เครื่องกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก

เครื่องกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก  (Transcranial Magnetic Stimulation, TMS)   เครื่องกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก เป็นเครื่องที่อาศัยหลักการเปลี่ยนกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดเหนี่ยวนำเป็นคลื่นแม่เหล็ก ซึ่งสามารถผ่านเนื้อเยื่อและกะโหลกศีรษะได้ ใช้ในการวินิจฉัยและการรักษาโรคทางสมอง ได้แก่ โรคอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคพาร์กินสัน โรคเส้นประสาทส่วนปลาย โรคปวดศีรษะไมเกรน เป็นต้น และใช้รักษาโรคซึมเศร้าได้   การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก สามารถทำได้ 2 วิธีคือ   1. การกระตุ้นด้วยคลื่นความถี่สูง โดยใช้ความแรงของการกระตุ้นตั้งแต่ 1 รอบต่อวินาทีขึ้นไป สำหรับรักษาโรคอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคพาร์กินสัน ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น 2. การกระตุ้นด้วยคลื่นความถี่ต่ำ โดยใช้ความแรงของการกระตุ้นต่ำกว่า 1 รอบต่อวินาที จะยับยั้งการทำงานของสมองที่ทำงานมากเกินไป เช่น โรคปวดศีรษะไมเกรน เป็นต้น ข้อบ่งใช้ในการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก โรคซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวนที่เกิดขึ้นหลังอุบัติเหตุทางสมอง อาการปวดเฉียบพลันและเรื้อรัง อาการปวดจากเส้นประสาท โรคสมอง ได้แก่ โรคอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคพาร์กินสัน เป็นต้น   วิธีการรักษา จะทำการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กวันละ 1 ครั้งจำนวน 5-10 วัน (เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการรักษาได้เต็มที่) ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ต่อการรักษา 1 ครั้ง ทั้งนี้แพทย์จะคอยถามและสังเกตอาการตลอดระยะเวลาในการกระตุ้น   ผลการรักษา คลื่นแม่เหล็กจะส่งดีต่อการทำงานของวงจรในสมอง มีผลต่อสารสื่อประสาท หลายชนิด เช่น ซีโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทเกี่ยวกับโรคไมเกรน อาการเจ็บปวด และความเครียด ลดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง และลดอาการซึมเศร้า   ข้อห้าม   ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pace maker) ผู้ที่มีโลหะในศีรษะ เช่น เคยผ่าตัดหลอดเลือดสมองโป่งพองและใช้อุปกรณ์หนีบหลอดเลือด หรือตามร่างกาย โรคลมชัก ผลข้างเคียงที่พบ มีความร้อนบริเวณที่กระตุ้น เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กทำให้อุณหภูมิภายในสมองสูงขึ้นแต่น้อยมากจะมีปวดตึงศีรษะบริเวณที่ทำการกระตุ้น คลื่นไส้ วิงเวียน อาการชัก อารมณ์พลุ่งพล่าน สำหรับผู้ป่วยจิตเวช   ข้อแนะนำก่อนทำ 1. แพทย์จะแนะนำการรักษา ข้อบ่งชี้ และข้อห้ามในการใช้เครื่องมือดังกล่าว 2. ก่อนทำการกระตุ้นสมอง แพทย์จะกระตุ้นเส้นประสาทส่วนปลายก่อน เพื่อให้ร่างกายรับรู้และคุ้นเคยกับความแรงและความถี่ของการกระตุ้น 3. เมื่อท่านคุ้นเคยแล้ว แพทย์จะกระตุ้นสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคที่เป็น เช่น อัมพาต อัมพฤกษ์ จะกระตุ้นสมองด้านตรงกันข้ามกับอาการอ่อนนแรง เป็นต้น โดยกระตุ้นซ้ำเป็นชุดๆ  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สมองและระบบประสาท                          โทร.0-2561-1111 ต่อ 1214

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เรื่องสั้นวันไตโรค2018 เรื่อง ไร้ไต ไม่ไร้หัวใจ

แพทย์หญิงอุษณา ลุวีระ อายุรแพทย์โรคไต เรื่องสั้นวันไตโรค2018 เรื่อง ไร้ไต ไม่ไร้หัวใจ วัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่   ฉันชื่อเด็กหญิงสมใจ   ใจดี  อายุ  10 ปี   แม่พาไปหาหมอเพราะมีอาการบวมทั้งตัว  มา1 สัปดาห์  หมอบอกว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง  ไตทำงานเพียง  10%  เท่านั้น  พ่อและแม่ ร้องไห้ เป็นทุกข์มาก  ฉันไม่เข้าใจ  หมอบอกว่ามีทางรักษาอย่าเสียใจไปเลย   หมอให้ยาขับปัสสาวะมารับประทาน    อาการบวมยุบลง  ฉันไปโรงเรียนได้    ต่อมาก็บวมทั้งตัวอีก  คราวนี้มีหอบด้วย  หน้าตาซีด  เพื่อนๆล้อว่า  ซีดเหมือนไก่ต้ม  แม่พาไปหาหมออีก  หมอบอกว่าต้องส่งไปโรงพยาบาลจังหวัด  เพราะหมอรักษาไม่เป็น  และเขียนจดหมายให้แม่นำไปหาหมอที่โรงพยาบาลจังหวัด  คนมากจัง  รอนานกว่าจะได้พบหมอ      ในที่สุดฉันก็ได้พบหมอ  หมอรับฉันเข้าโรงพยาบาล  เจาะเลือดไปตรวจ   เอ็กซเรย์  ให้อ๊อกซิเจน  และยาขับปัสสาวะ            ฉันยังคงเหนื่อยมาก  หมอจึงเจาะท้องเอาสายนิ่มๆใส่เข้าท้อง  ฉันเจ็บไม่มาก  หมอเอาน้ำยาจากถุงใส่เข้าท้องครึ่งถุง  ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วถ่ายออก  ใส่น้ำยาที่เหลือจนหมดถุง  ทำซ้ำๆกัน  ฉันเหนื่อยและบวมน้อยลง  หมอให้เลือด2ถุงและฉีดยาให้   อีก  2 สัปดาห์หมอให้กลับบ้านได้และสอนให้แม่เปลี่ยนน้ำยาที่บ้าน  โดยปล่อยน้ำยาจากถุงเข้าช่องท้องทางสายที่เจาะเข้าช่องท้องครึ่งถุงทิ้งไว้ 4  ชั่วโมง  แล้วปล่อยน้ำยาออกจากช่องท้องลงใส่ถุงอีกใบหนึ่ง   และปล่อยน้ำยาที่เหลือเข้าท้องจนหมดถุง ปลดถุงออก    ฉันสามารถเดิน  วิ่งได้  ไม่เหนื่อย  ไปโรงเรียนได้   เปลี่ยนน้ำยาขนาด2ลิตร วันละ  3 ถุง     ก่อนไปโรงเรียนแม่จะเปลี่ยนเอาน้ำยาเข้าท้อง  แล้วปลดถุงออก     ตอนเย็นแม่จะปล่อยน้ำยาออก  แล้วใส่น้ำยาใหม่เข้าท้องเปลี่ยนจนครบวันละ 3 ถุง  ฉันสบายดี  กินอาหารได้ดี  นอนหลับได้ ไม่เหนื่อย   หมอแนะนำให้ผ่าตัดปลูกถ่ายไต  โดยให้  พ่อ หรือ  แม่  บริจาคไตให้ฉัน   ฉันจะหายเป็นปกติ   แม่ตกลงใจยกไตให้ฉันหนึ่งข้าง  หมอตรวจเนื้อเยื่อและกลุ่มเลือดพบว่าเข้ากันได้  วันผ่าตัดฉันเจ็บแผลไม่มากแต่แม่เจ็บมากกว่าฉัน  หลังผ่าตัดมีปัสสาวะออกมากทันที   หมอพอใจมาก  ต้องรับประทานยาวันละ 2 ครั้ง  ประมาณ 2  สัปดาห์  ฉันออกจากโรงพยาบาล กลับมาเรียนหนังสือ  ต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด  พบแพทย์ทุก  2 เดีอน  ฉันสบายดี   ตัวโตขึ้น  ฉันเรียนจบปริญญาตรี  ได้ทำงานที่บริษัทใกล้บ้าน   เมื่อฉันอายุได้  25  ปี  หมอบอกว่าไตของฉันทำงานไม่ดี  หมอพยายามให้ยาหลายอย่าง  สุดท้ายฉันมีอาการตัวบวม  หอบเหนื่อย  ซีด   คลื่นไส้   อาเจียน  หมอบอกว่าไตฉันเข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายอีกครั้ง   ต้องฟอกเลือด   เนื่องจากฉันทำงานที่บริษัท  มีสิทธิรักษาโดยกองทุนประกันสังคม    ฉันเลือกรักษาโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม  ซึ่งกองทุนประกันสังคมออกเงินให้    ครั้งแรกฟอกเลือดที่โรงพยาบาลจังหวัด   ต่อมาย้ายมาฟอกเลือดที่หน่วยไตเทียมข้างที่ทำงานของฉัน    สัปดาห์ละ3  ครั้ง  ๆละ4 ชั่วโมง  ต้องถูกเข็มแทงที่แขนเอาเลือดออกมาฟอกทุกครั้ง  ฉันสบายดีแต่เสียเวลามานอนฟอกเลือด  ไม่มีเวลาเที่ยวเตร่  ต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อชดเชยที่เสียเวลาฟอกเลือด   หมอแนะนำให้ฉันปลูกถ่ายไตอีกครั้ง  พ่ออายุมากเป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง    ให้ไตไม่ได้  พี่สาวมีลูกอ่อน    น้องชายอายุ 18 ปี  หมอแนะนำให้ไปลงทะเบียนรอไตบริจาคจากศูนย์รับบริจาคอวัยวะ  สภากาชาดไทย  ฉันรออยู่ 5 ปี   ฉันอายุุ 30  ปี วันหนึ่งหมอเรียกให้ไปรับการปลูกถ่ายไต ซึ่งได้ไตจากผู้บริจาคสมองตาย  กลุ่มเลือดและเนื้อเยื่อเข้ากับฉันได้ดี    การผ่าตัดประสบความสำเร็จไม่มีโรคแทรกซ้อน   ปัสสาวะออกดี  ฉันรับประทานยาหลายชนิดตามแพทย์สั่ง  หลังจากออกจากโรงพยาบาล   ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและรับยาทุก 2 เดือน  ไตทำงานได้ดี   2 ปีต่อมาฉันแต่งงานกับแฟนฉัน   และอีก 1ปี ต่อมาฉันตั้งครรภ์และคลอดลูกเป็นผู้ชาย  น้ำหนัก 2800 กรัม   แข็งแรงทั้งแม่และลูก  ลูกชายฉันน่ารักมาก  เลี้ยงง่าย  ครอบครัวเรามีความสุขมาก  ฉันขอให้ทุกคนที่เป็นโรคไตเหมือนฉัน  จงมีกำลังใจ อดทนรักษาตัวเองตามหมอสั่ง  รับประทานยา  อาหารที่ถูกต้อง 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

หน้าที่ของไต และ 10นิสัยร้ายทำลาย

ไต           ไต เป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วเหลือง มี 2 ข้าง อยู่ด้านหลังใต้กระดูกชายโครงบั้นเอว ซ้ายขวาข้างละ 1 อัน   หน้าที่ของไต 1.       ขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญอาหาร  2.       รักษาความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย 3.       สร้างสารควบคุมความดันโลหิต 4.       กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด 5.       กำจัดสารพิษ สารเคมี รวมทั้งขับถ่ายยาออกจากร่างกาย   10  นิสัยร้ายทำลาย “ไต” 1.       กลั้นปัสสาวะ Holding Urine 2.       ดื่มน้ำไม่เพียงพอ Do not Drinking Enoungh Water 3.       รับประทานอาหารรสเค็มมากเกินไป Excessive Salt Intake  4.       ไม่รักษาอการติดเชื้อทั่วไปอย่างถูกต้องในทันที Do Not Treat The Intection Immediately 5.       รับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป Excessive Animal Protein Intake 6.       ใช้ยาฉีดอินซูลิน ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน To Long Use Of Insulin 7.       ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป Excessive Alcohl Use 8.       พักผ่อนไม่เพียงพอ Sleep Deprivation 9.       ใช้ยาระงับความเจ็บปวดบ่อย ๆ Painkillers Abuse 10.      รับประทานอาหารไม่เพียงพอ Vitamin and Mineral Deficiency         ด้วยความปรารถนาดี รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

MRI คืออะไร

MRI (Magnetic Resonance Imaging) คือ เครื่องตรวจร่างกายโดยการสร้างภาพเหมือนจริง ของส่วนต่างๆของร่างกาย โดยใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูง และคลื่นความถี่ในย่านความถี่วิทยุ (Radio Frequency) ด้วยการส่งคลื่นความถี่เข้าสู่ร่างกาย และรับคลื่นสะท้อนกลับ นำมาประมวลผลและสร้างเป็นภาพ ด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถให้รายละเอียดและความคมชัดเสมือนการตัดร่างกายออกเป็นแผ่นๆ ทำให้แพทย์สามารถมองจุดที่ผิดปกติในร่างกายคนเราได้อย่างละเอียด โดยที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆต่อผู้รับการตรวจ     ข้อบ่งชี้และข้อดีในการใช้ MRI 1. MRI สามารถให้ภาพที่แยกความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อต่างๆ ได้ชัดเจน ทำให้มีความถูกต้องแม่นยำในการวินิจฉัยโรคมากยิ่งขึ้น อีกทั้งสามารถทำการตรวจได้ในทุกๆระนาบ ไม่ใช่เฉพาะแนวขวางอย่างเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 2. ใช้ได้ดีกับส่วนที่ไม่ใช่กระดูก (non bony parts) คือเนื้อเยื่อ (soft tissues) โดยเฉพาะ สมอง เส้นประสาทไขสันหลัง และเส้นประสาทในร่างกาย ( CT scan ดูภาพกระดูกได้ดีกว่า ) 3. ใช้ได้ดีกับ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นยึดกระดูกและกล้ามเนื้อ 4.สามารถตรวจเส้นเลือดได้โดย ไม่ต้องเสี่ยงกับการฉีดสารทึบรังสี และการสวนสายยางเพื่อฉีดสี ซึ่งมีประโยชน์ต่อวงการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะมีความปลอดภัยสูงและค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ยังสะดวกสบายกว่าเพราะไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดๆทั้งก่อนและหลังการตรวจ คนไข้สามารถกลับบ้านได้ทันทีที่ตรวจเสร็จ 5.  ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อเหมือนใน CT scan เพราะไม่ใช้คลื่นรังสี ระบบ หรือ อวัยวะควรได้รับการตรวจ ด้วย MRI 1.MRI of Nervous System ใช้ได้ดีในการตรวจสมอง ไขสันหลังและเส้นประสาทในร่างกาย สามารถมองเห็นรอยโรคได้อย่างชัดเจน เช่น ภาวะสมองขาดเลือดโดยเฉพาะในช่วงแรก และความผิดปกติบริเวณก้านสมอง (สามารถตรวจหาความผิดปกติได้ดีกว่าการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์) โรคเนื้องอกของสมอง และโรคลมชัก  2.MRI  of Musculoskeleton Systemใช้ได้ดีในการตรวจกระดูกสันหลังและระบบกล้ามเนื้อและข้อ ช่วยในการวินิจฉัยรอยโรคต่างๆ เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทหรือการบาดเจ็บต่อเส้นเอ็นบริเวณข้อต่างๆ  ปัจจุบันได้มีการตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอ็มอาร์ไอ) เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคของกระดูกและข้อเป็นจำนวนมาก การตรวจ MRI จะเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในโพรงกระดูก หรือไขกระดูกได้อย่างชัดเจน เช่น เนื้องอกภายในกระดูก MRI จะสามารถบอกขอบเขตของโรคได้ถูกต้องแม่นยำ เพื่อประโยชน์ในการวางแผนการรักษา โรคของกระดูกบางอย่างเช่น การขาดเลือดไปเลี้ยงที่หัวของกระดูกต้นขา MRI เป็นการตรวจที่ไวที่สุด สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ แม้ภาพเอ็กซ์เรย์ธรรมดายังปกติอยู่ ข้อที่มีการตรวจ MRI มากที่สุด คือ ข้อเข่า รองลงมา คือ ข้อไหล่ เมื่อสงสัยว่าจะมีการฉีกขาดของเส้นเอ็นหรือกระดูกอ่อนภายในข้อ การถ่ายภาพเอ็กซเรย์ธรรมดา อาจเห็นเพียงเงาของน้ำในข้อ แต่ MRI จะเห็นส่วนประกอบต่างๆภายในข้อได้อย่างชัดเจน และบอกได้อย่างแม่นยำว่ามีการบาดเจ็บต่อส่วนประกอบเหล่านั ้นอย่างไรบ้าง 3.MRI of Blood Vessels สามารถตรวจหลอดเลือดของอวัยวะต่างๆได้ดี (Magnetic Resonance Angiography,MRA) เช่น ความผิดปกติของหลอดเลือดสมองหรือ การตีบตันของหลอดเลือดไต โดยไม่ต้องเจาะใส่สายสวนเพื่อฉีดสี มีความปลอดภัยสูงสะดวกสบาย ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดๆทั้งก่อนและหลังการตรวจ และสามารถกลับบ้านได้ทันที  4.MRI of Abdomen สามารถตรวจช่องท้อง ท่อทางเดินน้ำดี และถุงน้ำดี (Magnetic Resonance Cholangiopancreatography,MRCP) ซึ่งให้ภาพที่ชัดเจนและเหมาะสำหรับการตรวจหาโรค เช่น นิ่วในทางเดินน้ำดี เนื้องอก หรือมะเร็งในท่อน้ำดีและบริเวณโดยรอบซึ่งทำให้เกิดการอุดตัน ตลอดจนสามารถแยกแยะเนื้องอกในช่องท้องได้ดี ข้อพึงระวังก่อนเข้ารับการตรวจ MRI นับตั้งแต่ที่มีการใช้ MRI ไม่พบ รายงานถึงผลข้างเคียง แต่การใช้ MRI ก็มีข้อควรระวัง ดังนี้     ควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่กลัวที่จะอยู่ในที่แคบๆ ไม่สามารถนอนในอุโมงค์ตรวจได้ (claustrophobic) เพราะ MRI มีลักษณะเป็นโพรง     ควรหลีกเลี่ยงในรายที่มีโลหะฝังอยู่ในร่างกาย เช่น         ผู้ที่ผ่าตัดติดคลิปอุดหลอดเลือดในโรคเส้นเลือดโป่งพอง (Aneurism Clips ) (คลิปรุ่นใหม่มักเป็นรุ่น MRI compatible สามารถตรวจ MRIได้)         metal plates ในคนที่ดามกระดูก         คนที่เปลี่ยนข้อเทียม         คนที่ใส่ลิ้นหัวใจเทียม (Artificial Cardiac valve)         ผู้ที่ผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้เป็นจังหวะ         ผู้ที่ผ่าตัดใส่อวัยวะเทียมภายในหู         ผู้ป่วยที่ใส่ Stent ที่หลอดเลือดหัวใจต้องสอบถามจากแพทย์ที่ใส่ Stent ว่าเป็น Stent ชนิดใดจะทำ MRI ได้หรือไม่หรือต้องรอกี่สัปดาห์ค่อยทำ ปัจจุบัน Stent ที่หลอดเลือดหัวใจถ้าเป็นรุ่น MRI compatible สามารถทำได้ทันทีไม่มีผลเสียใดๆ     ควรหลีกเลี่ยงในคนที่ เตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัด สมอง ตา หรือ หู ซึ่งจะต้องฝัง เครื่องมือทางการแพทย์ไว้ (medical devices)     ใส่เหล็กดัดฟัน ถ้าต้องทำ MRI ตรวจในช่วงบริเวณ สมองถึงกระดูกคอควรต้องถอดเอาเหล็กดัดฟันออกก่อน เพราะจะมีผลต่อความชัดของภาพ     ผู้ที่ รับการตรวจร่างกายด้วย MRI จะต้องนำโลหะต่างๆออกจากตัว เช่น กิ๊ฟหนีบผม ฟันปลอม ต่างหู เครื่องประดับ ATM บัตรเครดิต นาฬิกา thumbdrive Pocket PC ปากกา ไม่เช่นนั้น อาจจะทำให้ สิ่งของได้รับความเสียหาย และอาจถูกฉุดกระชาก นอกจากนี้ยังทำให้ภาพที่อยู่บริเวณโลหะไม่ชัด     ไม่ควรใช้อายชาโดว์ และมาสคาร่า เพราะอาจมีส่วนผสมของโลหะ ทำให้เกิดเป็นสิ่งแปลกปลอมในภาพได้     จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่พบว่าการตรวจ MRI มีอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆไม่ควรตรวจในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์     ห้องตรวจ MRI มีสนามแม่เหล็กแรงสูงตลอดเวลา มีผลต่อการทำงานของเครื่องมือที่ไวต่อแม่เหล็ก เช่น เครื่องกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้เป็นจังหวะ ดึงดูดวัตถุที่เป็นโลหะทุกชนิดที่เหนี่ยวนำแม่เหล็ก เช่น เหล็กโลหะอื่น ๆ ที่มีส่วนประกอบของเหล็ก ลบข้อมูลจากเทปแม่เหล็ก การ์ดที่ใช้แถบแม่เหล็ก เช่น ATM , บัตรเครดิต , นาฬิกา , thumbdrive หรือ พวกเครื่อง Pocket PC ขั้นตอนการเข้ารับการตรวจ MRI 1.   หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเพื่อที่พร้อมสำหรับการตรวจ ผู้รับการตรวจจะได้รับการพาเข้าสู่ห้องตรวจ 2.   ผู้รับการตรวจจะนอนบนเตียงตรวจ และมีการทำเครื่องจับสัญญาณคลื่นแม่เหล็กมาวางบนร่างกาย โดยน้ำหนักโดยรวมของเครื่องจับสัญญาณนี้ประมาณ 1 กิโลกรัม 3.  ผู้รับการตรวจนอนสบายๆ นิ่งๆ บนเตียงตรวจ และทำตามเสียงที่บอก เช่น ให้หายใจเข้าแล้วกลั้นใจ หรือว่าอย่ากลืนน้ำลาย 4.  ตัวเราจะเคลื่อนไปยังศูนย์กลางของสนามแม่เหล็ก เราอาจจะรู้สึกสั่นสะเทือนและไถลเล็กน้อยระหว่างที่มีการถ่ายภาพ 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เครื่อง Pristine ใช้เทคโนโลยีการผลัดเซลล์ผิวที่เรียกว่า Diamond – peel Microdermabrasion โดยใช้ Laser – cut Diamond –tip

Pristine  Diamond – Peel  Microdermabrasion  A  Skincare  Treatment  Like No  Other Pristine by Viora            เครื่อง Pristine ใช้เทคโนโลยีการผลัดเซลล์ผิวที่เรียกว่า Diamond – peel Microdermabrasion โดยใช้ Laser – cut Diamond –tip ร่วมกับการใช้ระบบดูดแบบสูญญากาศ (Vacuum) ทำให้สามารถผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าและสิ่งอุดตันออกได้อย่างมีประสิทธิภาพและนุ่มนวลกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน (Collagen) อีลาสติน (Elastin) อีกทั้งยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด หลังเข้ารับการรักษาเพียงครั้งแรกสัมผัสได้ถึงผิวที่สดชื่น สะอาด และดูอ่อนเยาว์  • ช่วยรักษาเรื่องใดบ้าง                       - Exfoliation ผลัดเซลล์ผิว                       - Fine lines ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ                       - Acne scars หลุมสิว                       - Sunspots รอยหมองคล้ำ                       - Uneven skin texture  ผิวไม่เรียบเนียน • การทำงานของเครื่อง ใช้เทคโนโลยีอะไร             Diamond – peel Microdermabrasion โดยเครื่อง Pristine เป็นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่มีความปลอดภัยไม่มีบาดแผลขัดผิวอย่างนุ่มนวล กระตุ้นการสร้างผิวใหม่ โดยใช้หัวทิปชนิดพิเศษที่เรียกว่า Laser – cut Diamond –tip มีให้เลือกใช้ถึง 10 แบบ ทำงานประสานกันกับระบบดูดแบบสูญญากาศ (Vacuum) โดยสามารถเลือกหัว Diamond –tip และระดับแรงดูดสูญญากาศให้เหมาะสมกับสภาพผิวของผู้เข้ารับการรักษา • ผู้ที่เหมาะสมต่อการเข้ารับการรักษา            เครื่อง Pristine สามารถให้การรักษาได้อย่างปลอดภัยในทุกสภาพผิว  งดเว้นในผู้ที่มีอาการผิวแห้ง ลอก หรือมีการอักเสบของผิว • บริเวณที่ทำการรักษาได้           เครื่อง Pristine มี Diamond Tips หลากหลายขนาดให้เลือกใช้สามารถทำการรักษาได้ครอบคลุม อีกทั้งสามารถทำการรักษาได้ในผู้ที่มีผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่าย ผิวไม่เรียบเนียน หรือบริเวณที่เข้าถึงยาก เช่น รอบดวงตา เป็นต้น • ต้องเข้ารับการรักษาบ่อยแค่ไหน            สามารถเห็นผลการรักษาได้ทันทีหลังการรักษาในครั้งแรกแนะนำให้ทำการรักษา 6 – 8 ครั้ง ห่างกันทุก 2 สัปดาห์ • ความรู้สึกระหว่างรับการรักษาด้วยเครื่อง Pristine            ขณะทำการรักษารู้สึกได้ถึงแรงดูดสูญญากาศที่เคลื่อนบนผิวอย่างนุ่มนวล ไม่เจ็บ ระยะเวลาในการทำการรักษาขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ทำการรักษา หากทำการรักษาทั่วหน้าใช้ระยะเวลาประมาณ 10 – 15 นาที • การรักษาด้วยเครื่อง Pristine มีความปลอดภัยหรือไม่           เครื่อง Pristine มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย ไม่เจ็บ ไม่มี Downtime  คุณสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ารับการรักษาด้วยเครื่อง Pristine • การดูแลหลังรับการรักษาด้วยเครื่อง Pristine           หลังทำการรักษาจะเห็นผิวบริเวณที่ทำการรักษามีสีชมพูระเรื่อผิวหน้าอาจแห้งลง 1 – 2 วัน ควรเน้นทาครีมที่ให้ความชุ่มชื้นและครีมกันแดดหลังทำการรักษา                            ศูนย์ผิวหนังและเลเซอร์ รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

Cardiac Catheterization Laboratory (ห้องสวนหัวใจ)

  เป็นหัตถการของศูนย์หัวใจซึ่งการตรวจในห้องสวนหัวใจ ส่วนใหญ่ไม่ต้องดมยาสลบ  อุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในตัวผู้ป่วย เช่น สายสวน บอลลูน หรือขดลวด มีขนาดเล็กใกล้เคียงกับไส้ดินสอหรือไส้ปากกาหมึกแห้ง ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดใช้วิธีการฉีดยาชาและสอดสายสวนแก้ไขและไม่ต้องกังวลต่อการเกิดแผล เป็นหัตถการส่วนใหญ่ในห้องสวนหัวใจ ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน ถ้าผู้ป่วยมาเพื่อการวินิจฉัยโรค จะต้องพักฟื้นในโรงพยาบาล 1 คืน สำหรับผู้ป่วยที่มารับการซ่อมแซมหลอดเลือด หรือใส่อุปกรณ์เพื่อการรักษา จะต้องพักฟื้นในโรงพยาบาล 1-3 คืน แพทย์จะให้คำปรึกษาและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยซักถามอย่างละเอียด รวมถึงความเสี่ยงและทางเลือก ก่อนการทำหัตถการทุกครั้ง การบริการห้องสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization Laboratory) ได้แก่ 1.การฉีดสีตรวจวินิจฉัยและการรักษาซ่อมแซมหลอดเลือดทุกตำแหน่งโดยใช้บอลลูน ขดลวด การขยายหลอดเลือด การดูดลิ่มเลือดที่อุดตันหลอดเลือด ตัวอย่าง  หลอดเลือดที่สามารถซ่อมแซมได้ด้วยวิธีเหล่านี้ คือ             -หลอดเลือดหัวใจ ในผู้ป่วยหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน             -หลอดเลือดสมอง (Carotid Artery หรือ Vertebral Artery) ในผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต             -หลอดเลือดไต ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง หรือไตเสื่อม จากหลอดเลือดไตตีบ             -หลอดเลือดแขน ขาที่มีโรคหลอดเลือด เช่น ในผู้ป่วยที่ปวดขาเวลาเดิน หรือผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเรื้อรัง   2.การตรวจและรักษาความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจ ได้แก่             -การสร้างแผนภูมิของสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจระบบ 3 มิติ (Advance 3-D Mapping System)             -การจี้แก้ไขบริเวณที่เต้นผิดปกติด้วยคลื่นวิทยุ (Rediofrequency Ablation)             -การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ(Pacemaker)             -การฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ(Implantable Cardioverter Defibrillator)             -การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจสองห้องในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว(Cardiac Resynchronization Therapy)    ด้วยความปรารถนาดี จาก รพ.วิภาวดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เครื่องเอกซเรย์ตรวจสวนหัวใจหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง คืออะไร

 เครื่องเอกซเรย์ตรวจสวนหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง คืออะไร               เป็นเครื่องมือสำหรับการตรวจทางรังสีวินิจฉัยหลอดเลือด (Angiography) ถือเป็นหัตถการทางรังสีวินิจฉัยที่เป็นมาตรฐานในการตรวจวินิจฉัยหลอดเลือด ซึ่งให้ความถูกต้องและแม่นยำมากกว่าการตรวจหลอดเลือดด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นหัตถการอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจและทางรังสีในการวินิจฉัยและรักษา รวมทั้งในผู้ป่วยบางรายที่พบรอยโรคและไม่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด หรือมีความเสี่ยงสูงหากทำการผ่าตัด                                                           การรักษาด้วยหัตถการทางรังสีร่วมรักษา(Intervention) ซึ่งเป็นหัตถการต่อยอดของทางรังสีวิทยาหลอดเลือดจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรคเหล่านั้น โดยทางรังสีร่วมรักษามีชนิดของหัตถการจำนวนมาก ซึ่งมีข้อดีคือทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วย และการพักฟื้นหลังหัตถการน้อย บางหัตถการทำเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านในวันเดียวได้              อาการที่มีความเสี่ยงของโรคหัวใจ      1.ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในส่วนของหัวใจที่ต่างกัน ทำให้โรคหัวใจมีอาการต่างกันไปในแต่ละชนิด โรคหลอดเลือดหัวใจ  มักเจ็บหรือแน่นหน้าอก ร้าวไปกราม แขน ลำคอ ท้อง หรือบริเวณหลัง อาจมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง หรือหมดสติได้     2.โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ  อาการผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ อาจเต้นเร็วหรือช้าผิดปกติ หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ทำให้รู้สึกใจสั่นเหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ หรือคล้ายจะเป็นลมได้เช่นกัน   3. โรคกล้ามเนื้อหัวใจ เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม อาการจะมากขึ้นเมื่อต้องออกแรงหนัก ๆ หากรุนแรงมากขึ้นจะเหนื่อยแม้ขณะนั่งอยู่เฉย ๆ มีอาการบวมตามแขน ขา หนังตา ร่วมกับอ่อนเพลีย นอนราบไม่ได้ และตื่นขึ้นมาไอในเวลากลางคืน        4. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด  เกิดขึ้นเมื่อทารกอยู่ในครรภ์มารดา อาจแสดงอาการทันทีเมื่อแรกคลอด หรือภายหลัง เช่น เหนื่อยง่ายเวลาออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน กลุ่มที่มีอาการมากจะทำให้เลี้ยงไม่โต  ในทารกมีอาการเหนื่อยขณะให้นมหรือติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย ๆ เป็นต้น       5.โรคลิ้นหัวใจ อาการขึ้นอยู่กับความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่เกิดขึ้น อาจไม่แสดงอาการใด ๆ หรืออาจได้ยินเสียงผิดปกติจากการตรวจร่างกายเท่านั้น แต่หากมีความผิดปกติของลิ้นหัวใจมากก็จะมีอาการเหนื่อยง่าย และเกิดภาวะหัวใจวายหรือน้ำท่วมปอดได้     6.โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ  มักจะเป็นไข้เรื้อรัง  อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หัวใจเต้นผิดปกติ หายใจหอบเหนื่อย ไอเรื้อรังแห้ง ๆ ขาหรือช่องท้องบวม รวมถึงมีผื่นหรือจุดขึ้นตามผิวหนัง      นอกจากนี้ยังสามารถตรวจหลอดเลือดสมองและทำการรักษาทางรังสี แก้ไขปัญหาที่เกิดจากหลอดเลือดสมอง   อาการที่ผิดปกติและเป็นสัญญาณเตือนว่ามีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ 1.         แขน ขา อ่อนแรงครึ่งตัว (Hemiparesis) 2.         แขน ขา ชาครึ่งซีก (Hemianesthesia) 3.         พูดไม่ชัดลิ้นแข็ง (Dysarthria) 4.         พูดไม่ออกฟังไม่เข้าใจ (Aphasia) 5.         ลานสายตาผิดปกติครึ่งซีก (Homonymous  Hemianopsia) 6.         มองเห็นภาพซ้อน (Binocular Diplopia) 7.         เดินเซ (Ataxia or Incoordination) 8.         ซึมลง (Impaired Consciousness) 9.         เวียนศีรษะบ้านหมุน (Vertigo)   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ศูนย์หัวใจ รพ.วิภาวดี โทร 02-561-1111 ต่อ 1322,1323

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

กินไม่(คิด) ชีวิตเสี่ยงโรค

   ปัจจุบันเทรนของอาหารมีความหลากหลายผู้คนต่างนิยมเลือกซื้อเพราะรสชาติที่อร่อยและสีสันที่น่ากินแต่ใครจะรู้ว่าอาหารเหล่านี้มีส่วนประกอบอะไรบ้าง รสชาติที่แสนอร่อยแต่เต็มไปด้วยสารพิษ ดังนั้นก่อนเราจะเลือกกินอะไรเข้าไปควรหยุดคิดสักนิดเพื่อสุขภาพร่างกายของเรา สารพิษที่ปะปนอยู่ในอาหารแต่ละมื้อที่เผลอรับประทานเข้าไปโดยไม่รู้ตัว?         สารเร่งเนื้อแดง ระวังเนื้อสัตว์ที่เนื้อเยอะไขมันน้อย สารเร่งเนื้อแดงคือสาร เบต้าอะโกนิสต์ ผู้เลี้ยงจะใช้สารนี้ผสมกับอาหารสัตว์เพื่อเร่งการเจริญเติบโต และใช้ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ที่กินเข้าไปมีอาการ มือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กระวนกระวาย วิงเวียน ปวดหัว คลื่นใส้ เป็นลม หรืออาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นวิธีการเลือกเนื้อสัตว์ควรเลือกเนื้อสัวต์ที่ไขมันน้อย หรือเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ผงกรอบ (บอแรกซ์) ชื่อที่คุ้นเคยกันดี แต่รู้ไหมผงกรอบมีชื่อทางเคมมีว่า โซเดียมเตตราบอเรต (Sodium tetraborate) ซึ่งมีผู้ผลิตหลายคนนำมาใส่ในอาหารเพื่อให้อาหารดูสด กรุบกรอบน่ากิน เมื่อผู้บริโภคกินเข้าไป อาจมีอาการอาเจียน น้ำหนักลด มีผื่นคันที่ผิว หนังตาบวม เยื่อตาอักเสบ อาจอาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง ตับและไตอักเสบ อาจชัก และเสียชีวิตได้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารผักดอง ลูกชิ้น หมูยอ ผลไม้ดอง และผักสดบางชนิด เช่น ถั่วฝักยาวที่กรอบผิดปกติ สารฟอกขาว เป็นกลุ่มที่เรียกว่า ซัลไฟต์  เป็นสารที่ยับยั้งอาหารไม่ให้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เช่น ถั่วงอก ยอดมะพร้าว เพื่อให้ดูน่ารับประทานมากขึ้น อาการของผู้รับสารชนิดนี้ ปากและคออักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ความดันต่ำ ถ่ายเป็นเลือด ชัก หายใจไม่ออก ไตวาย หรือหากสัมผัสสารอาจเป็นโรคผิวหนังอักเสบได้ เป็นพื่นแดงได้ ควรรีบพบแพทย์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่โดนแดดนานๆ แล้วสีไม่คล้ำ และควรสังเกตุก่อนซื้อ ถั่วงอก ขิงซอย ยอดมะพร้าวอ่อน หน่อไม้ ทุเรียนกรอบ กระเทียมดอง น้ำตาลปี๊ป ฟอร์มาลิน สารเคมีชนิดนี้เป็นสารอันตรายและห้ามใช้ในอาหารทุกชนิด แต่ก็ยังมีผู้ประกอบอาหารบางรายนำมาใส่ในอาหารเพื่อให้อาหารสดใหม่ ไม่เน่าเสียได้ง่าย ดังนั้นควรเลือกซื้อให้ถูกหลัก -เลือกผักสดที่ไม่แข็งกรอบจนเกินไปหรือมีกลิ่นฉุนจนแสบจมูก -เลือกอาหารทะเลสดที่เนื้อไม่เปื่อยยุ่ย มีน้ำแข็งรักษาความสดไว้ สารกันรา สารกันราหรือสารกันบูด คือกรดซาลิซิลิค มักใช้กันในแชมพูสระผมและนำมาใส่อาหารเพื่อกันเชื้อราขึ้น ผู้ที่กินเข้าไปจะมีอาการผื่นคัน หายใจถี่และผิดปกติ อาเจียน ผิวหนังเป็นสีเขียวจากการขาดออกซิเจน หรือโลหิตเป็นพิษ ควรเลือกซื้ออาหารที่สดใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง สีผสมอาหาร ขนมสีสวยน่ากินหลายชนิดนิยมใส่สีผสมอาหาร เพื่อให้ดูน่ากินมากขึ้น ซึ่งถ้าใช้ไม่มากก็อยู่ในเกณฑ์ที่ร่างกายรับได้ แต่หากเป็นสีสังเคราะห์ที่ไม่ได้จากธรรมชาติก็อาจมีอันตราย ส่งผลให้เกิดเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ ระบบทางเดินอาหาร ยิ่งเป็นสีที่ไม่ได้คุณภาพมีสารตะกั่ว สารหนูปนเปื้อน สะสมในร่างกายและเป็นพิษต่อระบบประสาท ควรหลีกเลี่ยง อาหารที่สีสดเกินไป สีสันดูแปลกตา จับแล้วสีติดนิ้ว และสีติดที่กระดาษ สารกำจัดศัตรูพืช สารชนิดนี้ใช้ในการป้องกันไม่ให้ศัตรูพืชมากัดกินพืชที่อยู่ในระว่างการเจริญเติบโต หากเกษตรกรใช้ฉีดพ่นมากจนเกินไปก็ทำให้สารพิษตกค้างในผักผลไม้มากขึ้น เราควรใส่ใจในการเลือกซื้อผักอย่างละเอียดและรู้วิธีล้างผักผลไม้อย่างถูกวิธีด้วยขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ ขั้นตอนการเตรียมผักก่อนล้าง  สำหรับผักหัว ควรปลอกเปลือกตัดส่วนที่ไม่รับประทานออก ผักราก ปอกเปลือกส่วนที่ไม่รับประทานออก ผักใบ แกะกลีบ/คลี่ใบถ้ามีดินติดให้เคาะออก ผลไม้ ล้างทั้งผล วิธีการล้าง ถ้าล้างด้วยน้ำไหลผ่าน ลดสารตกค้างได้ถึง 25-65 %  ขั้นตอนการล้างผัก 1.แช่ผักในน้ำ 2.นำใส่ตระกร้าตระแกงเปิดน้ำไหลผ่านไม่ใช้น้ำแรงเกินไป 3.ใช้มือช่วยถูใบประมาน 2 นาที ขั้นตอนการล้งผลไม้ 1.ชนิดเปลือกบางเช่นองุ่นชมพู่ ให้แช่ลงไปทั้งพวง/ผล 2. ชนิดเปลือกแข็ง ส้ม ฝรั่ง แช่น้ำและล้างโดยใช้มือถูผิว เราก็จะได้รับประทานอย่างสะอาดและปลอดภัยมากขึ้น ผงชูรส สารโมโนโซเดียม กลูตาเมต (Monosodium glutamate)การยึดติดว่าถ้าไม่ใส่ผงชูรสแล้วอาหารไม่อร่อยนั้นเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะโดยธรรมชาติแล้ว  กลูตาเมตมีอยู่ในสิ่งมีชีวิต และในอาหารที่มีโปรตีนเป็นองค์ประกอบ เช่น เนื้อสัตว์ นม เห็ด แต่การเติมผงชูรสนั้นจะช่วยกระตุ้นให้ลิ้นรับรสที่คล้ายเนื้อสัตว์ จึงรู้สึกอร่อยขึ้น แต่ไม่ควรใส่มากจนเกินไป และห้ามใช้ผงชูรสปลอม มิฉะนั้นอาจถ่ายท้องอย่างรุนแรง ร้อนชาที่ต้นคอ  ชาบริเวณใบหน้า และอ่อนเพลีย อะฟลาทอกซิน สารพิษจากเชื้อรา พบบ่อยในอาหารแห้ง เช่น  ถั่วลิสง พริกป่น หอม กระเทียม กุ้งแห้ง อาการของผู้ที่รับสารนี้ ทำให้เป็น ตับแข็ง ตับอักเสบ เลือดออกในตับ หรือโรคมะเร็งในตับ ดังนั้นควรเลือกซื้ออาหารแห้งที่สะอาด ปิดมิดชิด และแห้งดีไม่มีชื้น การเลือกรับประทานอาหารและรู้วิธีการเลือกซื้ออย่างถูกต้องจะเป็นผลดีกับตัวเรา  และผู้ผลิตเองก็ควรเลือกอาหารที่ดีสะอาด ปราศจากสารต่างๆ และรู้แหล่งผลิตที่ชัดเจนเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค เท่านี้ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ปลอดภัย ดังเช่น ที่ สสส.ได้ร่วมผลักดันมาตลอดตั้งแต่กระบวนการผลิต จนกระทั่งการจัดจำหน่าย เช่น โครงการตลาดสีเขียว เลมอนฟาร์ม เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ข้อมูลจาก : www.thaihealth.or.th

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ประโยชน์ของการนวดไทยประเภทต่าง + สอนวิธีการนวดคอ บ่า ศีรษะ

การนวดถือว่าเป็นการดูแลสุขภาพและรักษาโรคของบรรพบุรุษไทยมาอย่างช้านาน ในการบำบัดอาการเจ็บป่วย ซึ่งในการนวด ต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงของโรคและความปลอดภัย ซึ่งทางศูนย์หัตถเวชวิภาวดีได้ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพด้วยการนวด ในการทำการนวดจะมีการซักประวัติ ตรวจร่างกาย วินิจฉัย ก่อนทำการนวดเพื่อความปลอดภัยและการให้คำแนะนำที่ถูกต้องในการปฏิบัติตัว สำหรับโปรแกรมการดูแลรักษาสุขภาพก็มีทั้ง การนวดเพื่อบำบัดอาการ เช่น อาการปวดกล้ามเนื้อหลังจากการ   ทำงานหนัก   ,   การยกของผิดท่าทาง  อาการอ่อนแรงของ     อัมพฤกษ์ อัมพาต ด้วยการนวดคลายกล้ามเนื้อ ,  การนวดกดจุด ,  การนวดด้วยน้ำมันคลายกล้ามเนื้อและการประคบด้วยสมุนไพรสด การนวดเพื่อสุขภาพ เป็นการนวดเพื่อให้เกิดความผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ   ลดการตึงตัวและเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต     เช่น       การนวดตัวเพื่อสุขภาพ  ,  การนวดเท้าเพื่อสุขภาพ การนวดเพื่อความสวยงาม เช่น   การขัดตัวด้วยสมุนไพร ซึ่งอยู่ในความดูแลของทีมงานด้านการแพทย์แผนไทย และการันตี ในเรื่องของความสะอาด สะดวกและปลอดภัย การนวดคลายเครียด เป็นการนวดเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณบ่า , ต้นคอและศีรษะ เพื่อให้ผู้ถูกนวดรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ ลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อ การนวดอโรมา เป็นการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการบำบัดด้วย     การนวดผสมผสานกับกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณสมบัติในการลดความตึงเครียด และทำให้เกิดการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งในทางการแพทย์ยอมรับว่าเป็นทางเลือกหนึ่งในการบำบัดอาการอีกวิธีหนึ่งด้วย การอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพ เป็นการนำสมุนไพรสดที่มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ , ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตและลดอาการของระบบทางเดินหายใจ   เช่น อาการหวัด การนวดร่างกายโดยใช้น้ำมัน ช่วยให้สดชื่น คลายเครียดด้วยกลิ่นหอมเฉพาะทางที่ใช้ในการบำบัดอาการให้เบาบางลง เช่น อาการนอนไม่หลับ อาการเครียด หดหู่ นอกจากนี้น้ำมันยังช่วยบำรุงผิว และกระชับรูปร่างไม่ให้กล้ามเนื้อหย่อนยาน ช่วยสลายไขมันไม่ให้สะสมตามที่ต่างๆ ของร่างกาย และความร้อนของน้ำมันที่เกิดจากการนวดจะซึมซาบลึกเข้าไปผิวหนัง และกล้ามเนื้อช่วยให้รู้สึกเบาสบายตัว การนวดฝ่าเท้า นวดเท้า ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย เนื่องจากมีจุดสะท้อนของอวัยวะภายในร่างกายที่ฝ่าเท้า และเท้า การนวดฝ่าเท้า และเท้า จึงเป็นการช่วยให้ระบบการไหวเวียนไปยังอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีการขับถ่ายของเสียออกจากเซลล์ ปรับสภาวะสมดุลของร่างกายทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นประโยชน์ของการนวดไทย การบริหารตน ด้วยวิธีการนวดบ่าคอและศีรษะ ใช้นิ้วชี้นิ้วกลางและนิ้วนาง กดบีบแนวบ่า ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง กดบีบบริเวณเกลียวคอ ประสานมือเข้าด้วยกันบริเวณท้ายทอย ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองกดตามแนวเกลียวคอ ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดจุดใต้ไรผม ๒ จุด  นั่งขัดสมาธิ งอข้อศอกข้างหนึ่งให้มือจับบ่าด้านตรงข้าม ใช้มืออีกข้างจับที่ข้อศอกไว้ หายใจเข้า หายใจออก พร้อมๆกับดันข้อศอกเข้าหาตัวให้มากที่สุด หายใจเข้าออกปกติ ๓-๕ ครั้ง แล้วผ่อนออก ทำสลับข้างทั้งซ้ายและขวาท่านี้เป็นการยืดข้อไหล่ เป็นท่าฤาษีดัดตนซึ่งระบุว่า แก้ขัดแขน นั่งขัดสมาธิ มือข้างหนึ่งวางบนหน้า ตัก ฝ่ามืออีกข้างวางไว้ใต้กกหู หายใจเข้า หายใจออก พร้อมกับดันมือทั้งสองข้าง หายใจเข้าออกปกติ ๓-๕ ครั้ง แล้วผ่อนออกท่านี้ช่วยยืดกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ช่วยบรรเทาอาการปวดคอ และปวดศีรษะ เป็นท่าฤาษีดัดตนซึ่งระบุว่า แก้ลมเวียนศีรษะนั่งขัดสมาธิ ตัวตรง พนมมือระหว่างอก หายใจเข้า ค่อยๆยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ออกแรงดันฝ่ามือเข้าหากัน ยืดลำตัว หายใจเข้าออกปกติ ๓-๕ ครั้ง แล้วผ่อนออกท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อคอและสะบัก ช่วยบรรเทาอาการปวดคอ ปวดศีรษะ และปวดสะบักเป็นท่าฤาษีดัดตนซึ่งระบุว่า แก้ลมปวดศีรษะ นั่งขัดสมาธิ ประสานฝ่ามือไว้ที่หน้าอก หายใจเข้า หายใจออก เหยียดแขนไปข้างหน้าในลักษณะหงายฝ่ามือที่ประสานกันออก หายใจเข้ายกแขนขึ้นเหนือศีรษะ ยืดตัวและแขนให้สุด หายใจเข้าออกปกติ ๓-๕ ครั้ง แล้วผ่อนออก ท่านี้ช่วยยืดกล้ามเนื้อแขนที่ใช้ในการงอข้อมือและนิ้วมือ และบริหารข้อไหล่เป็นท่าฤาษีดัดตนซึ่งระบุว่า แก้เกียจ ธาตุเจ้าเรือน 1.ธาตุดิน ( ตุลาคม,พฤศจิกายน,ธันวาคม ) ลักษณะรูปร่าง รูปร่างใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำ ผมดกดำ กระดูกใหญ่ ข้อกระดูกแข็งแรง ล่ำสัน เสียงดังหนักแน่น รับประทานอาหารรส ฝาด หวาน มัน และเค็ม ผลไม้ มังคุด ฝรั่ง ฟักทอง เผือก ถั่วต่างๆ  หัวมันเทศ ผักพื้นบ้าน  กล้วยดิบ ยอดมะยม ขนุนอ่อน สะตอ ผักโขม โสน ดอกขจร ยอดฟักทอง บวบเหลี่ยม  เมนูอาหาร แกงป่ากล้วยดิบ แกงเลียง ผักหวานใส่ปลาย่าง    ดอกขจรผัดไข่  คั่วขนุน สะตอผัดกุ้ง  อาหารว่าง สังขยาฟักทอง ข้าวเหนียวถั่วดำ ตะโก้เผือก เต้าส่วน วุ้นกะทิ ถั่วแปบ   กล้วยบวดชี   เครื่องดื่ม น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำมะตูม นมถั่วเหลือง น้ำลูกเดือย น้ำข้าวโพด       น้ำฟักทอง  น้ำลูกสำรอง น้ำข้าวกล้องงอก 2.ธาตุน้ำ ( กรกฎาคม,สิงหาคม, กันยายน ) ลักษณะรูปร่าง   รูปร่างสมบูรณ์ สมส่วน ผิวพรรณสดใส เต่งตึงตาหวาน น้ำในตามาก ท่าทางเดินมั่นคง ผมดกดำเงา ทนหิว   ทนร้อน  ทนเย็นได้ดี เสียงโปร่ง ความรู้สึกทางเพศดีอากัปกิริยามักเฉื่อย และค่อนข้างเกียจคร้าน รับประทานอาหารรส   เปรี้ยวและขม ผลไม้  มะนาว ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ มะยม มะดัน  กระท้อน  ผักพื้นบ้าน ขี้เหล็ก แคบ้าน มะเขือเทศ มะยม มะกอก มะดัน กระท้อน   ยอด มะกอก ยอดมะขาม   สะเดาบ้าน มะระขี้นก  เมนูอาหาร   แกงส้มดอกแค แกงอ่อมมะระขี้นก ผัดมะระใส่ไข่ ห่อหมกใบยอ แกงป่าสะเดาใส่ปลาหมอ   อาหารว่าง มะยมเชื่อม สับปะรดกวน กระท้อนลอยแก้ว  มะม่วงน้ำปลาหวาน  เครื่องดื่ม  น้ำมะนาว  น้ำมะเขือเทศ น้ำมะขาม น้ำสับปะรด น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะเฟือง 3.ธาตุไฟ ( มกราคม,กุมภาพันธ์,มีนาคม ) ลักษณะรูปร่าง  มักขี้ร้อน ทนร้อนไม่ค่อยดี หิวบ่อย กินเก่ง    ผมงอกเร็ว มักหัวล้าน  ผิวหนังย่น ไม่ค่อยอดทน ใจร้อน   มีกลิ่นปาก กลิ่นตัวแรง ความต้องการทางเพศปานกลาง รับประทานอาหารรส   เย็นและจืด ผลไม้ แตงโม มันแกว พุทรา แอปเปิ้ล ผักพื้นบ้าน    ผักบุ้ง ผักตำลึง ผักกระเฉด ผักกระสัง สายบัว   ผักกาด  ผักปลัง มะรุม มะเขือยาว ผักหนาม ยอดมันเทศ กระเจี๊ยบมอญ  ยอดฟักทอง หยวกกล้วย หม่อน มะเขือยาว  เมนูอาหาร    ผัดผักบุ้ง แกงจืดตำลึง ผัดสายบัวใส่พริก    แกงส้มมะรุม   แกงส้ม-หยวกกล้วยใส่ปลาช่อน ยำผักกระเฉด    อาหารว่าง    ซ่าหริ่ม ไอศกรีม น้ำแข็งใส  เครื่องดื่ม      น้ำแตงโมปั่น น้ำใบบัวบก น้ำใบเตย 4.ธาตุลม ( เมษายน, พฤษภาคม, มิถุนายน ) ลักษณะรูปร่าง  ผิวหนังหยาบแห้งรูปร่างโปร่ง ผอมบาง ข้อกระดูกมักลั่น เมื่อเคลื่อนไหว ขี้อิจฉา ขี้ขลาด รักง่ายหน่ายเร็ว ทนหนาวไม่ค่อยได้ นอนไม่หลับ ช่างพูด ออกเสียง ไม่ชัดเจน ความรู้สึกทางเพศไม่ค่อยดี  รับประทานอาหารรส   เผ็ดร้อน ผักพื้นบ้าน     ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย โหระพา กะทือ ดอกกระเจียว ขมิ้นชัน  ช้าพลู พริกขี้หนู สะระแหน่  ผักชีลาว ผักชีล้อม ยี่หร่า สมอไทย กานพลู  เมนูอาหาร  แกงปลาดุกใส่กะทือ ต้มข่าไก่ ต้มยำกุ้ง แกงหอยขมใส่ใบช้าพลู สมอไทยจิ้มน้ำพริก แกงเลียงผักรวม อาหารว่าง  บัวลอยน้ำขิง เต้าฮวย เต้าทึง มันต้มน้ำขิง ถั่วเขียวต้มน้ำขิง เมี่ยงคำ เครื่องดื่ม   น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำข่า น้ำกานพลู  ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเด่นๆ บางประการของคนเจ้าเรือนต่างๆลองเปรียบเทียบกับตัวคุณดูว่าดูแล้วน่าจะใกล้เคียงกับเจ้าเรือนแบบไหน แล้วเราจะมาดูว่าควรกินอาหารและปฏิบัติตัวอย่างไร สำหรับคนแต่ละเจ้าเรือน เพื่อร่างกายและจิตใจอยู่ในสมดุลอันเป็นรากฐานของการมีสุขภาพดี

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

7 ประโยชน์ที่ดีแตงโม

7 ประโยชน์ที่ดีแตงโม            ผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์หน้าร้อน นอกจากมะพร้าวแล้ว ก็น่าจะมีแตงโมติดโผกับเขาด้วยนะคะ เพราะแตงโมเย็นๆ หวาน ฉ่ำน้ำ ไม่ว่าจะทานสดๆ หรือนำไปปั่นก็อร่อยเย็นชื่นใจ ดับกระหาย คลายร้อนได้ดีจริงๆ แต่นอกจากจะช่วยดับร้อนแล้ว ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่างที่ทุกคนอาจจะยังไม่ทราบ มีอะไรกันบ้าง 1. เป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เพราะเป็นผลไม้ที่น้ำตาลต่ำ แคลอรี่ต่ำ 2. ป้องกันการสะสมของไขมันเส้นเลือด ควบคุมระดับความดันโลหิต   3. มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา 4. ช่วยลดความมันบนผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และลดอาการอักเสบบวมแดง 5. ช่วยบำรุงผิวพรรณ และเส้นผมให้แข็งแรง 6. กรดอะมิโนในแตงโม ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ   7. ไลโคปีนในแตงโม ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง               ถึงแม้ว่าแตงโมจะมีประโยชน์มากมาย แต่ผู้ป่วยบางราย หรือผู้ที่มีความผิดปกติบางอย่าง ก็ควรหลีกเลี่ยงการทานแตงโมด้วยเช่นกัน เช่น ผู้ที่มีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย เพราะน้ำจากแตงโมจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง ทำให้ย่อยอาหารไม่ดี ผู้เป็นโรคเยื่อบุลำไส้อักเสบเรื้อรัง  ความดันโลหิตต่ำ  มีแก๊สในกระเพาะอาหาร  ท้องเสียบ่อยๆ หรือช่วงที่มีไข้สูง อย่างไรก็ตามของมีประโยชน์ ก็ต้องทานแต่พอดี อย่ามากเกินไป เพราะต่อให้มีประโยชน์มากเท่าไร หากทานมากเกินไป ก็เป็นโทษต่อร่างกายได้เหมือนกันค่ะ ที่มา : www.sanook.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
<