ความประทับใจของผู้ป่วย

(แชร์ประสบการณ์จริง) ก็คิดว่า.... แค่ปวดท้อง

"แม่คะ เป็นไร ? ดิฉันมักจะได้รับคำตอบจากแม่เสมอว่าปวดท้อง พอถามว่าปวดท้องแบบไหน จะได้รับคำตอบว่า มันจุกๆ ธรรมดานี่แหละ ไปหาหมอประจำมักจะได้รับแค่ยารักษาโรคกรดไหลย้อน นับเป็นเวลาเกือบ 10 ปี และทุกครั้งที่ปวดท้อง แม่จะต้องไปหาหมอ คือไม่เคยละเลยในอาการป่วยของตัวเองเลย และเมื่อ 2 ปีก่อนคุณแม่ก็ไปตรวจสุขภาพประจำปีก็ไม่พบอะไรผิดปกติ" จนวันหนึ่งดิฉัน จำได้ว่าเป็นวันศุกร์ตอนบ่าย แม่เริ่มปวดท้องอีกครั้งซึ่งมีอาการมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จึงไปพบแพทย์คลินิกที่รักษาอยู่ประจำ แพทย์บอกว่าน่าจะเป็นเรื่องลำไส้และได้ยามาทานเหมือนเดิม แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นจนเวลา 02.00 น. แม่เริ่มปวดท้องมากขึ้นจนต้องไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน แพทย์ได้ฉีดยาให้ 2 เข็ม พร้อมกับบอกว่าอาจจะเป็นเกี่ยวกับลำไส้ นัดให้แม่มาส่องกล้องสัปดาห์หน้า แต่แม่ก็ทนปวดท้องอีกจนเวลา 10.00 น. แม่ทนไม่ไหว จึงตัดสินใจเปลี่ยนมารักษาที่ รพ.วิภาวดี โดยพบ นพ.ภูษิต วชิรกิติกุล ท่านเห็นอาการแม่มีไข้ ซีด ร่วมกับปวดท้อง เลยคาดว่าอาจมาจากอาการอักเสบ ท่านเลยสงสัยว่าอาจจะเป็นโรคถุงน้ำดีอักเสบ ต้องทำ CT Scan (128 Slices) เพื่อยืนยันและ ผลเป็นไปตามคาด จากภาพ CT Scan ทำให้เห็นนิ่วเป็นจำนวนมาก แม่จึงต้องทำการผ่าตัดโดยมี นพ.ชัยสิทธิ์ คุปต์วิวัตน์ ศัลยแพทย์เป็นผู้ผ่า แต่ต้องรออาการอักเสบ หายก่อน แม่ใช้ Package ผ่าตัดผ่านกล้อง นอนรพ. 3 วัน จึงสะดวกสบายและทราบค่าใช้จ่ายแน่นอน แต่แม่อายุ 68 ปี และมีโรคหัวใจ ทำให้ท่านกลัวและ กังวลไปหมด เพราะยังไม่เคยนอน รพ. ทีมแพทย์ พยาบาลของรพ.วิภาวดี ก็พยายามพูดคุยทำให้คลายความกังวลจนการผ่าตัดผ่านไปเรียบร้อย พบนิ่วเป็นจำนวนมาก ซึ่งนพ.ชัยสิทธิ์บอกว่า โชคดีที่ตัดสินใจผ่าตัดได้ทัน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดอันตรายและต้องรักษาอีกนาน ทุกคนที่คุ้นเคยกับแม่ต่างก็ตกใจกันมาก เพราะคิดว่าแค่ปวดท้องเท่านั้น แต่คราวนี้เป็นการปวดท้องที่จะเข้าใจแบบเดิมไม่ได้ นพ.ชัยสิทธิ์อธิบายว่า เพราะอาการจะปวดท้องต่างๆใกล้เคียงกัน ต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมจึงจะทราบสาเหตุของอาการปวดท้องนั้นๆ หลังการผ่าตัดแม่นอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแค่ 3 วัน เพราะได้รับการรักษาแบบผ่าตัดผ่านกล้อง ทำให้แผลเล็กและหายอย่างรวดเร็ว แม่รู้สึกมีความสุขมากหลังจากรักษา เพราะไม่มีอาการปวดท้องให้รำคาญอีกต่อไป และไปเที่ยวได้แบบไม่ต้องพกยาแก้ปวดท้องอีกแล้ว ดิฉันต้องขอขอบคุณโรงพยาบาลวิภาวดีและ ทีมแพทย์ที่วางแผนการรักษาคุณแม่อย่างรวดเร็วและทันท่วงที รวมทั้งบุคลากรทุกท่านของรพ.ที่ให้การดูแลเป็นอย่างดี ครอบครัวแสงสว่างรู้สึกประทับใจมากค่ะม ณสุมาลี แสงสว่าง บุตรสาวของคุณรอเปี๊ยะ แสงสว่าง

คนไข้หมดสติบนรถแอร์พอร์ตบัสนำส่ง รพ.วิภาวดีช่วยชีวิตไว้ได้

เหตุเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2562 เวลา 10.30 น.บนรถโดยสารปรับอากาศของสนามบินดอนเมือง(Airport Bus)สาย A3 คุณเหยากุ่ย  แซ่ม้า อายุ 53 ปี อาชีพเป็นมัคคุเทศก์ ได้ใช้บริการรถโดยสารปรับอากาศดังกล่าวเพื่อไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง โดยขึ้นจากดินแดง คุณเหยากุ่ย รู้สึกตัวเองไม่ค่อยสบาย แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เลยบอกคุณนทีน้องชาย คุณนทีจึงขอสลับที่นั่งจากที่ คุณเหยากุ่ยนั่งเบาะนอก สลับให้มานั่งเบาะด้านในเพราะกลัวว่าคุณเหยากุ่ยล้มจะได้รับไว้ได้ทันศีรษะจะได้ไม่กระแทกพื้น พอแลกที่นั่งได้สักครู่ คุณเหยากุ่ย ก็หน้ามืด ไม่รู้สึกตัวอะไรเลย คุณนทีก็ทำการจับชีพจร และปั๊มหัวใจ  ปั๊มไปได้ 120 ครั้ง (ซึ่งการเป็นมัคคุเทศก์จะผ่านการเรียนหลักสูตร CPR มาแล้ว) ก็ตะโกนขอความช่วยเหลือจากผู้โดยสาร ซึ่งในรถนั้นมีผู้โดยสารด้วยกัน แค่ 6 คน ผู้โดยสารอีก 2 คน ยินดีเข้ามาช่วยเหลือ โดยถามว่าถ้ามีอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ คุณนทีรีบตอบทันทีว่า ผมรับผิดชอบเอง หลังจากนั้น ผู้โดยสารเป็นผู้ชายอีก 2 คนก็มาช่วยปั๊มหัวใจสลับกัน ขณะเดียวกันก็มีคนโทร 1669 สรุปว่าช่วยสลับกันปั๊มหัวใจด้วยกัน 3 คน ซึ่งเป็นการทำที่ถูกต้องตามหลักการ CPR (Check (จับชีพจร) Call (เรียก 1669) Care (ปั๊มหัวใจ)) คุณเหยากุ่ย เล่าว่า ในขณะนั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก ไม่เกิน 10 นาที ตอนแรก ตัวเองรู้สึกหน้ามืดไปเลย เหมือนตกลงไปในหลุมดำ เรียกใคร ก็ไม่มีใครได้ยิน อึดอัดไปหมด หาทางออกไม่ได้ หายใจก็ไม่ออก คิดว่าตัวเองต้องเสียชีวิตแล้วแน่ ๆ นึกถึงครอบครัว และลูก cอีก 2 คน แล้วก็มารู้สึกหายใจออกอีกครั้ง เริ่มมีแสงสว่างเข้ามา  แต่ยังลืมตาไม่ขึ้นยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นรู้สึกเหมือนมีใครมาทำอะไรบริเวณต้นขาตัวเองทั้ง 2 ข้าง และมาฟื้นอีกครั้งก็อยู่บนเตียงในห้องพักผู้ป่วยวิกฤตหัวใจแล้ว สรุป คือ คุณเหยากุ่ย มีอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงเฉียบพลัน ทางโรงพยาบาลวิภาวดีโดยศูนย์หัวใจทำการสวนหัวใจ พบว่ามีหลอดเลือดหัวใจด้านหน้าซ้ายอุดตัน จึงได้ทำการขยายหลอดเลือดและใส่ขดลวดค้ำยัน(Stant)ไว้ ช่วยชีวิตไว้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เป็นความโชคดี และบุญวาสนาของตัวเขา ที่วันนั้น ตัดสินใจเดินทางกับน้องชาย(ปกติจะแยกกันเดินทาง) โดยขึ้น รถไฟฟ้า BTS มาลงหมอชิตและต่อรถแอร์พอร์ตบัสมาสนามบินดอนเมือง และโชคดีอีกต่อคือ มาเจอผู้โดยสารที่มีความสามารถในการทำ CPR สลับกันปั๊มหัวใจกับน้องชายของตัวเองได้ และโชคดีอีก ที่ผู้โดยสารบนรถทั้งหมด พร้อมใจกันให้มาส่งคุณเหยากุ่ยที่ รพ.ที่ใกล้ที่สุดก่อน โดยไม่มีผู้โดยสารคนไหนกลัวไม่ทันขึ้นเครื่องบิน และก็เป็นความโชคดีที่สุดอีกอย่าง คือ ได้ทีมแพทย์ เจ้าหน้าที่ รพ.วิภาวดี ดูแลอย่างใกล้ชิด และช่วยกันอย่างเต็มที่ทำให้เขารอดชีวิตมาได้ ได้พบหน้าครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง เหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริง ๆ            คุณเหยากุ่ย เล่าอีกว่า ชีวิตประจำวันปกติ เป็นคนรักสุขภาพ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา แต่ก็ไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปีเลยที่ผ่านมา และก่อนหน้านี้ไม่มีอาการอะไรที่จะแสดงความผิดปกติให้เห็นที่จะต้องมาปรึกษาแพทย์ เลยคิดว่าตัวเองแข็งแรงดี          อยากจะฝากข้อคิดไว้ให้ทุกคนว่า เงินทองไม่สำคัญเท่าสุขภาพ ต้องรักษาร่างกายให้ดี แข็งแรงอยู่เสมออย่าประมาท ยิ่งถ้าทำงานที่ต้องเดินทางตลอดเวลา แนะนำให้ตรวจสุขภาพทุกปี เพื่อทราบว่าตัวเองมีความเสี่ยงทางด้านไหน จะได้รักษาได้ทัน และอยากให้ทำบุญเยอะ ๆ เพราะความตายน่ากลัวมาก มันมืดไปหมดจริง ๆ   คุณเหยากุ่ย ขอบคุณ รพ.วิภาวดีมากๆ ที่ให้ชีวิตใหม่ในวันนี้ อยากขอบคุณคนขับในวันนั้น ผู้โดยสารบนรถโดยสารแอร์พอร์ตบัสที่ช่วยกันปั๊มหัวใจ และเสียสละเวลามาส่งให้ถึง รพ.ก่อนไปขึ้นเครื่องบิน อยากขอบคุณมาก ๆ    ข้อความข้างต้นเป็นบทสัมภาษณ์ จากคุณเหยากุ่ย  แซ่ม้า คนไข้  และ คุณนที  อภิปฏิภาน น้องชาย ที่แผนกวิกฤตโรคหัวใจ รพ.วิภาวดี

<