วยธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม สังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินหลายชนิด      นอกจากนี้ โปรตีนจากถั่วเหลืองมีคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างคือ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์แล้ว ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจจึงเป็นอาหารนักโภชนาการแนะนำให้ผู้หญิงวัยทองรับประทาน เพื่อลดอาการข้างเคียงอันเนื่องมาจากปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงหลังจากหมดประจำเดือน      แต่ครั้นจะให้รับประทานถั่วงอกผัดเต้าหู้ทุกวันก็คงจะไม่ไหว ลองรับประทานเต้าหู้ย่าง ด้วยการนำเต้าหู้ไปหั่นบางแล้วปรุงรส ก่อนนำมาย่างให้หอมแล้วโรยด้วยงาขาวหรือรับประทานกับข้าวร้อน ๆ ก็อร่อยไปอีกแบบ      หรือจะลองห่อหมกเต้าหู้ โดยการผสมผสานระหว่างเต้าหู้ เห็ดนางฟ้า นำไปคลุกเคล้ากับพริกแกงแล้วปรุงรสรองพื้นห่อหมกด้วยกะหล่ำปลีและใส่ใบโหระพาเพิ่มความหอมก่อนจะนำไปนึ่ง แค่นี้ก็จะได้ห่อหมกเต้าหู้ทรงคุณค่าทางโภชนาการ แต่ถ้าไม่คิดอะไรมากหั่นแล้วนำไปใส่ในแกงพะโล้ แกงเขียวหวาน ผัดกะเพรา ยากิโซบะ และเมนูอื่น ๆ ประหนึ่งเป็นส่วนประกอบอาหารเสริมแค่นี้อาหารดี ๆ อย่างเต้าหู้ก็ไม่เป็นที่น่าเบื่ออีกต่อไป ที่มา:หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

มาควบคุมความดันโลหิตกันแบบง่าย ๆ

มาควบคุมความดันโลหิตกันแบบง่าย ๆ      สถิติองค์การอนามัยโลกพบผู้มีความดันโลหิตสูงถึง 1,000 ล้านคน ทำให้เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนทั่วโลก             สำหรับไทยพบอัตราป่วยและเข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ที่น่ากังวลคือ ผู้ที่เป็นร้อยละ  60  ในเพศชาย และ 40 ในเพศหญิงไม่เคยได้รับการวินิจฉัยมาก่อน  เนื่องจากไม่ทราบว่าตนเองเป็น เพราะจะไม่ปรากฏอาการชัดเจนในช่วงแรกแต่จะมีภาวะระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง             ค่าความดันปกติ ถือเอาค่าตัวบนน้อยกว่า 120 มิลลิเมตรปรอท  และค่าตัวล่างน้อยกว่า 80 มิลลิเมตรปรอท หากค่าดังกล่างสูงเกินกำหนดต่อเนื่องและไม่ได้รักษา แรงดันในหลอดเลือดที่สูงจะไปทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะสำคัญทั่วร่างกายทำให้เส้นเลือดแดงแข็ง ลดความเร็วการไหลเวียนเลือด-ออกซิเจนไปสู่หัวใจ             เป็นสาเหตุเกิดภาวะหัวใจวาย เส้นเลือดในสมองอุดตัน/แตก ทำให้พิการหรืออัมพาตได้             นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบทำให้ไตล้มเหลวหรือภาวะไตวาย             ทั้งนี้โรคนี้สามารถควบคุม-ป้องกันให้อยู่ในภาวะปกติได้โดยคุมอาหารที่มีเกลือสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ             ควรลดอาหารผ่านกระบวนการ อาหารสำเร็จรูป หมัก ดอง อาหารกระป๋อง อาหารขยะ  ซึ่งมีโซเดียมสูง เช่น ขนมถุง เบอร์เกอร์  ไก่ทอด  ไส้กรอก  เป็นต้น             ลดอาหารมีไขมัน-น้ำตาลสูง เพิ่มผลไม้หวานน้อย ลดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ ไม่เครียด ออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน เช่น ขึ้นบันไดแทนลิฟต์ เดินไปตลาด ทำงานบ้าน ฯลฯ             ควรตรวจคัดกรองอยู่เสมอ โดยตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง             สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่แล้วต้องรับประทานยาต่อเนื่องและพบแพทย์สม่ำเสมอ-วัดความดันโลหิตเป็นประจำพร้อมจดบันทึกใช้ชีวิตประจำวันได้เช่นคนปกติ ด้วยความปรารถนาดี จาก รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
<