เครื่องวัดปริมาณ Bladder Scan Bladder Scan เป็นเครื่องตรวจวัดปริมาณปัสสาวะที่เหลือค้างอยู่หลังการปัสสาวะ โดยใช้อุปกรณ์อัลตราซาวด์ (Ultrasound) ตรวจบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเดิมการวัดปริมาณปัสสาวะที่ค้างในกระเพาะปัสสาวะจะต้องใช้การสอดสายสวนปัสสาวะเข้าไปโดยตรงที่ท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดการระคายเคืองและต้องรบกวนความเป็นส่วนตัวของคนไข้ได้ แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องมือ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการตรวจวัดและไม่จำเป็นต้องใส่สายเข้าไปในท่อปัสสาวะ ทำให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บและลดการระคายเคืองจากการใส่สายสวนปัสสาวะด้วยการตรวจ Bladder Scan เพื่อดูปริมาณปัสสาวะที่เหลือค้างอยู่หลังจากปัสสาวะแล้ว การตรวจวัดปริมาณปัสสาวะที่เหลือค้าง มีความสำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาในการปัสสาวะ อาทิเช่น ภาวะต่อมลูกหมากโต, ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, ภาวะกระเพาะบีบตัวไวเกิน ขั้นตอนการทำ ดื่มน้ำปริมาณ 500 – 1,000 CC จากบ้าน (โดยปริมาณปรับลดได้ขึ้นอยู่กับระยะทางจากบ้านมารพ.) กลั้นปัสสาวะเล็กน้อยประมาณ 30 นาที จนรู้สึกปวดมากและค่อยปัสสาวะ โดยปัสสาวะลงในขวดตวงปัสสาวะที่เตรียมไว้ให้ ทำการตรวจด้วยเครื่อง Bladder Scan เพื่อวัดปริมาณปัสสาวะคงค้างในกระเพาะปัสสาวะ พบแพทย์ เพื่อฟังผลและทำการรักษาต่อไป การตรวจอัลตราซาวด์ด้วย Bladder Scan ช่วยในการวินิจฉัยอาการของท่านได้ เช่น ปัสสาวะแสบขัด เป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ปัสสาวะสีผิวปกติ เช่น ปัสสาวะขุ่น, ปัสสาวะมีตะกอน หรือมีเลือดปน เพื่อตรวจติดตามโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ อาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด ผู้ที่มีอาการปวดหลัง หรือ ปวดเอวเรื้อรัง
เครื่องฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี (UVB Phototherapy) การฉายแสงอาทิตย์เทียมด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเลตบี คือ อะไร? Excimer เป็นส่วนหนึ่งของแสงอาทิตย์อยู่ในรังสียูวีบีที่มีความยาวคลื่น 308 นาโนเมตร ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการรักษาโรคผิวหนังได้หลายชนิด ได้แก่ โรคด่างขาว (Vitiligo) โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) โรคผิวหนังอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มอาการผื่นแพ้อักเสบเรื้อรัง (Eczema, Atopic Dermatitis, EAC, Pityriasis Alba ในเด็ก), โรคผมร่วงเป็นหย่อมๆ (Alopecia Areata) โรคสะเก็ดเงิน เป็นการอักเสบเรื้อรังของผิวหนัง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนที่เป็น โดยอาการจะเป็นปื้นนูนแดงปกคลุมด้วยสะเก็ดสีเทาเงิน มักพบบริเวณ ข้อศอก เข่า หนังศรีษะ ซึ่งการรักษาจะเริ่มตั้งแต่ทายา หากไม่ดีขึ้นต้องใช้การฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี รวมถึงโรคด่างขาว โรคผิวหนังผื่นแพ้อักเสบเรื้อรัง ก็ใช้วิธีการรักษาด้วยการฉายแสงอาทิตย์เทียมนี้ด้วย เครื่อง Excimer 308 เหมาะกับผู้ป่วยแบบไหน? 1.เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยในกรณีที่รักษาด้วยยาแล้วไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง 2.ผู้ป่วยที่มีรอยโรคทุกบริเวณ รวมถึงบริเวณที่เข้าถึงยากและบริเวณเล็กๆ เช่น ไรผม ข้อพับ ริมฝีปาก หนังศีรษะ 3.ผู้ป่วยที่มีรอยโรคไม่เกิน 20% ทั่วทั้งร่างกาย 4. มีความปลอดภัยสูง อาการข้างเคียงน้อย สามารถใช้ในการรักษาได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ การรักษาด้วยการฉายแสง มีข้อควรระวังอะไรบ้าง? 1. ผู้ป่วยตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร 2. ผู้ป่วย SLE, HIV 3. ภาวะด่างขาวจากโรค Hyperthyroidism 4. ผู้ป่วยที่ใส่เครื่อง Pacemaker 5. ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาที่มีความไวต่อแสง 6. มีประวัติเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง ขั้นตอนการรักษาด้วยเครื่อง Excimer 308 การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา 1. ทำความสะอาดผิวหนังในบริเวณที่จะรับการรักษาหรือทำ MED Test (Minimal Erythema Dose) 2. สำหรับผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินสามารถทา Salicylic acid ในช่วงกลางคืนก่อนวันที่เข้ารับการรักษาได้ 3. แนะนำให้ทำการทดสอบแสง (MED Test) เพื่อหาระดับพลังงานที่เหมาะสมในการรักษา โดยจะทดสอบที่บริเวณท้องแขนหรือหลัง แพทย์จะอ่านผลภายใน 24 ชั่วโมงภายหลังจากการทดสอบ **ผู้ป่วยโรคด่างขาวและศีรษะล้านเป็นหย่อมๆ สามารถทำการรักษาได้ทันทีโดยไม่ต้องทดสอบ MED Test 4. งดการทาผลิตภัณฑ์ประเภท Oil , ครีมกันแดด ก่อนเข้ารับการรักษา ขณะได้รับการรักษา 1.ผู้ป่วยควรเปลี่ยนชุด หรือ เปิดเสื้อผ้าบริเวณที่จะทำการรักษา เพื่อให้บริเวณรอยโรคได้รับแสง 2. ขณะทำการรักษา ควรอยู่นิ่งๆ ไม่เล่นโทรศัพท์หรือพูดคุยโทรศัพท์ 3. ควรสวมใส่แว่นตาเพื่อป้องกันรังสียูวีบี ทั้งผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษา ในกรณีที่มีรอยโรครอบดวงตา ให้ผู้ป่วยหลับตาตลอดทั้งการรักษา การดูแลปฏิบัติตัวภายหลังได้รับการรักษา 1.หากเกิดอาการคัน ผู้ป่วยไม่ควรแกะเกาในบริเวณที่ได้รับการรักษา รวมถึงหลีกเลี่ยงการถูกขีดข่วนในบริเวณที่เป็นโรค 2.หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้โรคมีอาการกำเริบหรือมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ความเครียด 3. ควรรักษาสุขอนามัยของร่างกาย อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่อ่อนๆ 4. ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 5. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยต้องมาเข้ารับการรักษานานแค่ไหน? ในช่วงแรกผู้ป่วยต้องมาเข้ารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเว้นระยะห่างในแต่ละครั้ง ไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง เมื่ออาการของรอยโรคตอบสนองต่อการฉายแสงได้ผลดี แพทย์จะเป็นผู้ประเมิน และสามารถเว้นระยะห่างเป็น 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และหากรอยโรคหายแล้ว สามารถลดการฉายแสงให้เหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้งจนกระทั่งหยุดฉายได้ ผลการรักษา เป็นอย่างไร? ผู้ป่วยโรคด่างขาว : ขึ้นอยู่กับบริเวณและความรุนแรงของโรค โดย จำนวนครั้งในการรักษาที่เห็นผลประมาณ 20-25 ครั้ง ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน : จะเห็นผลการรักษาประมาณ 15-20 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความหนาของสะเก็ดและความรุนแรงของโรคด้วย ผู้ป่วยโรคผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง และอื่นๆ : จะเห็นผลในการรักษาประมาณ 4-8 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคด้วย การรักษาด้วยการฉายแสง มีผลข้างเคียงหรือไม่? อาจพบอาการข้างเคียงภายหลังจากการได้รับการรักษา เช่น คัน แสบ ผิวหนังแห้ง ลอก รวมถึงผิวหนังที่ได้รับการรักษาและผิวหนังรอบบริเวณที่ทำการรักษาอาจมีสีที่คล้ำหรือเข้มขึ้นในช่วงที่ได้รับการรักษา แต่สีผิวที่เข้มขึ้นนั้นจะค่อยๆ จางลงภายหลังหยุดการรักษาด้วยการฉายแสง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ศูนย์ผิวหนัง โรงพยาบาลวิภาวดี ชั้น G อาคาร Tower B โทร 02-561-1111 หรือ 02-058-1111 ต่อ 1123, 1124
การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density) แผนกรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลวิภาวดี ให้บริการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกทุกวัน โดยเครื่องวัดความหนาแน่นกระดูกที่ทันสมัยของ HOLOGIC ซึ่งเป็นชนิดใช้พลังรังสีเอกซ์ 2 ค่าพลังงาน (DXA) ทำให้สามารถตรวจกระดูกส่วนที่หนาๆได้ เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกข้อสะโพก ทำไมเราจึงต้องวัดความหนาแน่นของกระดูก กระดูกพรุน (Osteoporosis) เครื่องวัดความหนาแน่นของกระดูกสามารถตรวจเช็คปริมาณความหนาแน่นของกระดูกได้ และทำให้สามารถวางแผนป้องกันและสามารถรักษาโรคกระดูกพรุนได้อย่างถูกต้อง กระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ อะไร คือภาวะที่กระดูกมีเนื้อกระดูกที่มีความหนาแน่นน้อย ทำให้มีโอกาสกระดูกแตกหัก หรือยุบตัวได้ กระดูกปกติจะมีโครงสร้างเส้นใย ที่มีโพรงเป็นตาข่ายในเนื้อกระดูก เมื่อเกิดกระดูกโพรงระหว่างเส้นใยจะใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดการแตกของกระดูกได้ง่าย กระดูกจะไม่สามารถตั้งตรงได้ เช่น กระดูกสันหลัง เมื่อเกิดเป็นโรคกระดูกพรุนจะยุบตัวทำให้หลังงอผิดปกติ เสียบุคลิกภาพไป โรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปมักพบในคนอายุมากประมาณ 50 ปีขึ้นไป และในสตรีวัยหมดประจำเดือน สาเหตุโรคกระดูกพรุน • อายุมาก • วัยหมดประจำเดือน • ขาดแคลเซียม (Ca) • การรักษาโรคบางชนิดด้วยฮอร์โมน หรือ Steroid • มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน มีหลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ใช้เครื่องวัดความหนาแน่นกระดูก สามารถทราบผลได้ทันที เครื่องมือตรวจวัดความหนาแน่นกระดูกที่ทันสมัย มีรายละเอียดของเครื่องดังนี้ • สามารถตรวจ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เกือบทั้งหมด • ใช้เวลาตรวจน้อย • ภาพคมชัดและถูกต้องแม่นยำ • ปริมาณรังสีต่ำ เพียงเท่ากับ เมื่อได้รับขณะอยู่บนเครื่องบินใครต้องตรวจบ้าง • เมื่อคุณรู้สึกว่ากระดูกสันหลังผิดปกติ • มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroid) • ผู้หญิงที่มีระดับเอสโตรเจน (Estrogen) ต่ำ และวัยหมดประจำเดือน • คนผอมมาก ๆ • คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน • คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย • คนที่ดื่มเครื่องดื่มที่มี Alcohol เป็นประจำทำอย่างไรบ้าง ถ้าคุณเป็นโรคกระดูกพรุน • แพทย์จะอธิบายวิธีการป้องกันและการรักษาที่ถูกต้อง • การออกกำลังกายทุกวัน ร่างกายจะสร้างแคลเซียม และเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มี Alcohol และงดการสูบบุหรี่ จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคกระดูกพรุน การเตรียมตัวเพื่อตรวจ • ไม่ต้องเตรียมตัวอะไร รับประทานอาหารได้ตามปกติ • ถ้ากำลังให้ยา Thyroid โปรดแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ทราบ • กำลังกินแคลเซียม โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบ • ถ้ามีการตรวจทางรังสีด้วยแบเรียมมาก่อน ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนัดตรวจ • การตรวจระบบไตด้วยสารทึบรังสี ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนัดตรวจ • การตรวจร่างกายด้วยสารกัมมันตรังสี บริเวณใกล้กับกระดูกสันหลังส่วนเอว ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนัด
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved