ยาฆ่าเชื้อ (ปฏิชีวนะ) VS ยาแก้อักเสบ ต่างกันอย่างไร?

ยาฆ่าเชื้อ (ปฏิชีวนะ)  VS ยาแก้อักเสบ ต่างกันอย่างไร ? “ยาแก้อักเสบ” เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงต้องเคยมีประสบการณ์การรับประทานยากลุ่มนี้กันมาบ้าง เช่น เวลามีอาการเจ็บคอ, ท้องเสีย, ปัสสาวะแสบขัด หรือบาดแผล แล้วกรณีที่มีอาการเจ็บป่วย เช่น ข้ออักเสบ เอ็นอักเสบ รวมทั้งอาการกล้ามเนื้ออักเสบที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุในการทำงานหรือเล่นกีฬา ก็ได้รับยาแก้อักเสบเช่นกัน กรณีเหล่านี้ยาแก้อักเสบที่ได้รับ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ? ใช้แทนกันได้หรือไม่ ?   โดยทั่วไปปฏิกิริยาการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย มีสาเหตุได้มากมาย ทั้งที่มาจากการติดเชื้อ และไม่ใช่การติดเชื้อ การใช้ยาเพื่อรักษาการอักเสบ จึงต้องพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุใด               ในกรณีการอักเสบเกิดจากการติดเชื้อ เช่น เจ็บคอ, ท้องเสีย, ปัสสาวะแสบขัด, แผลอักเสบ ยาที่ได้รับจะเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเรียกอีกชื่อว่า “ยาปฏิชีวนะ” (Antibiotics) ตัวอย่างเช่น เพนิซิลลิน, เตตราซัยคลิน, ซัลฟา, คลอแรมเฟนิคอล, กานามัยซิน เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จำเป็นต้องรับประทานตามแพทย์สั่งจนครบชุด เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุดและป้องกันไม่ให้เชื้อดื้อต่อยา               ส่วนการอักเสบที่ไม่ใช่การติดเชื้อ ยาที่ใช้รักษาจะแตกต่างกันไปตามสาเหตุ เช่น กรณีกล้ามเนื้อ-เอ็นอักเสบจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ ยาที่ใช้รักษาจะเป็นยาที่ให้ผลต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) และมีฤทธิ์ระงับปวด โดยไม่มีผลในการยับยั้งเชื้อใดๆ ยากลุ่มนี้จะแบ่งออกเป็นกลุ่มสเตียรอยด์ (steroid) และไม่ใช่สเตียรอยด์ โดยทั่วไปจะเป็นกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ซึ่งเรารู้จักกันย่อๆว่า เอ็นเสด (NSAIDs: non-steroid anti-inflammatory drugs) ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Ibuprofen (ชื่อการค้า Brufen®, Gofen®), Diclofenac (ชื่อการค้า Voltaren®), Mefenamic acid (ชื่อการค้า Ponstan®) ที่ผู้หญิงมักคุ้นเคยกันดีเวลาปวดประจำเดือน หรือดั้งเดิมที่สุด คือ ทัมใจแอสไพริน (aspirin) ยาในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นยาที่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ควรรับประทานยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที และดื่มน้ำตามมากๆ   จะเห็นได้ว่า “ยาแก้อักเสบ” บางครั้งอาจหมายถึงยาปฏิชีวนะ แต่ในบางครั้งก็ไม่ใช่ การที่ใช้คำว่า “ยาแก้อักเสบ” จึงอาจสร้างความเข้าใจผิดได้ และเนื่องจากยาทั้ง 2 กลุ่มสามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไป อาจมีผู้ป่วยบางส่วนซื้อยาแก้อักเสบมาใช้เองอย่างผิดวัตถุประสงค์ สลับกันระหว่างยาฆ่าเชื้อและยาแก้อักเสบ ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นแล้ว ยังอาจทำให้ผู้ใช้ยาเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยานั้นๆอีกด้วย หรือในกรณีของข้อบ่งใช้และวิธีการใช้ ก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยอาการกล้ามเนื้ออักเสบ และได้รับยาแก้อักเสบ ซึ่งในกรณีนี้เป็นยาลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ โดยทั่วไปจะให้รับประทานจนอาการหายดีแล้วหยุดยาได้ การรับประทานยานี้ต่อเนื่องกันนานๆ นอกจากจะระคายเคืองทางเดินอาหารแล้ว อาจทำให้ความดันโลหิตสูง บวมน้ำ หรือเกิดภาวะไตวายได้ แต่ถ้าผู้ป่วยมีความเข้าใจผิดว่า “ยาแก้อักเสบ” ทุกตัวต้องรับประทานต่อเนื่องจนยาหมด จึงรับประทานยาลดการอักเสบกล้ามเนื้อต่อเนื่องจนยาหมด แม้ว่าอาการอักเสบปวดกล้ามเนื้อจะหายไปก่อนที่ยาจะหมดแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นการได้รับยาเกินความจำเป็น อันตรายจากการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ แพ้ยา : หากแพ้ไม่มากอาจมีอาการแค่ผื่นคัน ถ้ารุนแรงขึ้น ผิวหนังจะเป็นรอยไหม้ หลุดลอก หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต เกิดเชื้อดื้อยา : การกินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อกระตุ้นให้เชื้อแบคทีเรียกลายพันธุ์เป็นเชื้อดื้อยา ต้องเปลี่ยนไปใช้ยาปฏิชีวนะที่ใหม่ขึ้น แพงขึ้น ซึ่งเหลือให้ใช้อยู่ไม่กี่ชนิด สุดท้ายก็จะไม่มียารักษา และเสียชีวิตในที่สุด เกิดโรคแทรกซ้อน : ยาปฏิชีวนะจะฆ่าทั้งแบคทีเรียก่อโรคและแบคทีเรียชนิดดีมีประโยชน์ในลำไส้ของเรา เมื่อแบคทีเรียชนิดดีตายไป เชื้ออื่นๆ ในตัวเราจึงฉวยโอกาสเติบโตมากขึ้น ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ลำไส้อักเสบอย่างรุนแรง โดยผนังลำไส้ที่ถูกทำลายหลุดลอกมากับอุจจาระ อันตรายถึงชีวิต   ดังนั้น หากเกิดภาวะเจ็บป่วยไปพบแพทย์และได้รับยาแก้อักเสบมา ให้อ่านฉลากอย่างละเอียดให้เข้าใจ หากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อให้การใช้ยาได้ประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุดและมีความปลอดภัย   ภญ.ณัฐกร จริยภมรกุร เภสัชกร ประจำ รพ.วิภาวดี เอกสารอ้างอิง ทหน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผลในร้านยา; สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) Health Systems Research Institute 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การเสื่อมของข้อเข่านอกจากการใช้งานตามอายุยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย

การเสื่อมของข้อเข่านอกจากการใช้งานตามอายุยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย คุณรู้หรือไม่ข้อเข่ามีหน้าที่อย่างไร                 ปวดเข่าเป็นปัญหาที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์อยู่เสมอทั้งนี้เพราะเข่าเป็นข้อต่อของร่างกายที่ทำหน้าที่แบกรับน้ำหนักตัว เช่น ในขณะที่เรา  ยืน เดิน วิ่ง ฯลฯ ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้              ดังนั้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวข้อเข่า ไม่ว่าจะเป็นท่านั่ง ข้อเข่าจึงมีโอกาสเสื่อมสภาพได้ง่าย การรักษาอาจต้องเปลี่ยนข้อเข่า   สาเหตุของข้อเข่าเสื่อม                การเสื่อมของผิวข้อกระดูกอ่อนจากการใช้งานตามอายุที่มากขึ้นปัจจัยอื่นที่เข้ามาเกี่ยวข้อง 1.  กรรมพันธุ์ 2.  การใช้ข้อเข่าอย่างสมบุกสมบันมากเกิน 3.  การดูแลสุขภาพไม่ดีน้ำหนักตัวมากเกินไป 4.  เคยได้รับการบาดเจ็บหรือโรคภัยไข้เจ็บมาก่อน ทำให้เข่าเสื่อมเร็วขึ้น   รู้ได้อย่างไรว่าเริ่มมีข้อเสื่อมแล้ว   • เริ่มมีอาการปวดเข่าเวลามีแรงกดบนข้อเข่ามากขึ้น • นั่งเหยียดเข่า หรือนอนพักอาการปวดเข่าจะน้อยลง • ข้อเริ่มยึด เวลาตื่นนอนตอนเช้า พอเริ่มเดินไปแล้วอาการดีขึ้น • อาการปวดเข่า อาจจะไม่แน่นอน •เข่าเสื่อมมากขึ้น จะมีอาการปวดบวมมากขึ้น • ข้อเข่าเสื่อมเป็นมานานๆ เข่าอาจโก่งผิดรูป งอเหยียดได้น้อยลง กล้ามเนื้อต้นขาลีบลง     ข้อควรปฏิบัติ   1. การใช้ความเย็นหรือความร้อน • ใช้ความเย็นประคบในกรณีที่ปวดบวมเฉียบพลัน โดยเฉพาะในช่วง 24 ชั่วโมงหลังที่ได้รับบาดเจ็บ ห้ามนวด  ถู ดัด ในระยะนี้เด็ดขาด • ใช้ความร้อนประคบเมื่อเลย 24 ชั่วโมงไปแล้ว หรือในกรณีที่เป็นเรื้อรัง 2.พันผ้ายืดหรือใส่ที่พยุงเข่าเพื่อช่วยประคับประคองข้อเข่าเมื่อจำเป็นต้องเคลื่อนไหว 3.พักการใช้งานของข้อเข่า หรือใช้เครื่องช่วยเดิน เช่น ไม้เท้า เพื่อแบ่งเบาน้ำหนักตัวที่ข้อเข่าต้องแบกรับ 4.การถนอมข้อเข่า • การไม่ยืนเดินมากเกินไป • ขึ้น ลง บันไดเท่าที่จำเป็น • ลดหรือควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินไป • ไม่งอหรือพับข้อเข่ามากๆ เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งขัดสมาธิ พับเพียบ นั่งคุกเข่า เป็นต้น • ใช้เครื่องช่วยเดิน การออกกำลังกายเพื่อบริหารข้อเข่าให้แข็งแรงควรทำเมื่ออาการปวดทุเลาลงแล้ว   ท่าบริหารข้อเข่า   1.นอนหงาย            ใช้หมอนรองใต้เข่า เหยียดเข่าให้ตรง เกร็งค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วปล่อยทำสลับกัน ให้ทำข้างละ 10-20 ครั้ง 2.นั่ง            ทำได้โดยนั่งห้อยข้างบนเก้าอ้ หรือโต๊ะ เอามือยันพื้นเก้าอี้หรือโต๊ะไว้ หรือพิงพนัก (ถ้ามี) เหยียดข้อเข่าให้ยื่นออกมาตรงๆ เกร็งค้างไว้ 5-10 วินาที ทำข้างละ 10-20 ครั้ง 3.นอนคว่ำ            งอเข่าให้งอเข้าไป  เกร็งค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วเหยียดลง ข้างละ 10-20 ครั้ง 4.นอนหงายยกเข่าติดเตียง            นอนหงายเหยียดเข่าให้ตรง กดเข่าลงให้ติดเตียงเกร็งค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วปล่อยทำสลับกัน  ให้ทำข้างละ 10-20 ครั้ง การบริหารในแต่ละท่า หากทำได้ดีแล้วอาจใช้ถุงทราย ถ่วงที่บริเวณข้อเท้าโดยเริ่มจากน้ำหนักน้อยๆและจำนวนครั้งน้อยๆก่อน อาจเริ่มจากน้ำหนัก 0.5-2.0 กิโลกรัม ขึ้นกับวัยและสภาพของผู้ออกกำลังกาย            แต่ถ้าหากมีอาการปวดมากขึ้น หรืออาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ โดยแนวทางรักษามีหลายอย่าง รวมไปถึงการเปลี่ยนข้อเข่า

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

อาการปวดคอ... แก้ไขได้ ด้วยการบริหารที่ถูกวิธี

อาการปวดคอ... แก้ไขได้ ด้วยการบริหารที่ถูกวิธี สาเหตุของอาการปวดคอ   1.         กลุ่มอาการเนื้อเยื่อกล้ามเนื้ออักเสบ มีจุดกดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อคอด้านข้างแนวกระดูกสันหลังใต้ท้ายทอย ทำให้ปวดบริเวณต้นคอร้าวขึ้นไปที่ศีรษะ ทำให้มีอาการปวดศีรษะร่วมด้วยได้ พบประมาณ 90 %  2.         มีแรงกระแทกต่อกระดูกต้นคอทางตรงและ ทางอ้อม เช่น อุบัติเหตุต่างๆ 3.         มีการเสื่อมของกระดูกต้นคอตามอายุ ทำให้มีหินปูนเกาะรอบขอบกระดูกไประคายเคืองเส้นประสาทคอปวดร้าวตามไหล่แขนได้พบประมาณ 5 %  4.         จากอิริยาบถของคอไม่ถูกต้อง เช่น นั่งก้มหน้าทำงานนานๆ หรือ เงยหน้านานๆ ทำให้มีความรู้สึกเมื่อยล้าได้ นอนหมอนสูงเกินไป  กึ่งนั่งกึ่งนอนดูทีวี 5.         ภาวะเครียด หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ   อาการและอาการแสดง   1.         มีอาการปวดคอ อาจมีปวดร้าวลงมาตามบ่า ไหล่ แขน มือ หรือสะบักข้างใดข้างหนึ่ง 2.         อาจมีอาการชาตามแขนหรือนิ้วมือร่วมด้วย ความรู้สึกอาจเปลี่ยนแปลงไป 3.         เคลื่อนไหวคอได้น้อยลง ตึงหรือ ปวดๆ ขัดๆ ถ้าเคลื่อนไหวจนสุด 4.         มีอาการเกร็งแข็งของกล้ามเนื้อต้นคอ หรือมีจุดกดเจ็บบริเวณท้ายทอย ต้นคอ บ่า 5.         อาจมีอาการปวดศีรษะตื้อๆ   ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัว เมื่อมีอาการปวดคอ   1.         นอนหลับ อย่าหนุนหมอนสูงเกินไปหรือหนุนในลักษณะที่ผิดแนวของกระดูก เช่นนอนพาดโซฟา หรือ ม้านั่งหมอนควรรองรับศีรษะต้นคอและบ่าเล็กน้อยถ้าลองสอดมือไม่ควรมีช่องว่างใต้คอ 2.         ไม่ควรสะบัดต้นคอแรงๆ หรือหมุนคอเร็วๆ 3.         ประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาด 20-30 นาที หรือใช้แผ่นร้อนประคบบริเวณต้นคอพร้อมกับการบริหารต้นคอร่วมด้วย 4.         ถ้าต้องนั่งทำงานนานๆ ควรจะมีเวลาพักเพื่อช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อหรือบริเวณต้นคอสลับกับการทำงาน 5.         ปรับเครื่องใช้สำนักงานให้เหมาะสม เช่น จอคอมพิวเตอร์ ต้องอยู่ระดับสายตา 6.         ผู้ที่นั่งขับรถ ควรจะมีพนักพิงรองที่ต้นคอและศีรษะ 7.         ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์   การบริหารต้นคอ            เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของคอและเพิ่มความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อต้นคอให้มีแรงพยุงข้อต่อของคอให้แข็งแรงขึ้น 1.         ก้มและเงยศีรษะช้าๆ กลับมาหน้าตรง 2.         หน้ามองตรง เอียงคอไปด้านข้างหูแนบไหล่มากที่สุด สลับซ้าย-ขวา 3.         หน้ามองตรง ค่อยๆหันหน้าไปทางขวาช้าๆ มองตรงสลับไปทางขวาช้าๆ  หมายเหตุ : แต่ละท่าควรทำ 10 ครั้ง 4.         บริหารเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เป็นการเกร็งกล้ามเนื้อต้านกันระหว่างมือกับศีรษะโดยไม่มีการเคลื่อนไหว เกร็งค้างไว้ 5-10 วินาที -           บริหารกล้ามเนื้อคอด้านหน้า-ด้านหลัง        มือผลักหน้าผากเกร็งศีรษะต้านแรงกันโดยให้หน้าตรง      ใช้ฝ่ามือดันท้ายทอยมาข้างหน้าเกร็งศีรษะต้าน หน้าตรง -           บริหารกล้ามเนื้อต้นคอด้านข้าง                    • ใช้สันมือดันเหนือกกหูเกร็งศีรษะสู้แรงหน้าตรงซ้าย-ขวา -           บริหารกล้ามเนื้อสำหรับหมุนคอ                    • ใช้สันมือยันขากรรไกรครึ่งด้านหน้าออกแรงผลักเหมือนหน้าจะหมุนเกร็งสู้หน้าตรง -           ยืดกล้ามเนื้อลดความตึงเครียด    ยือกล้ามเนื้อต้นคอ –บ่า • นั่งเก้าอี้ มือยึดขอบเก้าอี้ อีกมือวางที่ด้านข้างศีรษะให้ศีรษะก้มลงและเอียงไปหาไหล่ตรงข้าม กดยืดให้รู้สึกตึง ค้างไว้ 10 วินาทีกลับมาหน้าตรง •ก้มศีรษะมือประสานกันกดด้านหลังศีรษะส่วนบนกดค้างไว้ 10 วินาทีค่อยๆผ่อนแรงกด ทำซ้ำ   ยืดกล้ามเนื้อสะบัก • มือพาดไหล่ด้านตรงข้าม ใช้มือดันที่ข้อศอกออกแรงไปด้านหลังค้างไว้ 10 วินาที • ยกแขนข้างที่จะยืดแตะสะบักด้านตรงข้ามมืออีกข้างออกแรงดันบริเวณข้อศอกไปด้านตรงข้ามรู้สึกตึงบริเวณท้องแขนและสะบัก • ทำท่าละ 10 -15 ครั้ง วันละ 3 เวลา

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

5 ข้อควรรู้ก่อนทานทุเรียน

5 ข้อควรรู้ก่อนทานทุเรียน            มีใครทราบหรือไม่คะว่า "ทุเรียน" ถึงจะอร่อยดีมีประโยชน์ แต่หากไม่ถูกวิธีก็เป็นอันตรายต่อชีวิตได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก่อานทานทุเรียน เรามาอ่าน “5 ข้อควรรู้ก่อนทานทุเรียน” กันก่อนดีกว่าค่ะ   1. ทุเรียน เป็นผลไม้ที่แคลอรี่สูง เพราะทุเรียน 4-6 เม็ด ให้ปริมาณแคลอรี่ถึง 400 กิโลแคลอรี่ เทียบเท่าน้ำอัดลม 2 กระป๋อง หรือข้าว 1 จานเต็มๆ เพราะฉะนั้นทานเพลินระวังน้ำหนักขึ้นนะเออ 2. ทุเรียน มีปริมาณน้ำตาลสูงมากอีกเช่นกัน ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง  3. นอกจากผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้ว ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง หัวใจ เส้นเลือด และไขมันในเลือด ควรทานทุเรียนให้น้อยที่สุด 4. ทุเรียน เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน ทานเพียวๆ ก็มีฤทธิ์ร้อนอยู่แล้ว หากทานพร้อมกับแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเหล้า เบียร์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใดๆ ก็ตาม จะยิ่งทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายมากขึ้น ร่างกายจะเกิดความร้อนสูง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ 5. ในเมื่อทุเรียนให้พลังงานสูง ดังนั้นมื้อใด หรือวันไหนที่ทานทุเรียน ควรหลีกเลี่ยงอาหารอื่นๆ ที่ให้พลังงานสูงด้วยเช่นกัน เช่น อาหารประเภททอด อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ อาหารหวานมันอื่นๆ หรือลองลดปริมาณอาหารลงส่วนหนึ่งในมื้อถัดไป ถ้าเป็นไปได้ควรออกกำลังกายเพิ่มด้วย เพื่อเผาผลาญพลังงานที่ได้รับเพิ่มเข้าไป   เราไม่ได้ห้ามว่า ห้ามทานทุเรียน แต่ก่อนทานทุเรียนจะต้องมีสติให้มากๆ รู้ตัวว่าทานไปมากเท่าไรแล้ว ห้ามปากห้ามใจตัวเองได้ พร้อมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากทำได้ตามนี้ รับรองว่าทานทุเรียนได้อิ่มอร่อย ปลอดภัยต่อร่างกาย ไม่มีเรื่องต้องกังวลใจแน่นอนค่ะ   ข้อมูลจาก : www.sanook.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

12 เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับการ บริจาคเลือด

12 เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับการ “บริจาคเลือด” หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าการบริจาคเลือด มีประโยชน์ในเรื่องของการได้ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่ต้องการเลือดเพื่อรักษา แต่นอกจากได้อิ่มอกอิ่มใจที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นแล้ว การบริจาคเลือดยังมีข้อมูลที่น่าสนใจที่คุณอาจไม่เคยรู้อีกเพียบ   12 เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับการ “บริจาคเลือด”   1. ใครที่คิดว่าเห็นคนไปบริจาคเลือดกันหลายคน คิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว ขอบอกเลยว่าคิดผิด เพราะปัจจุบันมีความต้องการใช้เลือดในแต่ละวันสูงถึง 5,000 ยูนิตต่อวัน แต่ตอนนี้เลือดที่ได้รับบริจาคมามีเพียง 2,000 ยูนิตต่อวันเท่านั้น 2. ที่เห็นไปรอคิวบริจาคเลือดกันมากมาย จริงๆ แล้วเป็นเพียง 3% ของประชากรไทยทั้งประเทศเองนะ แล้วมันจะไปพอที่ไหน จริงไหม? 3. เลือดที่เราบริจาคไปในแต่ละครั้ง สามารถแยกออกมาใช้งานได้หลายส่วน ทั้งเกล็ดเลือด พลาสมา และเม็ดโลหิตแดง เราไม่ได้ใช้เลือดเพื่อการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยแต่เพียงอย่างเดียวนะ 4. แต่ถึงอย่างไร ผู้ป่วยที่ต้องการใช้เลือดมากที่สุด ก็หนีไม่พ้นกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดใหญ่ หรือประสบอุบัติเหตุ แล้วประเทศเราก็ประสบอุบัติเหตุกันบ่อยเสียด้วยสิ 5. การบริจาคเลือดช่วยกระตุ้นการทำงานของไขกระดูกให้สร้างเม็ดโลหิตใหม่ๆ ที่มีคุณภาพมาหมุนเวียนใช้บำรุงร่างกาย เป็นการเปลี่ยนถ่ายเลือดเก่า เลือดใหม่ได้อย่างมีประโยชน์ และปลอดภัยที่สุด 6. เมื่อเราได้เปลี่ยนถ่ายโลหิตเก่า-ใหม่ ส่งผลให้เลือดใหม่ที่ไปหล่อเลี้ยงตามร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสยิ่งขึ้น 7. หากคุณตั้งใจจะบริจาคเลือดเป็นประจำตามที่สภากาชาดแนะนำ นั่นหมายความว่าคุณจะต้องดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองให้สมบูรณ์แข็งแรงตลอดเวลา ต้องระวังเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อน ไม่เครียด เลยทำให้กลายเป็นคนที่มีสุขภาพดีไปโดยธรรมชาติ   8. เมื่อร่างกายแข็งแรง ก็ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่ใครๆ ก็กลัวอย่าง โรคมะเร็ง ซึ่งคนที่บริจาคเลือดจะมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคร้ายอย่างมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่เคยบริจาคเลือดด้วยนะ   9. สุขภาพจิตดีตามไปด้วย เมื่อเรารู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรดีๆ เพื่อคนอื่น ความสุขใจ อิ่มเอมใจ จะส่งผลต่อจิตใจของเราที่รู้สึกว่าตัวเองมีค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ได้ทำอะไรดีๆ เพื่อสังคม ลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้าได้ด้วย 10. เราบริจาคเลือดได้สูงสุด 4 ครั้งต่อปีเลยนะ (โดยที่ไม่ทำให้ร่างกายเราได้รับอันตรายใดๆ) หรือทั้งชีวิตเราบริจาคเลือดได้มากถึง 212 ครั้งเลยทีเดียว 11. กรุ๊ปเลือดที่ต้องการมากที่สุดก็คือ กรุ๊ป AB ตามมาด้วยกรุ๊ป A, B และ O ตามสัดส่วนของประชากรในประเทศ 12. เคยได้ยินเรื่องกรุ๊ปเลือดแบบ negative ไหม หากใครที่มีกรุ๊ปเลือด Rh- นั่นหมายความว่าคุณใช้เลือดโดยส่วนใหญ่ที่คนไทยมีไม่ได้ (เราเรียกระบบหมู่โลหิตนี้ว่า Rh- ส่วนใหญ่คนไทยมีหมู่เลือดเป็น Rh+ แต่จะพบ Rh- มากขึ้นในชาวต่างชาติ) ใครที่รู้ตัว หรือรู้จักคนที่มีหมู่เลือด Rh- ชวนไปบริจาคเลือดด้วยกันด่วนๆ เลย เพราะกรุ๊ปเลือดนี้ถือว่าเป็นกรุ๊ปเลือดหายาก และพิเศษมากจริงๆ   ที่มา : www.sanook.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การประคบอุ่นเปลือกตา การนวดเปลือกตา การฟอกเปลือกตา เพื่อการรักษาเปลือกตาอักเสบ

การประคบอุ่นเปลือกตา การนวดเปลือกตา การฟอกเปลือกตา เพื่อการรักษาเปลือกตาอักเสบ โรคต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตันและเปลือกตาอักเสบ(Eyelids Spa)   อาการ           ผู้ป่วยจะมีอาการคันที่เปลือกตา ระคายเคือง  แสบตา รู้สึกตาแห้ง ต้องกระพริบตาบ่อย ๆ ภาวะนี้จะมีอาการมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น สาเหตุ          เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันที่เปลือกตาและการอักเสบที่ขอบเปลือกตา ตามปกติที่ขอบเปลือกตาจะมีรูเปิดของต่อมไขมัน ซึ่งจะมีการขับน้ำมันออกมาตามธรรมชาติ เพื่อเคลือบชั้นน้ำตา ให้มีความคงตัวไม่ระเหยเร็ว ดังนั้น ผู้ที่มีต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตัน จึงมีภาวะตาแห้งร่วมด้วย   การรักษา การทำความสะอาดเปลือกตา (Eyelid Hygiene)           ทำเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้ผู้ป่วยสบายตา ลดการใช้ยาและน้ำตาเทียม การดูแลประกอบด้วย 1.การประคบอุ่น (Warm Compression)            สามารถใช้เครื่องแว่นประคบอุ่นหรือประคบอุ่นด้วย Commercial hot pack, ผ้าขาวบางห่อข้าวสวย ไข่ต้มสุก ผ้าชุบน้ำอุ่น ประคบนาน 5 นาที เพื่อให้ไขมันอ่อนตัวลง กลายเป็นน้ำมันเหลว ๆ  อุณหภูมิที่ใช้ประคบประมาณ 40 องศาเซลเซียส การทดสอบก่อนประคบ ให้นำอุปกรณ์ที่เตรียมไว้นำมาวางบนหลังมือ ไม่ควรร้อนเกินไป ให้เรารู้สึกร้อนเป็นพอ เพราะถ้าร้อนมากจะเป็นอันตรายต่อดวงตา หากอุปกรณ์ที่นำมาประคบมีอุณหภูมิลดลงมาก ควรนำมาอุ่นใหม่ แล้วประคบต่อจนครบเวลา ดังนั้น ควรมีอุปกรณ์สำรองสำหรับประคบอุ่น ทำวันละ 2 รอบ เช้าและเย็น   2.การนวดเปลือกตา ( Eyelid Massage)            เมื่อไขมันละลายดีขึ้น หากช่วยรีดตามรอยของต่อมโดยปลายนิ้วทำนาน 1 นาที รีดจากบนลงล่างสำหรับเปลือกตาบน และรีดจากล่างขึ้นบนสำหรับเปลือกตาล่างไปหารูเปิดของต่อม Meibomian ทำให้ไขมันออกได้ง่ายขึ้น   3.การฟอกเปลือกตา (Eyelid Scrub)           สามารถใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะดวงตา หรือสบู่เหลวเด็กแชมพูสระผมเด็กผสมกับน้ำ การทำความสะอาดตานี้จะช่วยควบคุมโรค ลดแบคทีเรียที่สะสมออก ลดต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตันและเปลือกตาอักเสบให้อาการโดยรวมดีขึ้น   ด้วยความปรารถนาดี จากแผนกจักษุและเลสิค รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

กิน ดื่ม ขยับ ปรับอารมณ์

กิน ดื่ม ขยับ ปรับอารมณ์    ทำไมน้ำหนักไม่ลด? ทำไมหน้าท้องยื่น? เป็นคำถามกวนใจของสาวๆที่มีน้ำหนักเกิน  แต่คำตอบไม่ใช่แค่การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป  ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการจากเนสท์เล่  เปิดเผยเคล็ดลับที่สาวๆอาจไม่รู้  ทั้งเรื่องการกิน  ดื่ม  ขยับ  และปรับอารมณ์  ที่จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น เทคนิคการสร้างสุขภาพดีด้วยการ ‘กิน-ดื่ม’ รับประทานอาหารเช้าในปริมาณที่มากกว่ามื้ออื่น             อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดในแต่ละวัน  เพราะเป็นแหล่งที่มาของพลังงานซึ่งเราจำเป็นต้องใช้  ในการทำกิจกรรมมากมาย  ไม่เพียงเท่านั้น  อาหารเช้ายังมีประโยชน์ที่หลายคนคาดไม่ถึงอีกมาก  อาทิ ·คนที่งดอาหารเช้ามีสิทธิ์อ้วนได้มากกว่าคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำถึง 4.5 เท่า  เพราะว่า  ตั้งแต่มื้อดึกมาจนถึงเช้าวันใหม่  เราไม่ได้ทานอะไรมาเกือบ 12 ชั่วโมง  หากยิ่งไม่ทานมื้อเช้า  ซึ่งเป็นมื้อแรกของวัน  จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง  จนไปเพิ่มแนวโน้มในการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น  ในขณะที่มีเวลาในการเผาผลาญพลังงานน้อยลง  จึงเป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินและอาจเป็นโรคอ้วนได้อย่างไม่รู้ตัว ·ผู้หญิงที่รับประทานอาหารเช้าซึ่งมีปริมาณแคลลอรี่มากกว่ามื้ออื่นๆจะสามารถควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่า ·เด็กที่ทานอาหารเช้าเป็นประจำจะมีทักษะความจำที่ดีกว่า  และมีสมาธิในการเรียนรู้ที่ดีกว่า  จากการศึกษาวิจัยพบว่า  การทานอาหารเช้าจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอและมีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้หรือการทำงาน  ทำให้ระบบความจำ  ทักษะการเรียนรู้  และอารมณ์ดีขึ้น  แต่หากขาดพลังงานจากอาหารมื้อเช้าร่างกายจะขาดพลังงานจำเป็น  สมาธิลดน้อยลง  สมองทำงานไม่ได้เต็มที่  หากขาดอาหารเช้าเป็นประจำอาจส่งผลต่อสติปัญญาและมีผลเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน             ร่างกายเราประกอบด้วยน้ำถึง 70%  โดยทุกเซลล์มีน้ำเป็นองค์ประกอบ  ฉะนั้นการดื่มน้ำที่น้อยเกินไปอาจทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการร่างกายเรียกร้องขอน้ำโดยอัตโนมัติ  จึงเกิดเป็นปัญหาสุขภาพหรือโรคภัยไข้เจ็บได้  เทคนิคง่ายๆ สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศคือวางน้ำเปล่าไว้ข้างกายให้จิบดื่มได้ตลอดทั้งวัน  เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายอยู่เสมอ ·ปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคนคือ  น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) x 33 = ปริมาณน้ำ (มิลลิลิตร) ·ปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสมโดยเฉลี่ยคือ 2  ลิตรต่อวัน ‘ลด’ ปริมาณ  แต่ไม่  ‘งด’  มื้อเย็น             หลายคนมีความเข้าใจที่ผิดคือเลือกที่จะงดรับประทานอาหารมื้อเย็นเพื่อเป็นการควบคุมน้ำหนัก  แต่ในความเป็นจริงคือเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารให้ครบตามที่ร่างกายต้องการตลอดทั้งวัน  เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานใช้อย่างต่อเนื่อง  ดังนั้น  เราจึงควรเลือกทานอาหารมื้อเย็นให้ถูกวิธี  คือ  ควรทานอาหารมื้อเย็นก่อนเวลาเข้านอน 3 ชั่วโมง  เพื่อป้องกันไม่ให้กระบวนการย่อยและดูดซึมสารอาหารไปกระทบช่วงเวลาการพักผ่อนของร่างกาย  แค่ลดปริมาณที่รับประทานในมื้อเย็นก็เป็นประโยชน์แล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น  ควรให้ความสำคัญในการเลือกทานอาหารที่ย่อยง่ายไขมันต่ำ  เช่น  เนื้อปลา  และผักผลไม้หลากหลายชนิด  ซึ่งมีสารอาหารแตกต่างกันไป ‘ลด’ ปริมาณน้ำตาลที่รับประทานในแต่ละวัน             ไขมันส่วนเกินสะสมไม่ได้เกิดจากการทานอาหารประเภทไขมันในปริมาณที่มากเกินไปเท่านั้น  แต่ส่วนหนึ่งมาจากการทานน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป  เนื่องจากกลไลของร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลที่เหลือจากการใช้พลังงานให้กลายเป็นไขมันสะสม  น้ำตาลจึงเป็นหนึ่งสาเหตุของปัญหาสุขภาพและโรคอ้วน  ดังนั้น  เราจึงควรควบคุมปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายรับเข้าไป  เลือกชนิดอาหารที่มีความหวานน้อยกว่า  โดยเปรียบเทียบกับการอ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปทุกชนิด  เพื่อช่วยให้เราสามารถเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะกับความต้องการของร่างกายเรา วิธีการคำนวณปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มง่ายๆเพียงแค่น้ำค่าน้ำตาล (กรัม) ที่ระบุฉลากโภชนาการมาหารด้วย 4 กรัม เราจะทราบว่าในผลิตภัณฑ์นั้นๆ  มีน้ำตาลอยู่ประมาณที่ช้อนชาต่อ 1 หน่วยโภชนาการ เทคนิคการสร้างสุขภาพดีด้วยการ ‘ขยับ’ ·ผลวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นพบว่า  หากรับประทานอาหารอิ่มแล้วเดินทันที  30  นาที  จะช่วยป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นสูงเกินไป  รวมถึงการป้องกันการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมันได้ดีกว่า  เมื่อเปรี่ยบเทียบกับคนที่เดินในระยะเวลาเท่ากันหลังประทานอาหารไปแล้ว 1 ชั่วโมง ·เพิ่มโอกาสในการออกกำลังกายด้วยการตื่นเช้าขึ้นสัก 15 นาที  แล้วขยับเคลื่อนไหวด้วยการเต้นไปกับเพลงสนุกๆ  เป็นการปลุกร่างกายให้ตื่นตัวก่อนออกไปทำกิจกรรมอื่นๆ ตลอดทั้งวัน ·ขยับเปลี่ยนท่านั่ง  หรือลุกเดินเคลื่อนไหวระหว่างวันทำงาน  การนั่งในท่าติดต่อกันเป็นเวลานานจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้   เทคนิคการสร้างสุขภาพที่ดีด้วยการ  ‘ปรับอารมณ์’             เมื่อสุขภาพร่างกายแข้งแรงแล้ว  อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้นั่นคือความสุขใจ  เราสามารถหาวิธีผ่อนคลายให้ตนเองในแต่ละวันด้วยการพักผ่อนสายตาระหว่างทำงาน 5-10 นาที  ทุกๆ 2 ชั่วโมง  อีกหนึ่งวิธีลดความเคลียดแบบง่ายๆคือ “การกอดคนที่เรารักและไว้ใจ”  เพราะสัมผัสการกอดมีผลต่อการเพิ่มการหลั่งสารอ๊อกซิโตซิน (Oxytocin)  ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความผูกพัน  เพิ่มภูมิคุ้มกัน  ทั้งยังกระตุ้นการตื่นตัวได้ดี                             ด้วยความปรารถนาดีจาก รพ.วิภาวดี                  ขอบคุณที่มาจาก: นิตยสาร Health Plus@City

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

อารมณ์ดี ครีเอท แอ็คทีฟ ด้วยเคล็ดลับสุขภาพง่ายๆ

อารมณ์ดี ครีเอท แอ็คทีฟ ด้วยเคล็ดลับสุขภาพง่ายๆ    ถ้าคุณรู้สึกง่วงเหงา  เศร้าซึม  สมองตันๆ อารมณ์เสียบ่อย  วันนี้เรามีเคล็ดลับสุขภาพง่ายๆ มาพร้อมกับความสนุกสนานที่แอบซ่อนอยู่ รับรองเลยว่าเพียงเท่านี้  คุณก็จะอารมณ์ดีขึ้นได้ในทันที มาลองดูกันเลย! เริ่มต้นมื้ออาหารด้วยสีฟ้า ตื่นเช้าๆดื่มน้ำเปล่าด้วยหลอดสีฟ้า จานสีน้ำเงิน  ใส่ผักผลไม้สีสันสดใสตัดเข้าไป  รู้มัยว่านักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาเดียนค้นพบว่าวิธีนี้จะช่วยให้สมองแอ็คทีฟ  รู้สึกเป็นอิสระ  และมักคิดอะไรดีๆ  ออกเสมอ Plus: วันไหนอยากไดเอทลองใช้จานสีน้ำเงินเพราะสีน้ำเงินจะทำให้เราไม่ค่อยอยากกินอาหาร ดื่มกาแฟก่อนงีบ 20 นาที                 มีการศึกษาว่าวิธีนี้ช่วยหลอกร่างกายเบาๆ ว่าเมื่อคืนนี้นอนหลับสนิทอย่างสบาย (ทั้งที่อาจจะนอนไปแค่ 3 ชั่วโมงและง่วงมาก) คาเฟอีนจะช่วยเข้าไปรีชาร์ตให้สมองกระปรี้กระเปร่าหลังงีบหลับนั่นเอง หลับต่ออีกนิด                 การนอนหลับที่นานขึ้นจะช่วยทำให้ร่างกายกระตุ้นการเผาผลาญได้มากขึ้น  คำแนะนำสุดเริ่ดนี้มาจากการศึกษาในวารสารที่นักวิจัยทดลองให้คนที่กินขนมอย่างไอศกรีมและมันฝรั่งทอดกรอบนอนเพิ่มอีกคนละ 1.30 ชั่วโมง พบว่าหลังจากที่นอนหลับนานกว่าเดิม 14 % จะช่วยลดความอยากอาหารหวานและเค็มลงได้ 62 % เพราะสมองส่งสัญญาณความยากลดลง สูดกลิ่นผลไม้                 กลิ่นผลไม้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเลือกผลไม้เป็นอาหารมื้อนั้น  อย่างเช่นได้กลิ่นลูกแพร์ก่อนกลิ่นขนมหวาน ก็จะทำให้เราเลือกอยากทานผลไม้มากกว่าขนมหวาน Eat Natural                 เมืองไทยแดดแรงเกือบทั้งปี  นอกจากทาครีมกันแดดเป็นประจำแล้ว ใครอยากปกป้องดับเบิ้ลเข้าไปอีก งานนี้ต้องอาศัยการกินเพื่อช่วยป้องกันผิวจากรังสียูวี  โดยอาหารที่จะช่วยปกป้องผิวคุณ คือ องุ่นดำ แบล็คเคอร์เรนท์  บลูเบอรี่ ผักโขม น้ำเต้าหู้ และโยเกิร์ต เลือกดื่มกาแฟ อย่างฉลาด แก้วเดียวเอาอยู่ แนะนำดื่มกาแฟวันละแก้ว หรือปริมาณเหมาะกับตัวเอง แก้วนี้ต้องไม่อ้วน เลือกดื่มกาแฟดำดีที่สุด แต่หากต้องการเติมหวานก็เติมน้ำตาลเพียงเล็กน้อย อย่าดื่มตอนท้องว่าง กาเฟอีนจะเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง ดื่มเช้าหรือกลางวันดีกว่า เน้นช่วงเวลาที่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น ควรกินอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมทดแทน เช่น นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย คะน้า เพื่อทดแทนแคลเซียมที่สูญเสียไปกับปัสสาวะ ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน                  ด้วยความปรารถนาดีจากโรงพยาบาลวิภาวดี                                                                  ขอบคุณที่มาจาก : หนังสือฟ้าดัชมิลล์ MAGAZINE

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โรคไข้หวัด

โรคไข้หวัด   โรคไข้หวัด   เป็นการติดเชื้อของจมูกและคอ  ส่วนใหญ่75-80% เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งรวมเรียกว่า Coryza Viruses ประกอบด้วย Rhino Viruses เป็นสำคัญ  เชื้อชนิดอื่น ๆ มี Adenoviruses, Respiratory Syncytial Virus เมื่อเชื้อเช้าสู่จมูกและคอจำทำให้เยื่อจมูกบวมและแดง  มีการหลั่งของเมือกออกมาแม้ว่าจะเป็นโรคที่หายเองใน 1 สัปดาห์  แต่เป็นโรคที่นำผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด  โดยเฉลี่ยเด็กจะเป็นไข้หวัด 6-12 ครั้งต่อปี  ผู้ใหญ่จะเป็น 2-4 ครั้ง  ผู้หญิงเป็นบ่อยกว่าผู้ชายเนื่องจากใกล้ชิดกับเด็ก  คนสูงอายุอาจจะเป็นปีละครั้ง   อาการ   ผู้ใหญ่ มีอาการจาม  และน้ำมูกไหลจะนำมาก่อน  อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย  แต่มักไม่ค่อยมีไข้  เชื้อจะออกจากทางเดินหายใจของผู้ป่วย 2-3 ชั่วโมงและหมดใน 2 สัปดาห์  บางรายอาจมีอาการปวดหู  เยื่อแก้วหูมีเลือดคั่ง  บางรายเยื่อบุตาอักเสบ  เจ็บคอ  กลืนลำบาก  โรคมักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน  แต่อาจมีน้ำมูกไหลนานถึง 2 สัปดาห์  ในเด็กอาจจะรุนแรง  และมักมีการแพร่ไปเป็นหลอดลมอักเสบ  ปวดบวม  เป็นต้น   การติดต่อ โรคนี้มักจะระบาดฤดูหนาวเนื่องจากความชื้นต่ำและอากาศเย็น  เราสามารถติดต่อจากน้ำลาย  และเสมหะผู้ป่วยนอกจากนั้นมือที่เปื้อนเชื้อโรค  ก็สามารถทำให้เกิดโรคได้โดยผ่านทางจมูกและตา  ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ก่อนเกิดอาการและ 1-2 วันหลังเกิดอาการ  ผู้ที่มีโอกาสเป็นไข้หวัดได้ง่ายคือ  เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี  เด็กที่ขาดอาหาร  เด็กที่เลี้ยงในสถานเลี้ยงเด็ก   วิธีการติดต่อ 1. มือของเด็ก  หรือผู้ใหญ่ที่สัมผัสเชื้อจากเสมหะของผู้ป่วย  หรือสิ่งแวดล้อม  แล้วขยี้ตา  หรือเอาเข้าปากหรือจมูก 2. หายใจเอาเชื้อที่ผู้ป่วยที่ไอออกมา 3. หายใจเอาเชื้อที่กระจายอยู่ในอากาศ   การรักษา - ไม่มียารักษาเฉพาะ  ถ้ามีไข้ให้ยาลดไข้  Paracetamol - ห้ามให้ Aspirin - ให้ยาช่วยรักษาตามอาการ  เช่น ยาลดคัดจมูก  ลดน้ำมูก  ยาแก้ไออ่อน ๆ - ให้พัก  และดื่มน้ำมาก ๆ โดยทั่วไปจะเป็นมาก 2-4 วัน  หลังจากนั้นจะดีขึ้น  ในเด็กโรคที่แทรกซ้อนที่สำคัญคือหูชั้นกลางอักเสบ  ต้องได้รับยาปฏิชีวนะรักษา     การป้องกัน - หลีกเลี่ยงที่ชุมชน  เช่น โรงภาพยนตร์ ภัตตาคาร  ในช่วงที่ไข้หวัดกำลังระบาด - ไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า  หรือทิชชูปิดปาก - ให้ล้างมือบ่อย ๆ - ไม่เอามือเข้าปากหรือขยี้ตาเพราะอาจนำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย - อย่าอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นหวัดเป็นเวลานาน   เป็นการยากที่จะป้องกันการติดเชื้อไข้หวัด  และยังไม่มีวัคซีนป้องกันไข้หวัด  ดังนี้การดูแลสุขภาพตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด         ด้วยความปรารถนาดี จาก รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

5 อันตรายจากน้ำตาลเทียม

5 อันตรายจากน้ำตาลเทียม     สาวๆ หนุ่มๆ หลายคนที่รักสุขภาพ รู้ดีว่าน้ำตาลทานมากก็ไม่ดีต่อร่างกาย จึงเลี่ยงไปทานน้ำตาลเทียม หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เพื่อให้ได้รสชาติความหวาน ในแบบที่ไม่รู้สึกผิดต่อร่างกาย แต่จริงๆ แล้ว น้ำตาลเทียม แฝงอันตรายเอาไว้มากมาย   1. สารเคมีตกค้าง ก่อมะเร็ง แอสปาแตมประกอบไปด้วยสารเคมี 3 ชนิด คือ กรดแอสปาร์ติก ฟีนิลอะลานีน และ เมธานอล หากร่างกายได้รับสารเคมีเหล่านี้จำนวนมาก จะไม่สามารถกำจัดออกไปจากร่างกายได้หมด จนอาจเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ และทำให้ DNA ภายในร่างกายได้รับความเสียหาย จนอาจพัฒนากลายเป็นความผิดปกติของเซลล์ และเป็นมะเร็งในที่สุด 2. สาเหตุโรคอ้วน และเบาหวานทางอ้อม แทนที่ทานอย่างอื่นแทนน้ำตาลแล้วจะเลี่ยงโรคอ้วน และเบาหวานได้ กลับกลายเป็นว่าแอสปาแตมเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็น 2 โรคนี้เสียเอง เพราะแอสปาร์แตมทำให้ร่างกายมีปริมาณการผลิตฮอร์โมนที่ผิดปกติ ส่งผลให้ร่างกายยิ่งโหยหาความหวานจากน้ำตาลมากยิ่งขึ้น จึงเป็นเหตุที่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ยังวนเวียนกลับไปหาน้ำตาลแท้เหมือนเดิม แถมยังอยากอาหารมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย 3. เป็นสารอันตราย ถึงแม้จะมีการอนุญาตให้ใช้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน แต่ผลจากการทดลองกับสัตว์บางชนิด ยังพบอาการข้างเคียงเช่น ชักอย่างรุนแรง จนถึงขั้นเสียชีวิต 4. ท้องอืด ท้องเฟ้อ เมื่อแอสปาแตมเป็นน้ำตาลเทียม ที่จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้มันไปกองรวมกันอยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะมีแบคทีเรียที่สามารถย่อยแอสปาแตมได้ แต่ก็จะผลิตก๊าซออกมา จึงทำให้เรามีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อและถ่ายมากกว่าปกติได้ 5. อันตรายต่อสมอง กรดแอสปาร์ติก ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของน้ำตาลเทียม สามารถผ่านเข้าสู่เซลล์สมอง และเมื่อมีปริมาณแคลเซียมอยู่ในสมองมากๆ ก็อาจทำให้สมองได้รับอันตรายได้ เซลล์สมองอาจมีความผิดปกติ โดยอาจทำให้เกิดโรคลมบ้าหมู อัลไซเมอร์ รวมไปถึงปลอกประสาทอักเสบ และต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทานน้ำตาลเทียมไม่ได้นะคะ เรายังทานได้อยู่ แต่ขอให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ หรือถ้าอยากลดการบริโภคน้ำตาล ก็ลดการทานหวานไปเลยจะดีกว่าค่ะ                                                      ข้อมูลจาก : www.sanook.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
<