โรคอีโบลาเป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดเฉียบพลันรุนแรง

โรคอีโบลาเป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดเฉียบพลันรุนแรง

 

                พบการระบาดครั้งแรกในปี พ.ศ.2519  เป็นการระบาดที่เกิดขึ้นพร้อมกันในสถานที่ 2 แห่งคือเมือง นซารา  ประเทศซูดาน  และเมืองยัมบูกู สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกที่เมืองยัมบูกูเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งริมแม่น้ำอีโบลา  โรคนี้จึงได้ชื่อตามชื่อแม่น้ำแต่นั้นมา

                อีโบลาไวรัส เป็นสมาชิกหนึ่งในสามสกุลของวงศ์ Filoviridae หรือไฟโลไวรัส  อีกสองสกุลได้แก่มาร์เบอร์กไวรัส และคิววาไวรัส ในสกุลอีโบลาไวรัสมีไวรัส 5 ชนิดได้แก่

1.             บุนดีบูเกียว อีโบลาไวรัส (BDBV)

2.             ซาอีร์ อีโบลาไวรัส (EBOV)

3.             เรซตัน อีโบลาไวรัส (RESTV)

4.             ซูดาน อีโบลาไวรัส (SUDV)

5.             ไทฟอร์เรส อีโบลาไวรัส (TAFV)

การแพร่โรค

                โรคอีโบลาถูกนำเข้าสู่ประชากรมนุษย์ผ่านการสัมผัสกับเลือด สิ่งคัดหลั่ง อวัยวะ หรือของเหลวชนิดอื่นจากร่างกายของสัตว์ที่ติดเชื้อ ในแอฟริกามีหลักฐานว่าการติดเชื้อเกิดขึ้นได้จากการจับต้องสัตว์ติดเชื้อได้แก่ ชิมแปนซี  กอริลลา  ค้างคาวผลไม้  ลิง  แอนติโลปป่า และเม่น  สัตว์เหล่านี้อาจกำลังป่วยหรือพบเป็นซากอยู่ในป่าทึบที่มีฝนตกมาก

                จากนั้นโรคอีโบลาก็แพร่ระบาดไปในชุมชนโดยการแพร่โรคจากคนสู่คน  การติดเชื้อเกิดจากการสัมผัสโดยตรง (ผ่านผิวหนังที่เป็นแผลหรือเยื้อชุ่ม) กับเลือด สิ่งคัดหลั่ง อวัยวะ หรือของเหลวชนิดอื่นจากร่างกายของผู้ติดเชื้อและจากการสัมผัสโดยอ้อมกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ปนเปื้อนด้วยของเหลวดังกล่าว พิธีฝังศพที่ผู้เข้าร่วมพิธีมีโอกาสสัมผัสร่างกายของ

               ผู้ตายโดยตรงมีบทบาทต่อการแพร่โรคอีโบลา  นอกจากนี้ ชายผู้หายป่วยด้วยโรคอีโบลาแล้วยังสามารถแพร่เชื้อไวรัสผ่านน้ำอุสจิของเขาได้อีกนานถึง 7 สัปดาห์หลังหายจากโรค

อาการและอาการแสดงของโรค

                โรคอีโบลาเป็นโรคเฉียบพลันรุนแรงจากเชื้อไวรัส โดยมากมักจะแสดงออกเป็นไข้เฉียบพลันอ่อนเพลียมาก  ปวดกล้ามเนื้อ  ปวดศีรษะและเจ็บคอ  ตามด้วยอาการอาเจียน  ท้องเสีย  ผื่นผิวหนัง ไตและตับทำงานบกพร่อง  และในบางรายจะพบการตกเลือดทั้งภายในและภายนอก  ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่ามีปริมาณเม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือดต่ำตลอดจนระดับเอ็นไซม์ตับสูงกว่าปกติ

                คนจะยังอยู่ในระยะติดต่อ  คือยังสามารถแพร่เชื้อออกไปได้ตราบเท่าที่เลือดและสิ่งคัดหลั่งของตนยังมีเชื้อไวรัส  มีการแยกเชื้อไวรัสอีโบลาได้จากน้ำอสุจิของชายผู้หนึ่งที่ติดเชื้อจากห้องปฏิบัติการในวันที่ 61 หลังจากวันเริ่มป่วย

                ระยะฟักตัวของโรคซึ่งหมายถึงระยะเวลานับจากการเริ่มติดเชื้อไวรัสจนถึงเมื่อเริ่มแสดงอาการ  ได่แก่ 2 - 21 วัน

การป้องกันการติดเชื้อ

                การป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มนักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดสำหรับนักท่องเที่ยว  ผู้เดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดนั้น  ความเสี่ยงมีค่อนข้างต่ำมากแต่มีข้อระมัดระวังขั้นพื้นฐานเพื่อป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ  มีดังนี้
·       หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่แสดงอาการ และ/หรือการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
·       หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับศพ และ/หรือ สารคัดหลั่งของศพ
·       หลีกหลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ป่า (ประกอบด้วย ลิง แอนติโลปป่า (สัตว์กีบคู่อยู่ในวงศ์วัวและควาย) หนู และค้างคาว) ไม่ว่าจะเป็นสัตว์มีชีวิตหรือที่ตายแล้ว หรือบริโภคเนื้อสัตว์ป่า
·       ล้างหรือปอกเปลือกผลไม้/ผัก ก่อนรัปประทาน
·       มีเพศสัมพันธุ์แบบปลอดภัยทุกครั้ง
·       ล้างมือเป็นประจำ

วัคซีนและยารักษา
                ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคอีโบลา และยารักษาจำเพาะ                ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย ผู้ป่วยที่อาการรุนแรงจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาแบบประคับประคองอย่างเข้มงวดผู้ป่วยมักจะมีอาการขาดน้ำบ่อยๆ จึงจำเป็นต้องได้รับสารละลายเกลือแร่เพื่อแก้ไขอาการขาดน้ำ โดยอาจให้ทางปาก หรือทางเส้นเลือดสิ่งที่ควรทำสำหรับประชาชนทั่วไปสิ่งที่ควรทำ คือ ติดตามข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้รู้สถานการณ์  และมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

ข้อควรรู้ที่สำคัญ

                โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (โรคอีโบลา หรือ EVD ) เดิมเรียกว่าโรคไข้เลือดออกอีโบลา  เป็นโรคของคนที่มีอาการรุนแรงและมักจะถึงแก่ชีวิต มีอัตราป่วยตายที่สูงได้ถึงร้อยละ 90 มักจะเกิดขึ้นในหมู่บ้านที่ห่างไกลของแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตกบริเวณชายป่าทึบเขตร้อนที่มีฝนตกมาก  เชื้อไวรัสนี้แพร่จากสัตว์ป่ามาสู่คน  จากนั้นจึงแพร่ระบาดต่อไปในหมู่คนโดยการแพร่โรคจากคนสู่คน ผู้ป่วยโรคนี้ที่มีอาการรุนแรงจำเป็นต้องดูแลแบบประคับประคองอย่างเข้มงวด

สำหรับผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศ

สิ่งที่ควรทำ
1. หลีกเลี่ยงหรือชะลอการเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด ขณะนี้มี 4 ประเทศ ได้แก่ กินี ไลบีเรีย เซียร์ร่าลีโอน และเมืองลากอสเมืองหลวงประเทศไนจีเรีย(และตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข)   
2.
  ติดตามข้อมูลข่าวสารที่เป็นทางการจากกระทรวงสาธารณสุข
3.  หากจำเป็นต้องเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด ต้อง
·หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาด
· หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วยหรือสัมผัสผู้ป่วย รวมเสื้อผ้าเครื่องใช้ของผู้ป่วย
· หากมีอาการป่วย เช่น ไข้สูง อ่อนเพลีย   ปวดศรีษะ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ    อาเจียน  ท้องเสีย และมีผื่นนูนแดงตามตัว รีบพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติ การเดินทาง

สิ่งที่ไม่ควรทำ สำหรับผู้เดินทางไปประเทศที่มีการระบาด
·  ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ป่าทุกชนิด
·  ไม่สัมผัสสัตว์ป่าทุกชนิดโดยเฉพาะสัตว์จำพวกลิง หรือค้างคาว
·   ไม่ล้วงแคะแกะเกาจมูก     และขยี้ตา ด้วยมือที่ยังไม่ได้ล้าง 
·   ไม่มีเพศสัมพันธุ์กับคนที่ไม่ใช่คู่นอนหรือคู่รัก

·   ไม่ซื้อยากินเอง    เวลาเจ็บป่วยด้วยอาการไข้

 

             ด้วยความปรารถนาดีจาก โรงพยาบาลวิภาวดี

<