แปรงลิ้นลดการเกิดโรค

เราทุกคนแปรงฟันกันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว เพราะเราไม่อยากฟันผุ แต่เชื่อว่าหลายคนอาจลืมไปว่าเรามีอีกส่วนหนึ่งที่ต้องแปรง ต้องทำความสะอาด นั่นก็คือ "ลิ้น" นั่นเอง ทำไมเราต้องแปรงลิ้น แปรงลิ้นมีประโยชน์อย่างไร แปรงลิ้นแล้วจะทานอาหารอร่อยขึ้นได้อย่างไร   ลิ้น อวัยวะสำคัญในการรับรสชาติ ลิ้นของคนเรามีปุ่มรับรสอยู่ ถ้าตุ่มรับรสของเราสัมผัสกับน้ำตาล ปุ่มรับรสก็จะเปลี่ยนสัญญาณของน้ำตาลไปเป็นสัญญาณประสาท มันก็จะวิ่งไปที่สมองของเรา สมองก็จะตีความออกมาว่า "นี่คือรสอะไร"    ลิ้น รับรู้ได้กี่รสชาติ ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า ลิ้นสามารถรับรู้รสได้ถึง 5 รสชาติ นั่นคือ หวาน เค็ม เปรี้ยว ขม และกลมกล่อม  รสกลมกล่อม คนอาจจะไม่ค่อยรู้จักเท่าไร บางคนเรียกว่า รสอูมามิ แต่ถ้าให้พูดง่ายๆ เลยคือ รสชาติจากผงชูรสนั่นเอง ผงชูรส คือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง เป็นสารสื่อประสาท กระตุ้นความอยากอาหารได้ เหมือนเราเอากระดูกไก่ไปต้มซุป รสชาติที่เราได้จากน้ำซุปกระดูกไก่นี้แหละ คือ รสอูมามิ    รสเผ็ดล่ะ? จริงๆ แล้ว เผ็ดไม่ใช่รสชาติค่ะ เผ็ดเป็นอาการระคายเคืองลิ้น ใช้กระบวนการในการส่งสัญญาณไปถึงประสาทแบบเดียวกันกับความรู้สึกเจ็บปวดเลยล่ะ ภายในปากมีตัวรับรู้ความเจ็บปวดอยู่เยอะมาก โดยจะคอยส่งสัญญาณไปที่สมอง ผ่านกลไกความเจ็บปวด แล้วค่อยตีความออกมาว่า "นี่คือรสเผ็ด"   ปุ่มรับรู้รสเสื่อมได้อย่างไร? มีการศึกษาวิจัยที่เปรียบเทียบกับคนญี่ปุ่น ปรากฎว่าคนไทยมีระดับที่เริ่มรู้รสสูง แปลว่าเราต้องปรุงรสเยอะกว่าเราจะรับรู้รสชาติ ว่ามันคือรสอะไร ทั้งรสหวาน รสเค็ม รสเปรี้ยว และรสขม ค่าเฉลี่ยเต็ม 5 ของคนไทยจะอยู่ที่ 4 ของคนญี่ปุ่นจะอยู่ที่ไม่เกินระดับ 3 ในขณะที่รสกลมกล่อม คนญี่ปุ่นก็ยังเริ่มรับรู้รสได้ที่ระดับประมาณ 3 ส่วนของคนไทยคือ 5 จากระดับ 6 บางรายหนักกว่า ให้ลองทดสอบที่ระดับ 6 แล้วยังไม่รับรู้รสเลยก็มี พอสอบถามเพิ่มเติมถึงได้รับรู้ว่า เป็นคนทานผงชูรสอยู่เป็นประจำนั่นเอง   อร่อยปาก สุขภาพพัง! การรับรู้รสสำคัญกับเรื่องรับประทานอาหาร ยิ่งระดับการรับรู้รสสูง แปลว่าเราต้องยิ่งเติมเครื่องปรุงเยอะ เราถึงจะรู้รส ยิ่งเติมน้ำตาล น้ำปลาเยอะ ก็แปลว่าเราก็บริโภคน้ำตาล น้ำปลาต่อวันเป็นจำนวนที่มากขึ้นไปด้วย การบริโภคน้ำตาลมากๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และโรคฟันผุ หากบริโภคน้ำปลา หรือเกลือมาก ก็ส่งผลถึงโรคไต ความดันโลหิตสูง และมะเร็งกระเพาะอาหาร   ทางออกของคนชอบปรุง สำหรับคนที่ติดรสชาติ แล้วมีปัญหาที่ปุ่มรับรส มีปัญหาในระดับลิ้น ให้ลองส่งกระจกดูว่า ที่ลิ้นมีคราบขาว หรือที่เราเรียกว่า คราบจุลินทรีย์อยู่หรือไม่  ถ้ามีให้ใช้แปรงทำความสะอาด การแปรงลิ้นจะเป็นการช่วยกำจัดคราบจุลินทรีย์ออก โดยมีงานวิจัยว่า การแปรงลิ้นจะช่วยให้ปุ่มรับรู้รสที่ลิ้นทำงานได้ดียิ่งขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ภายในช่องปากช่องฟันได้อีกด้วย   แปรงลิ้นอย่างถูกวิธี 1. แปรงจากโคนลิ้นด้านใน ลากออกมาที่ปลายลิ้นด้านนอก 2. แปรงลิ้นวันละ 1 ครั้งก่อนนอน 3. เลือกแปรงสีฟันที่มีขนนุ่ม 4. ไม่ต้องใช้ยาสีฟันในการแปรงลิ้น ใช้แปรงสีฟันเปล่าๆ ได้เลย   นอกจากการแปรงลิ้นแล้ว เราก็ควรปรับพฤติกรรมในการทานอาหาร ทุกครั้งที่เราลดระดับลงมา ลิ้นของเราก็จะปรับตัวตามไปด้วย เมื่อระดับการเริ่มรับรู้รสของเราต่ำลง ปริมาณเครื่องปรุงที่เราใส่เพิ่มเพื่อให้ได้รสชาติเท่าเดิม มันก็จะน้อยลงตามไปด้วย อร่อยได้เหมือนเดิม แต่โรคภัยถามหาน้อยลง น่าจะเป็นวิธีที่ทำให้เราจะมีความสุขกับการทานอาหารได้นาน และมีความสุขมากยิ่งขึ้นนะคะ              ด้วยความปรารถนาดีจากทางโรงพยาบาลวิภาวดี                                                   ข้อมูลจาก : www.sanook.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

คำแนะนำการใช้ยาหยอดตา

ควรใช้ยาหยอดตาอย่างไร ควรใช้ยาหยอดตาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด กรณีการใช้ยาหยอดตา 6 ครั้ง ต่อวัน (หรือหยอดยาทุก 2-3 ชั่วโมง) อาจหยอดยาตามการดำเนินชีวิตประจำวันของคุณ  ดังตัวอย่างต่อไปนี้ -เมื่อตื่นนอน   , หลังอาหารเช้า , หลังอาหารกลางวัน , เวลาอาหารว่างหรือเวลาบ่าย , หลังอาหารเย็น , ก่อนนอน - เมื่อลืมหยอดยาหยอดตา  ให้หยอดยาในช่วงเวลาถัดไปจำนวนหนึ่งหยด   หรือตามแพทย์สั่ง โดย ไม่ ต้องหยอดยาเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อชดเชยส่วนที่ลืม - อาการตาแห้งจะดีขึ้น เมื่อผู้ป่วยใช้ยาหยอดตาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง  แต่อาการจะแย่ลง  ถ้าผู้ป่วยลดปริมาณการใช้ยาลงเอง  หรือหยุดการรักษาเองโดยไม่ปรึกษากับแพทย์ ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยคือ การใช้ยาหยอดตาอย่างต่อเนื่อง ตามคำแนะนำของแพทย์   วิธีหยอดตา 1.ก่อนหยอดตาควรล้างมือ ฟอกสบู่ทุกครั้ง 2.เงยหน้าขึ้นขนานพื้น ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดดึงเปลือกตาล่างลงให้เกิดร่องกระพุ้งตา 3.ใช้มือข้างที่ถนัดถือขวดยา หยอดยา 1 หยด ลงในกระพุ้งตา     * ระวังอย่าให้ปลายปากขวดยาสัมผัสกับดวงตาหรือเปลือกตา เพื่อป้องกันการปนเปื้อน 4.สำหรับยาหยอดทั่วไป หลับตาประมาณ 2 นาที   สำหรับยาหยอดรักษาต้อหิน ควรหลับตาไว้ 5 นาที  เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น   ; น้ำตาเทียมไม่ต้องหลับตา กระพริบตาได้เลย 5.เมื่อใช้ยามากกว่า 1 ชนิด ต้องหยอดยาแต่ละชนิดห่างกันอย่างน้อย 5นาที   การใช้ยาหยอดตาบางชนิดอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์  เช่น ระคายเคืองตา มีขี้ตา ตาแดง ปวดตา คันตา รู้สึกไม่สบายตา เป็นต้น   ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร                  ด้วยความปรารถนาดีจากโรงพยาบาลวิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

มะเร็งช่องปากตรวจเองได้

มะเร็งช่องปากตรวจเองได้          สิ่งที่อยู่ในช่องปากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ฉะนั้นจึงควรตรวจเช็คดูความผิดปกติด้วยตัวเอง และสังเกตอาการตามบริเวณภายในช่องปาก เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดโรคร้ายต่างๆ ดังนี้   ริมฝีปาก รูปร่างผิดปกติ ความยืดหยุ่น สีซีด ม่วง, เขียว, คล้ำ   เพดานปาก มีการเปลี่ยนสี คลำหาก้อนที่ไม่ใช่ก้อนกระดูก   กระพุ้งแก้ม คลำด้วยนิ้วชี้หาส่วนที่แข็งเป็นไต หรือบวมเป็นก้อน   พื้นช่องปากและเหงือ  ก้อนคล้ายดอกกะหล่ำ  สีขาวหรือแดงผิดปกติ   ลิ้น กดหาส่วนบวมแข็ง -          - ดูบนลิ้น โคนลิ้น ข้างลิ้น               ด้วยความปรารถนาดีจากโรงพยาบาลวิภาวดี                               ศูนย์ทันตกรรม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โภชนบำบัดโรคผอมหรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์

โภชนบำบัดโรคผอมหรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์           การที่ผู้ป่วยมีค่า Body Mass Index (BMI) ต่ำกว่า < 18.5 กิโลกรัม/ตารางเมตร แต่ถ้าเป็นโรคผอมจะนับตั้งแต่ BMI<17.0 กิโลกรัม/ตารางเมตร           สาเหตุเกิดจากร่างกายสูญเสียพลังงาน หรือใช้พลังงานไปมากกว่าที่ร่างกายได้รับ ก็จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงหรือมีน้ำหนักตัวน้อยผิดปกติ หรือได้รับพลังงานและสารอาหารไม่เพียงพอ เช่น ความยากจน เบื่ออาหาร ไม่เบื่ออาหารแต่กลัวอ้วน จึงล้วงคอเพื่อให้อาเจียน เรียกโรคนี้ว่าบูลิเมีย เนอร์โวซา (bulimia nervosa) เกิดค่านิยมผิดๆยิ่งผอมยิ่งสวย จิตเวชที่ไม่ทานอาหารเลยพบมากในกลุ่มนางแบบและวัยรุ่น ที่มักคิดว่าตัวเองอ้วน โรคทางกายที่ได้รับสารอาหารน้อยกว่าปกติ เช่น มีปัญหาทางช่องปากและฟัน มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร ทำให้การย่อยการดูดซึมผิดปกติ   กลุ่มที่ใช้พลังงานมากกว่าปกติได้แก่ โรคไทรอยด์เป็นพิษ ออกกำลังกายอย่างหนัก รับประทานยาบางชนิดหรือการใช้สารเสพติด เช่น ยาบ้า โรคที่สูญเสียน้ำจนทำให้น้ำหนักลดรวดเร็ว เบาหวาน น้ำตาลในเลือดมากทำให้ปัสสาวะบ่อย โรคที่มีแคลเซียมในร่างกายสูงปกติ เช่นมะเร็งบางชนิด           อันตรายของโรคผอม หากเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และกระดูกพรุน ตาโปน ถ้าเป็นโรคมะเร็ง หากไม่ได้รับการรักษาจะเกิดการลุกลามจนรักษาไม่ได้ ถ้าเป็นการล้วงคออาเจียน หลังรับประทานอาหาร น้ำย่อยในกระเพาะมีกรด ทำให้เกิดแผลในกระพุ้งแก้ม ฟันผุ เสียวฟังได้ง่าย   แนวทางการในโภชนบำบัด          กรณีเป็นโรคกลัวอ้วน จึงเป็นต้องได้รับการรักษาปรับความเข้าใจของผู้ป่วยและญาติ ให้ความรู้ด้านสารอาหารและโภชนาการ อาจจะใช้ยาช่วยภาวะทางจิตเวช          กรณีกินเยอะ แต่ไม่อ้วน ไม่แนะนำให้กินอาหารหวานจัด มันจัด เค็มจัด หรืออาหารที่มีไขมันสูง เพื่อให้ได้แคลอรี่มาก เพราะจะทำให้เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูงได้ หรือมีพุงแทนที่จะมีกล้ามเนื้อเป็นอาหารเพิ่มโปรตีน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่นนม ไข่ ถั่ว ธัญพืช ออกกำลังกาย เช่น ยกเวท โยคะ เพิ่มการรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่มีประโยชน์ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรเบอรี่ การเพิ่มน้ำหนักควรเพิ่มพลังงานจากเดิม วันละ 500 Kcal/วัน โดยอาจจะเพิ่มเมื้ออาหาร อย่าลืมว่าอาหารที่เพิ่มควรจะเป็นโปรตีน หรือข้าวแป้ง ธัญพืชขัดสีน้อยแทน ขนมหวานหรืออาหารมันๆ        เพิ่มโปรตีนเป็น1.5-2.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว1 กิโลกรัม        คาร์โบไฮเดรตและไขมัน เพิ่มขึ้นวันละ300-500 แคลอรี่ต่อวัน จะทำให้น้ำหนักค่อยๆเพิ่มขึ้น         นม เป็นแหล่งโปรตีนควรดื่มพร้อมมื้ออาหาร ประมาณ 1-2 แก้ว หรือดื่มหลังออกกำลังกาย        ไข่ ควรรับประทานทุกวัน วันละ1ฟอง ถ้ามีปัญหาไขมัน ในเลือดสูง ควรจำกัดการกินไข่แดง ไม่เกิน3ฟอง ต่อสัปดาห์ หรือรับประทานไข่ขาวแทน        ข้าวสวย1ส่วน=1ทัพพี น้ำหนัก55กรัม ให้พลังงาน80กิโลแคลอรี่ ถ้าเป็นข้าวเหนียว1ส่วน หนักประมาณ35กรัม ให้พลังงาน80กิโลแคลอรี่ ข้าวยังมีโปรตีน แต่มีปริมาณที่น้อย        พืชตระกูลถั่ว เป็นอีกทางเลือกเพราะให้พลังงานสูง ถั่วอัลมอนด์1กำมือ ประกอบด้วยโปรตีน 7กรัม และไขมันชนิดดี 18กรัม สามารถรับประทานเป็นของว่าง แต่ต้องจำกัดปริมาณ        เนื้อแดง ช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ประกอบด้วยกรดอะมิโน การรับประทานเนื้อแดงติดมันจะให้พลังงานมากกว่าเนื้อแดงไร้มัน        เวย์โปรตีน เป็นแหล่งโปรตีนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักกล้าม เพิ่มกล้ามเนื้อ ควรรับประทานก่อนหรือหลังออกกำลังกาย หรือคนที่มีปัญหาทุพโภชนาการ ควรรับประทานเวย์โปรตีนเพิ่ม        ขนมปังโฮลเกรน อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ทำจากธัญพืชไม่ขัดสี กินคู่กับโปรตีนช่วยเพิ่มน้ำหนักได้ดี       อะโวคาโด อุดมไปด้วยไขมันชนิดดี อะโควาโด 1 ลูกให้พลังงาน 332 กิโลแคลอรี มีวิตามินและเกลือแร่       นอกจากการเพิ่มอาหารแล้ว ควรมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่อาจส่งผลดีต่อการเพิ่มน้ำหนักได้ ดังนี้ ออกกำลังกาย ทำให้เพิ่มกล้ามเนื้อที่พอเหมาะ ทำให้อยากอาหารมากขึ้น เน้นโปรตีนและข้าวแป้ง  พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง แบ่งมื้ออาหารออกเป็นวันละ 5-6 มื้อ ไม่ควรดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร  ลดการกินเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะจะทำให้อยากอาหารลดลง งดการสูบบุหรี่ คนที่สูบบุรีมีแนวโน้มทำให้อยากอาหารลดลงมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

หินปูน คืออะไร

หินปูน คืออะไร    หินปูน คืออะไร คราบหินปูน (calculus  หรือ tartar)    เป็นคราบที่ปรากฏบนฟัน ก่อตัวขึ้นจากน้ำลายและเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตามตัวฟันรวมถึงแร่ธาตุอื่นๆเกาะเป็นเวลานานจะเปลี่ยนกลายมาเป็นคราบหินปูน  คราบหินปูนเมื่อก่อตัวขึ้นในช่องปากแล้ว ไม่สามารถที่จะนำออกได้เองนอกจากจะให้หมอฟันขูดออกให้เท่านั้น  คราบหินปูนเป็นตัวที่ก่อให้เกิดสุขภาพเหงือกอ่อนแอ  เลือดออกเวลาแปรงฟัน และอาจนำไปสู่โรคเหงือกอักเสบได้  นอกจากนี้ยังทำให้เกิดเป็นโพรงใต้เหงือกเป็นที่สะสมของจุลินทรีย์    การป้องกันคราบหินปูนที่ดีที่สุด คือการแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้งและใช้ไหมขัดฟันภายหลังการแปรงฟัน และพบหมอฟันทุกๆ 6 เดือน เพื่อขูดหินน้ำลาย หรือหินปูน    วิธีการใช้ไหมขัดฟัน    วิธีใช้  ดึงไหมขัดฟันออกมาใช้ประมาณ 1 ฟุต  พันปลายไหมขัดฟันกับนิ้วกลาง  ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้  เป็นตัวบังคับทิศทางการใช้  โอบไหมขัดฟันแนบกับคอฟัน  ขยับในแนวนอนและขึ้น – ลงในฟันแต่ละซี่ มะเร็งช่องปาก ช่องปาก (Oral cavity) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆ ได้แก่ ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เพดานแข็ง เหงือกลิ้น และเนื้อเยื่อใต้ลิ้น ซึ่งเนื้อเยื่อ/อวัยวะทุกชนิดของช่องปาก สามารถเกิดเป็นมะเร็งได้ทุกส่วน และเป็นมะเร็งที่มีลักษณะเหมือนกัน ทั้งชนิดของเซลล์มะเร็ง การจัดระยะโรค อาการ และวิธีรักษา ดังนั้นมะเร็งของเนื้อเยื่อ/อวัยวะทั้งหมดของช่องปาก จึงจัดเป็นมะเร็งในกลุ่มเดียวกัน รวมเรียกว่า มะเร็ง/โรคมะเร็งช่องปาก (Oral cancer) มะเร็งช่องปากพบได้ 3-5 % ของโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย เป็นโรคมะเร็งพบบ่อย 1 ใน 10 ของทั้งหญิงและชายไทย เป็นโรค มะเร็งของผู้ ใหญ่ตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป มะเร็งช่องปาก คืออะไร? มะเร็งช่องปาก เป็นส่วนหนึ่งของโรคมะเร็งในกลุ่มโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ ซึ่งประมาณ 90-95% ของมะเร็งช่องปากจะเป็นชนิด สะความัส (Squamous cell carcinoma) หรือเรียกย่อว่าชนิด เอสซีซี (SCC) สำหรับมะเร็งชนิดอื่นๆ เช่นมะเร็งชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (Adenocarci noma) หรือ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง พบได้น้อยมากๆ ดังนั้น ในบทความนี้ จึงกล่าวถึงเฉพาะมะเร็งช่องปากชนิด เอสซีซี เท่านั้น                                 ด้วยความปรารถนาดี ศูนย์ทันตกรรม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

โภชนบำบัดโรคความดันโลหิตสูง

          การปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตนั้น เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกันความดันโลหิตสูง สำหรับการดูแลผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูง ในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน โดยน้ำหนักตัวที่ลดลง 10 กิโลกรัม จะลดความดันโลหิตซิสทอลิค (ความดันช่วงหัวใจบีบตัว) ได้โดยเฉลี่ย 5-20 มิลลิเมตรปรอท สำหรับผู้ที่น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็ควรดูแลน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ต่อไป ควบคุมดัชนีมวลกาย = 18.5-22.9 Kg/m2 ลดการรับประทานอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูง ทำกิจกรรมการเคลื่อนไหว หรือออกกำลังกาย 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ การรับประทานอาหารในรูปแบบ DASH Diet การเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ นม และผลิตภัณฑ์จากนมที่ไขมันต่ำ รวมถึงการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัว การจำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ชายไม่เกิน 2 ดริ๊งก์/วัน ผู้หญิงไม่เกิน 1 ดริ๊งก์/วัน จำกัดการดื่มชา-กาแฟ เลิกสูบบุหรี่ ลดภาวะเครียด           โซเดียม (Sodium) เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ปรับสมดุลของของเหลวในร่างกาย ควบคุมการเต้นของหัวใจ และมีผลต่อความดันโลหิต พบได้จากอาหารตามธรรมชาติ เช่น เนื้อสัตว์ ข้าว ผัก โดยมีปริมาณเล็กน้อย แต่คนส่วนใหญ่ได้รับโซเดียมเกินจากเครื่องปรุงรส เช่น เกลือ ซีอิ๊ว น้ำปลา ผงปรุงรสและอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูหยอง กุนเชียง รวมถึงอาหารกระป๋อง เช่น ผักกาดดอง ไข่เค็ม เต้าหู้ยี้ กุ้งแห้ง ปลาเค็ม เป็นต้น การควบคุมปริมาณโซเดียมสำหรับผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูงที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัมของโซเดียมต่อวัน จะสามารถลดความดันได้ 2-8 มิลลิเมตรปรอท และหากผู้ป่วยบริโภคอาหารแบบ DASH Diet ร่วมกับการจำกัดปริมาณโซเดียม สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดีกว่าการควบคุมเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง           ปริมาณโซเดียมในอาหาร ยกตัวอย่าง ข้าวสวย 1 ทัพพี มีโซเดียม 20 มิลลิกรัม นม 240 มิลลิลิตร มีโซเดียม 120 มิลลิกรัม  ขนมปัง 1 แผ่น มีโซเดียม 130 มิลลิกรัม หมูหยอง 2 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียม 23 มิลลิกรัม ไส้กรอกหมู 30 กรัม  มีโซเดียม 200 มิลลิกรัม เนื้อหมูสุก 2 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียม 30 มิลลิกรัม           ปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรส ยกตัวอย่าง ผงชูรส 1 ช้อนชา มีโซเดียม 815 มิลลิกรัม ซอสหอยนางรม 1 ช้อนชา มีโซเดียม 104 มิลลิกรัม ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนชา มีโซเดียม 30 มิลลิกรัม ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา มีโซเดียม 238 มิลลิกรัม ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนชา มีโซเดียม 237 มิลลิกรัม เกลือ 1 ช้อนชา มีโซเดียม 2,000 มิลลิกรัม น้ำปลา 1 ช้อนชา มีโซเดียม 500 มิลลิกรัม ซุปก้อน 1 ก้อน (10 กรัม) มีโซเดียม 1,760 มิลลิกรัม  

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น(Upper Gastrointestinal Endoscopy Esophagogastroduodenoscopy)

 การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น (Upper Gastrointestinal Endoscopy : Esophagogastroduodenoscopy)               เทคนิคพิเศษที่จะตรวจหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น โดยจะใช้กล้องที่มีลักษณะยาว เล็ก และโค้งงอได้ ซึ่งแพทย์จะใส่สายยางเล็กที่มีเลนส์และแสงไฟสว่างที่ปลาย ส่องกล้องเข้าทางปาก โดยภาพจะปรากฏบนจอโทรทัศน์  ให้คุณภาพคมชัด และชัดเจน แม่นยำมากกว่าการเอกซเรย์ และหลังจากส่องตรวจเสร็จสามารถทราบผลการตรวจได้ทันที               การส่องกล้องจะทำให้เห็นเยื่อบุกระเพาะ เพื่อดูการอักเสบ ดูแผลในกระเพาะ ดูเนื้องอก นอกจากนั้นยังสามารถตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา หาเซลล์มะเร็ง , เพาะเชื้อเพื่อหาเชื้อแบคทีเรีย ร่วมไปถึงการส่องกล้องเพื่อรักษาห้ามเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นได้   เพราะอะไรถึงต้องส่องกล่องตรวจทางเดินอาหารส่วนต้น ?             แพทย์จะใช้การส่องกล้องเพื่อตรวจสาเหตุของโรคหรืออาการดังต่อไปนี้ - ปวดท้องช่วงบนของท้อง ปวดบริเวณลิ้นปี่ ปวดเป็นๆหายๆ โดยเฉพาะในกรณีที่ปวดมานานกว่า 1-2 สัปดาห์ - อาเจียนโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ - กลืนอาหารลำบาก , จุกแน่นคอ - ท้องอืด มีลมในท้องมาก เรอบ่อย รับประทานอาหารได้น้อย หรืออาจมีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนร่วมด้วย  - เลือดออกทางเดินอาหาร : อาเจียนเป็นเลือด , ถ่ายอุจจาระมีสีดำหรือมีเลือดปน หรือโลหิตจาง ซึ่งอาจจะมีแผลเลือดออกในกระเพาะอาหาร โดยอาจจะไม่มีอาการปวดท้องร่วมด้วย   ควรเตรียมตัวอย่างไรบ้างก่อนมาตรวจ ?   1. ห้ามรับประทานอาหาร และดื่มน้ำทุกชนิดก่อนมารับการตรวจ อย่างน้อย 6-8 ชม. ก่อนตรวจ ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่ากระเพาะอาหารว่างเปล่า ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน และป้องกันอันตรายที่เกิดจากการสำลักอาหารและน้ำเข้าไปในหลอดลมขณะที่กลืนกล้องลงสู่ลำคอและระหว่างส่องกล้อง 2. ในรายที่มีฟันปลอมถอดได้ ต้องถอดออก หรือมีฟันโยกจะต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบ เพื่อป้องกันการหลุดและอุดกลั้นทางเดินหายใจ  3. แนะนำให้คนไข้ไม่ควรสวมเครื่องประดับติดตัวมา  4. ควรมีญาติมาด้วย หากในรายที่แพทย์พิจารณาให้ฉีดยาคลายกังวลหลังจากตรวจไม่ควรขับรถด้วยตนเอง  5. ถ้ามีโรคประจำตัว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ ในบางกรณีแพทย์อาจจะพิจารณาให้งดยาละลายลิ่มเลือดก่อนส่องกล้อง อย่างน้อย 3-7 วัน   อะไรจะเกิดขึ้นบ้างกับตัวท่านบ้าง ขณะได้รับการตรวจ ? 1. เมื่อถึงห้องตรวจผู้ป่วยจะได้รับการพ่นยาชาที่คอ สามารถกลืนลงไปได้เลยโดยไม่เป็นอันตราย ซึ่งจะทำให้ลำคอหมดความรู้สึกเจ็บชั่วคราว ประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ผู้ป่วยบางรายอาจจะรู้สึกแสบในลำคอช่วงแรกๆของการพ่นยา หากผู้ป่วยบางรายมีอาการหวาดกลัว กระสับกระส่าย แพทย์อาจจะต้องพิจารณาให้ยาคลายกังวล หรือยาแก้ปวดทางหลอดเลือดดำ  2. ขณะส่องกล้องจะต้องให้นอนตะแคงซ้าย หลังจากจะใส่ที่กันกัดกล้องให้ผู้ป่วยกัดไว้ในปาก ซึ่งจะมีรูเปิดไว้สำหรับให้กล้องผ่านลงไปได้  3. หลังจากนั้นแพทย์จะทำการส่องกล้อง โดยจะผ่านจากปากเข้าไปในลำคอ โดยผู้ป่วยจะต้องกลืนกล้อง เพื่อให้สู่หลอดอาหาร หากมีน้ำลายควรปล่อยไหลออกมา ห้ามกลืนเพราะอาจจะเกิดการสำลักได้ ซึ่งขณะส่องกล้องแนะนำให้ผู้ป่วยผ่อนลมหายใจเข้าออก เพื่อบรรเทาอาการแน่นอึดอัดท้อง จะใช้เวลาส่องตรวจประมาณ 10-15 นาที     การปฏิบัติตัวหลังได้รับการส่องตรวจ ? 1. ผู้ป่วยจะรู้สึกเหมือนมีเสมหะติดอยู่ในลำคอ หรือรู้สึกหนาๆ ภายในลำคอ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากฤทธิ์ของยาชา จะคงอยู่ประมาน15-30 นาที หลังจากหมดฤทธิ์ยาชาแล้ว อาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปเป็นปกติเช่นเดิมเอง   2. ระหว่างคอชาอยู่ ให้บ้วนน้ำล้างปากได้ เพียงแต่อย่างรีบดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารเพื่อป้องกันการสำลัก  3.หลังจากคอหายชาแล้วให้เริ่มจิบน้ำก่อน เพื่อทดสอบการกลืนว่าเป็นปกติหรือยัง จึงให้รับประทานอาหารได้ ควรเป็นอาหารอ่อนก่อน เพื่อให้สามารถกลืนได้ง่ายขึ้น ไม่ควรรับประทานอาหารร้อนจัดหรือเย็นจัด  4. หากผู้ป่วยบางรายที่ได้รับยาฉีดเพื่อนอนหลับให้คลายกังวล อาจจะมีอาการง่วงอยู่จะต้องนอนพักฟื้นต่อสังเกตอาการรอให้ตื่นรู้สึกตัวดีก่อนประมาณ 90 นาที หากเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วจึงจะฟังผลตรวจกับแพทย์ และจะให้ย้ายกลับหอผู้ป่วย หรือกลับบ้านได้  5.สำหรับผู้ป่วยที่กลับบ้านได้ เมื่อกลับบ้านแล้วควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการรับประทานยาและอาหารให้ครบตามที่แพทย์สั่ง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ควรมารับการตรวจรักษาตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง    การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)          การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)  เป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการประเมินปัญหาในลำไส้ใหญ่  โดยใช้กล้องส่องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อขนาดเล็ก ผอม ยาว และยืดหยุ่นได้ มีกล้องวีดีโอและดวงไฟขนาดเล็กมาก ติดอยู่ที่ปลายท่อ เมื่อทำการขยับและปรับกล้องส่องลำไส้ใหญ่อย่างเหมาะสมแล้ว แพทย์จะสามารถเคลื่อนไหวกล้องให้ไปในทิศทางที่ต้องการได้ ภาพที่กล้องบันทึกได้ใน ลำไส้ใหญ่จะปรากฏบนจอโทรทัศน์ ให้คุณภาพความชัดที่ดี และสามารถเก็บรายละเอียดภายในลำไส้ใหญ่ได้ทั้งหมด ซึ่งจะให้ความถูกต้องแม่นยำมากกว่าการทำเอกซเรย์   โดยการส่องกล้องตรวจควรทำในผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ •          มีความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ายอุจจาระเช่นท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ หรือท้องผูกสลับท้องเสีย •          ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน อาจจะเป็นสีแดงสดหรือคล้ำ มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ •          เวลาเบ่งถ่ายอุจจาระมีติ่งเนื้อยื่นออกมาจากทวารหนักและมีเลือดออก •          มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด และปวดท้องร่วมด้วย •          มีก้อนในท้อง น้ำหนักลด ซีด อ่อนเพลีย •          ผู้ที่มีอายุ 50ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจทางทวารหนักโดยการส่องกล้องทุกๆ3-5 ปี   สิ่งที่ตรวจพบจากการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ •          ริดสีดวงทวาร •          ลำไส้อักเสบ •          ติ่งเนื้อ •          หลุมในลำไส้ใหญ่ (Diverticulum) •          เนื้องอก •          มะเร็งลำไส้ใหญ่   การเตรียมตัวก่อนการรับการตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ •          3 วันก่อนตรวจ ให้รับประทานอาการอ่อนย่อยง่าย •          งดรับประทานผัก ผลไม้ อาหารที่มีกากใย •          รับประทานยาระบายให้ครบตรงตามจำนวน และเวลาที่แพทย์สั่ง •          คืนวันก่อนตรวจ งดอาหารและน้ำดื่ม จนกว่าจะทำการตรวจ •          ควรมีญาติมาด้วย (ในบางรายอาจได้รับยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดดำทำให้ไม่รู้สึกตัวขณะตรวจ)และเมื่อตื่นจากฤทธิ์ยานอนหลับ อาจมีอาการง่วงซึมได้         ขณะตรวจผู้ป่วยอาจรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระหรืออึดอัดแน่นท้อง เนื่องจากแพทย์ได้เป่าลมให้ลำไส้ขยายเพื่อดูพยาธิภาพภายใน อาการเหล่านี้จะบรรเทาได้โดยปฏิบัติ ดังนี้ •          หายใจช้าๆ สูดลมหายใจเข้า-ออก •          ปล่อยตัวตามสบาย ไม่เกร็ง •          ห้ามดิ้น หรือขยับตัวขณะแพทย์ส่องกล้อง   อาการที่อาจพบได้ภายหลังการตรวจ •          ท้องอืด แน่นท้อง จะทุเลาลงเมื่อผู้ป่วยผายลม •          เจ็บ บริเวณท้องน้อย หรือทวารหนัก อาการเหล่านี้ จะค่อยๆทุเลาลงและหายไป การปฏิบัติตัวหลังส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ •          ให้สังเกตอุจจาระ อาจมีเลือดปนบ้างเล็กน้อย หรือถ้ามีเลือดออกมากผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ •          ห้ามขับรถหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรืองานที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เนื่องจาก ยังมีฤทธิ์ยานอนหลับค้างอยู่ ผู้ป่วยอาจจะมีอาการง่วงซึม •          มีอาการผิดปกติ เช่นปวดท้องมาก ท้องแข็ง มีไข้สูง ให้รีบไปพบแพทย์ทันที •          ติดตามการรักษาและมาตรวจตามนัด     เอกสารอ้างอิง              มหาวิทยาลัยมหิดล. ศูนย์ส่องกล้องทางเดินอาหาร. “การส่องตรวจหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น”. [ ระบบออนไลน์ ]. แหล่งที่มา http://www.si.mahidol.ac.th/office_d/adm/Gi_scope/egd.html (07 กันยายน 2560.)             โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์. ศูนย์ระบบทางเดินอาหาร. “การส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนต้น”. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา https://www.bumrungrad.com.th/digestive-diseases-gi-center-tretment-bangkok-thaoland/procedures/upper-gi-endoscopy#Benefits (07 กันยายน 2560).             “การส่องตรวจกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น”. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา http://siamhealth.net/public_html/investigation/gi/endoscope.htm#.WbiAS6gxWEd (07 กันยายน 2560).     

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

อาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งและผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด

อาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งและผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด               อาหารเป็นสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง การรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารเพียงพอเหมาะสม ก่อน ระหว่าง และหลังการรักษาจะช่วยให้ผู้ป่วยแข็งแรงขึ้นและมีความรู้สึกดีขึ้น มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรค เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับโภชนาการที่เหมาะสม ผู้ป่วยจะต้องรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน คาร์โบไอเดรต ไขมันและน้ำ อย่างเพียงพอ  สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ผลข้างเคียงของอาการรักษาอาจจะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อาการเหล่านั้นคือ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องผูกแสบปาก กลืนลำบาก และเจ็บปากเมื่อกลืนอาหาร ยารักษามะเร็งอาจมีผลลดความอยากอาหารลง สิ่งเหล่านำไปสู่ปัญหาทางโภชนาการ (ขาดสารอาหาร) ทำให้ผู้ป่วยอ่อนแอ เหนื่อยง่าย ภุมิต้านทานลดลงและติดเชื้อง่าย ไม่สามารถทนต่อการบำบัดได้ ท่านทราบหรือไม่ว่าผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมากเสียชีวิตจากการขาดอาหาร มากกว่าการลุกลามของโรค ทำไมผู้ป่วยมะเร็งจึงขาดสารอาหาร 1. ร่างกายต้องการพลังงานมากขึ้น เซลล์มะเร็งจะสร้างสารเคมีบางอย่างมำให้เผาผลาญอาหารได้โดยเร็ว 2. รับประทานอาหารได้น้อยในขณะที่ร่างกายต้องการอาหารเพื่อนำไปสร้างพลังงานเพิ่มขึ้น แต่ผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมากจะเบื่ออาหาร เมื่อเซลล์มะเร็งแพร่กระจาย การเบื่ออาหารจึงเป็นสาเหตุทำให้ขาดสารอาหารได้ง่ายขึ้น ทำอย่างไรจะทำให้รับ ประทานอาหารได้มากขึ้นได้ 3. ไม่รับประทานอาหารบางชนิด  ปัญหาการที่ไม่รับประทานอาหารหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะเข้าใจว่าเป็นอาหารแสลงต่อโรคมะเร็ง ยังเป็นอีกปัญหาที่ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งขาดสารอาหาร              ผู้ป่วยที่รักษาโดยการให้ยาเคมีบำบัดมักมีปัญหาเม็ดเลือดขาวต่ำเป็นบางช่วง ทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ ควรระวังความสะอาดของอาหาร ได้แก่ ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ ก่อนรับประทานอาหาร และการหยิบอาหารสดบางประเภท เช่น เนื้อสัตว์ ปลาดิบ ไข่สด ต้องล้างมือ ทำความสะอาดอุปกรณ์ เครื่องใช้ในการปรุงประกอบอาหาร ล้างผัก ผลไม้ให้สะอาด อาหารที่ปรุงสุกแล้วเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ การรับประทานอาหารนอกบ้านควรดูแลความสะอาดเป็นพิเศษ เช่น สลัดผัก อาหารยำ น้ำแข็ง น้ำดื่มไม่สะอาด อาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ อาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด ผู้ป่วยมะเร็งที่สามารถกินอาหารได้พอสมควร ควรกินตามแนวทางการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพดีของคนไทย ดังนี้ 1. กินอาหารในครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนเพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย หมั่นดูแลน้ำหนักตัวเองให้อยู่ในมาตรฐาน ไม่ผอมเกินไป 2. กินข้าวเป็นอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้ง เลือกรับประทาน ข้าวกล้อง+ข้าวไร้เบอรี่+ข้าวแดง จะได้คุณค่าและใยอาหารมากกว่า 3. กินผักให้มากและกินผลไม้เป็นประจำกินให้หลากสี ผักสีเขียวเข้ม เช่น ตำลึง ผักโขม บล็อคโคลี่ จะสร้างภูมิคุ้มกันโรค และต้านมะเร็งได้ 4. การกินปลา เนื้อสัตวืไม่ติดมัน ไข่ เป็นประจำ ปลาเป็นโปรตีนคุณภาพดี ย่อยง่าย ไขมันต่ำ ควรกินบ่อย การกินไข่ถ้าไม่มีปัญหาไขมันในเลือดสูงรับประทานได้วันละ1ฟอง แต่ถ้าเป็นไขมันในเลือดสูงควรกินเฉพาะไข่ขาว เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ลดการรับประทานเนื้อแดง และหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูปที่มีการเติมสารกันบูด เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน กุนเชียง แหนม เพราะมีการวิจัยพบว่ามีส่วนกระตุ้นเซลล์มะเร็ง 5. การดื่มนมเพื่อบำรุงร่างกาย ผู้ป่วยควรดื่มนมสดหรือนมพร่องมันเนยวันละ1-2แก้ว 6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร เช่น กินอาหารทอด ผัก แต่พอควร หลีกเลี่ยงอาหารทอดจากน้ำมันปาล์มหรือน้ำมันทอดซ้ำ อาหารปิ้ง ย่าง(ไม่ดำไหม้เกรียม) เลือกอาหารประเภทต้มนึ่ง แกงที่ไม่ใส่กะทิ เช่น แกงส้ม ต้มยำ แกงจืด 7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารหวานจัด เค็มจัด เพราะถ้ากินหวานจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน กินเค็มจะเสี่ยงเป็นโรคไต โรคความดันโลหิตสูง 8. กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน เพราะอาหารที่ไม่ปรุงสุก และปนเปื้อนเชื้อโรค และสารเคมีต่างๆ เช่น สารบอแรกซ์ สารกันรา สีย้อมผ้า สารฟอกขาว ฟอร์มาลีน และยาห่าแมลง ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ และเป็นผลเสียต่อโรคมะเร็ง 9. งดหรือลด เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ มีส่วนทำให้เกิดโรคร้ายมากมาย   **ในผู้ป่วยมะเร็ง่มีปัญหาเฉพาะด้านที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ปกติ ควรปรับการรับประทานอาหารตามอาการที่ปรากฎ 1. เบื่ออาหาร เลือกอาหารที่ผู้ป่วยพอรับประทานได้ กลิ่น รสไม่จัด เช่นขนมปังกรอบ กินเป็นอาหารว่าง กินทีละน้อย แต่กินบ่อย 2. คลื่นไส้ ให้กินอาหารก่อนให้ยาเคมีบำบัด เลี่ยงอาหารที่มันเยิ้ม มีกลิ่นฉุน รับประทานอาหารแห้งประเภทแครกเกอร์ ขนมปังกรอบ อาหารที่เสิร์ฟไม่ปรุงรส ให้มีรสหวานตามธรรมชาติ ไม่ใส่เครื่องเทศ 3. อาเจียน จัดอาหารเหลวใสทุก 10-15 นาที หลังจากอาเจียน เช่น น้ำซุปใส น้ำหวาน น้ำผลไม้ ยกหัวให้สูงเพื่อเอนหลัง หรือการใช้ยาลดการอาเจียน 4. อิ่มเร็ว ให้เครื่องดื่มที่มีความเข้มข้นดื่มระหว่างมื่อ เช่น เสริมนมทางการแพทย์ เลี่ยงการกิน อาหารมันๆ  ของทอด  เนื่องจากย่อยยาก กินอาหารเป็นมื้อเล็กๆหลายมื้อ 5. การรับรสเปลี่ยน กลั้วคอหรือลิ้นก่อนรับประทานอาหาร ใช้น้ำมะนาวช่วย เมื่อลิ้นขม บางครั้งอาจจะทานเป็นอาหาร 6. ปากแห้ง รับประทานอาหารอ่อนที่มีน้ำมาก เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ก๋วยเตี๋ยวน้ำ อมลูกอม ไอศครีม รับประทานอาหารหวานจัด จิบน้ำบ่อยๆ 7. มีแผลในช่องปาก เจ็บปากและลิ้น ไม่รับประทานอาหารที่เป็นกรดหรือเปรี้ยว เครื่องเทศ เผ็ดร้อน อาหารเค็ม อาหารหยาบแข็ง ระวังเลือดออกในช่องปาก ให้อาหารที่เคี้ยวกลืนง่าย ได้แก่ ข้าวต้ม โจ๊กผสมผัก กล้วยสุก แตงโม วุ้น พุดดิ้ง ไข่ลวก  ข้าวโอ๊ต เสิร์ฟอาหารต้องไม่ร้อนหรืออุณหภูมิห้อง 8. ท้องเสีย แนะนำดื่มน้ำให้เพียงพอ เสริมเครื่องดื่มเกลือแร่ งดการดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนมประมาณ1สัปดาห์ หรือจนกว่าหยุดถ่าย งดอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง น้ำอัดลม 9. ท้องผูก แนะนำให้รับประทานใยอาหาร 25-35กรัมต่อวัน เช่น กินผัก ผลไม้ ธัญพืชเมล็ดมากๆ ดื่มน้ำ8-10แก้ว หรือน้ำลูกพรุน น้ำผลไม้อุ่นๆ เดินและออกกำลังกาย หรือปรึกษาแพทย์ อาหารที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ ถั่วแดง ธัญพืชไม่ขัดสี ซีเรียล ข้าวโพด ผักสด ผลไม้ หน่อไม้ฝรั่ง คื่นช่าย ถั่วลันเตา มะเขือ 10. อาหารสุกสะอาด ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวต่ำมาจากหลายสาเหตุ เช่น การฉายแสง เคมีบำบัด และจากตัวโรค ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรรับประทานอาหารปรุงสุกทันที เก็บรักษาอุณหภูมิเหมาะสม ปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกสะอาด ระวังเชื้อราจากผลไม้ ล้างมือบ่อยๆ ป้องกันการแพร่เชื้อ 11. น้ำลายเหนียว ทำให้ฟันผุง่าย ให้อาหารที่มีน้ำปกติ เครื่องดื่มที่มีกรดซิตริก น้ำผลไม้ปั่น เลี่ยงการรับประทานขนมปัง นม เจลาติน แอลกอฮอล์ ดูแลสุขภาพช่องปากสม่ำเสมอ 12. น้ำหนักลด เพิ่มแคลอรี่และโปรตีนในอาหาร รับประทานไขมันดีต่อสุขภาพ เพิ่มอาหารทางการแพทย์ 13. อ่อนเพลีย ให้อาหารอ่อนๆ เคี้ยวน้อยที่สุด พักผ่อนให้เพียงพอ หรือให้อาหารทางสายให้อาหาร

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ

ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ ข้อเดียว! ก็เสี่ยงแล้ว ผู้ที่มีความเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่ง แนะนำให้ตรวจสุขภาพหัวใจทุกปี ผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 45 ปี ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปี น้ำหนักเกินมาตราฐาน เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มีประวัติครอบครัว และญาติสายตรง เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ผู้ที่สูบบุหรี่ จะรู้ว่าเป็น..โรคหัวใจ..ได้อย่างไร   มีเครื่องมือตรวจค้นหา ดังนี้               -Echocardiogram             ใช้ในการวินิจฉัย และพยากรณ์โรค รวมทั้งตรวจหาความรุนแรง ติดตามผล การรักษาในโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถวัด ขนาด และดูความสามารถในการทำงานของหัวใจ รวมถึงโครงสร้างต่างได้ดี               -Exercise Stress Test             คือการให้ผู้ป่วยออกกำลังกายโดยการเดินบนสายพานตามโปรแกรมที่กำหนด เพื่อมุ่งเน้นการตรวจหาภาวะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบ หรือขาดเลือดเป็นสำคัญ หรืออาจใช้ตรวจหาการเต้น ผิดจังหวะที่เกิดร่วมกับการออกกำลังกายอีกด้วย การทดสอบชนิดนี้ใช้ในการวินิจฉัยแยกโรคในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก ได้เป็นอย่างดี               -CIMT             Carotid Intima Media Thickness เป็นการตรวจวัดการตีบตันของหลอด เลือดแดงที่คอ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด               -EKG             การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ช่วยในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ อุดตัน หัวใจโต ความผิดปกติของระดับเกลือแร่ในเลือด ฯลฯ               -ABI             Ankle-brachial index เป็นการตรวจวิเคราะห์ สมรรถภาพการแข็งตัวของ หลอดเลือดแดงส่วนปลาย เพื่อเช็คดูว่ามีโรคของหลอดเลือดแดงที่แขน หรือขาตีบ หรือไม่               -Tilt Table Test             (การทดสอบภาวะการเป็นลมหมดสติโดยการปรับระดับเตียง) เป็นการตรวจ พิเศษเพื่อที่ใช้ทดสอบผู้ป่วย ที่มีอาการเป็นลมโดยไม่ทราบสาเหตุ เพื่อหาทางแก้ไข หรือรักษาให้ถูกต้องต่อไป เนื่องจากอาการเป็นลม หมดสติ เกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจจะมาจากปัญหาทางด้านสมอง หัวใจ ความดันโลหิตต่ำ หรือความผิดปกติ ของระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ เป็นสาเหตุของการเป็นลมที่พบบ่อยที่สุด               -24 Hours Ambulatory ECG Recording             (การตรวจบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง ชนิดพกพา) คือ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง เป็นการติด เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง ไว้กับตัวท่าน โดยที่ท่านสามารถกลับไปพักที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ตามปกติ การตรวจวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่อาจจะมีปัญหาใจสั่นผิดปกติเป็นครั้งคราว หน้ามืดคล้ายจะเป็นลมอยู่เสมอ เวียนศีรษะ ใจเต้นแรงผิดปกติเป็นประจำ                ด้วยความปรารถนาดี จากศูนย์หัวใจ รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ถอดจากการสัมภาษณ์ ในรายการ Happy&Healthy ช่วง Health Talk FM.102 ทุกวันเสาร์ 09.00 -10.00 น. พัฒนาการในเด็ก

พัฒนาการในเด็ก ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันนี้ เรื่องของพัฒนาการของเด็ก มีส่วนสำคัญและพ่อแม่ให้ความสนใจกันมาก มีการวิจัยยืนยันว่า เด็กในยุคปัจจุบันนี้ สมองจะพัฒนาการได้ดีและเร็วที่สุดในช่วงประถมวัย นั่นคือหมายความว่า อายุก่อน 6 ปี จะมีพัฒนาการทางสมองและเรียนรู้ได้เร็วกว่าช่วงวัยอื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงของเด็กอายุ 3 ปีแรก จะเป็นช่วงที่เด็กจะมีพัฒนาทางด้านสมองเร็วได้เต็มที่มากกว่าวัยอื่นๆ ของทุกช่วงอายุ เพราะฉะนั้นการส่งเสริมทางด้านพัฒนาการเด็กในวัยนี้จึงจำเป็นและสำคัญ เช่น เด็กที่อายุ 1 ขวบครึ่ง เด็กจะต้องฝึกทักษะทางด้านการขับถ่าย 2 ขวบเด็กจะต้องฝึกเรื่องการทานอาหารเอง 3 ขวบเด็กจะต้องใส่กางเกงได้เอง ถ้าสมมติเราไม่ได้ฝึกทักษะลูกเราตรงนี้ พอพ้นวัย 6 ปีเป็นต้นไป จะกลับมาแก้ไขเป็นเรื่องที่ยาก   พยาบาลมีบทบาทสำคัญ ต่อการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในการที่จะให้ความรู้ คำแนะนำกับครอบครัว จะเริ่มดูแลเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของคุณแม่ มีการส่งเสริมให้ลูกได้ฟังเสียงหัวใจแม่ ฝึกให้คุณพ่อพูดคุยกับลูกผ่านทางท้องคุณแม่ เพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน บางทีเราอาจจะให้คุณแม่โยกตัวเบาๆ เพื่อเป็นการฝึกทักษะและฝึกพัฒนาการของลูกในด้านการเคลื่อนไหว ในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 7-8 เดือนขึ้นไป เราอาจจะส่องไฟฉายไปที่หน้าท้อง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมทางด้านการอยากรู้อยากเห็นของเด็ก   พอเด็กคลอดออกมาแล้ว พยาบาลจะมีหน้าที่ในการที่จะฝึกและสอนให้คุณแม่สังเกตและประเมินพัฒนาการของลูก ถ้าหากพยาบาลเจอเด็กมีแนวโน้มว่าพัฒนาการจะล่าช้า จะแนะนำให้แม่กลับไปฝึกทักษะ ถ้าฝึกทักษะกลับมาแล้ว 1 เดือนไม่ดีขึ้น พยาบาลก็จะส่งพบแพทย์ เพื่อตรวจและวินิจฉัยเพิ่มเติม ส่วนใหญ่แล้วก็จะเริ่มต้นที่อายุ 9 เดือน 18 เดือน 30 เดือน และ 42 เดือน   การสังเกตข้อบกพร่องพัฒนาการของเด็ก โดยพัฒนาการของเด็ก จะดูอยู่ที่ 5 ด้าน คือ 1.พัฒนาการทางด้านการเคลื่อนไหว หรือกล้ามเนื้อมัดใหญ่ หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการทรงตัว การเคลื่อนไหว และการเคลื่อนที่ เช่น การชันคอ การนั่ง การยืน และการคว่ำ เป็นต้น 2.พัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อมัดเล็ก และสติปัญญา เป็นการใช้สัมผัสต่างๆ การใช้มือเพื่อทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น การควบคุมกล้ามเนื้อมือ ตา ปาก การหยิบจับ การขีดเขียน เป็นต้น 3.พัฒนาการทางด้านการเข้าใจภาษา เกิดจากการเรียนรู้ ซึ่งเด็กๆ จะมีพัฒนาการที่ช้าหรือเร็วนั้น ก็ขึ้นอยู่กับอายุและวัยของเขาด้วย 4.พัฒนาการทางด้านการใช้ภาษา เด็กบางคน จะมีพัฒนาการต่างๆ ที่ช้ากว่าปกติ ถ้าลูกใช้เวลาในการเรียนรู้การคลาน การเดิน การกินอาหารเหลวช้า ก็อาจเป็นไปได้ว่าพัฒนาการทางการพูดจะช้าไปด้วย แต่ถ้าลูกเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่บอก และสามารถทำตามคำแนะนำคือลูกสามารถชี้บอกได้ว่าต้องการอะไร แสดงว่าลูกอาจจะมีพัฒนาการทางการพูดช้าและมีความเป็นไปได้ที่จะมีพัฒนาการอย่างสมบูรณ์เมื่อโตขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากเด็กไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งที่พ่อแม่ขอให้ทำ และไม่สามารถเลียนแบบหรือจดจำเสียงต่างๆ ได้เลย และเวลาได้ยินเสียงดังๆ ลูกก็ไม่รู้สึกตกใจ คุณแม่ควรพาลูกไปรับการตรวจเช็คหูและประสาทรับฟัง ปัญหาการได้ยิน ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการการพูด เด็กหลายคนควรจะสามารถเข้าใจบทสนทนาจากคนแปลกหน้าได้เมื่อพวกเขาอายุ 3-4 ปีขึ้นไป หากลูกของคนมีปัญหาในเรื่องนี้ พยายามปรึกษาคุณหมอหรือที่ปรึกษาเกี่ยวกับการพูดและฟังสำหรับเด็กแต่เนิ่นๆ เพื่อช่วยพัฒนาต่อไป 5.พัฒนาการทางด้านการช่วยเหลือตัวเองและสังคม เป็นความสามารถในด้านการรับรู้ เข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น รวมไปถึงการควบคุมอารมณ์ในการแสดงออก เพื่อการรักษาสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นๆ ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะเกิดขึ้นตั้งแต่วัยทารก หากทารกได้รับการตอบสนองอย่างเหมาะสม จะมีความไว้วางใจผู้เลี้ยงดู ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการด้านสังคมที่สำคัญ เมื่ออายุมากขึ้นเด็กจะมีการพัฒนาที่ซับซ้อนมากขึ้น จะเริ่มอยากเล่นกับเพื่อน มีกลุ่มเพื่อนสนิท ได้เล่น ได้แสดงความรู้สึก ได้เรียนรู้ข้อตกลง กฎเกณฑ์ต่างๆ ของสังคมตามวัยแต่ละช่วงอายุ   สาเหตุที่ทำให้พัฒนาการล่าช้า ส่วนใหญ่จะมีเรื่องของการคลอดก่อนกำหนด ความผิดปกติของพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม ความเจ็บปวด หรือว่าอุบัติเหตุ และก็ความพิการทางหู คอ จมูก และสิ่งที่เจอได้บ่อยๆ ในปัจจุบันก็คือจากการเลี้ยงดู  ในยุคนี้ สื่อและเทคโนโลยีทันสมัยเข้าถึงง่าย เราจะสังเกตเห็นว่าพ่อแม่จะให้ลูกเล่นเมือถือกันตั้งแต่เล็ก เด็กก็จะมีอาการสมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย รอคอยไม่เป็น บางคนก็จะดื้อ ต่อต้าน และรบกวนการนอนของเด็กด้วย  อีกกรณีที่เจอก็คือ ให้ลูกเล่นคนเดียว หลายๆ ท่านมักจะคิดว่า เราก็ใช้เวลากับลูกอยู่นะ ลูกก็นั่งเล่นของลูกไป ส่วนเราก็ทำงานหรือทำกิจกรรมของเราไป เพราะฉะนั้น เวลาคุณภาพหมายถึง พ่อแม่ต้องลงไปเล่นกับลูก เล่นอะไรก็ได้ที่สนุก เล่นอะไรก็ได้ที่ทำให้ลูกหัวเราะ               การเล่นเป็นธรรมชาติของเด็กทุกคน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็ก เป็นสิ่งที่นำไปสู่การเรียนรู้ รู้จักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สำหรับพ่อแม่แล้วลูกคือทุกสิ่งของชีวิต พ่อแม่ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างของลูกเช่นเดียวกัน แม้แต่การเล่น คงไม่มีของเล่นชิ้นไหนที่จะมีความสุข อบอุ่นไว้ใจ เท่ากับพ่อแม่อีกแล้ว   โดยคุณวิลาวัณย์ บุญจูง   หัวหน้าแผนกคลิกนิกบริการกุมารเวชและพยาบาลเฉพาะทาง สาขาพยาบาลเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการและพฤติกรรม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
<