แก้ไขปัญหาโรคภูมิแพ้

แก้ไขปัญหาโรคภูมิแพ้

          ปัจจุบันโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดในวงกว้าง เป็นได้ในคนทุกอายุ จากการสำรวจในโรงเรียนในประเทศไทยพบว่า จำนวนเด็กที่เป็นภูมิแพ้ทางจมูกมีถึงร้อยละ 30-40 ยิ่งไปกว่านั้นมีแนวโน้มว่าจะพบภูมิแพ้ในเด็กอายุน้อยลงเรื่อยๆ บางรายแสดงอาการภูมิแพ้ตั้งแต่คลอดมาเพียงไม่กี่วัน ได้แก่ การแพ้อาหาร แพ้นม ความรุนแรงของอาการแพ้ในเด็กสมัยนี้ก็จะเพิ่มขึ้น เพราะเป็นวัยที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังไม่ดีพอ อย่างไรก็ตามพื้นฐานความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอบวกกับวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่น่าจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่รับมือหรือลดความเสี่ยงที่ลูกจะเป็นโรคนี้ได้ผลดียิ่งขึ้น

ทำไมเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น   
           สาเหตุน่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสารปนเปื้อน แต่งเติมในอาหารซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันในเด็กเปลี่ยนไปบางการศึกษามองลึกลงไปถึงการดำเนินชีวิตและอาหารที่แม่กินในช่วงตั้งท้องด้วย เพราะอาหารและสิ่งแวดล้อมสามารถส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของรหัสทางพันธุกรรมในแม่ที่ถ่ายทอดมาสู่ลูก ปัจจุบันเราพบว่าความรุนแรงของภูมิแพ้มีมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น มีเด็กที่ได้นมวัวหรือกินแป้งสาลีแล้วมีอาการแพ้รุนแรงฉับพลันถึงกับช็อคไปเลย ซึ่งเมื่อก่อนเราพบกรณีแบบนี้ในคนไทยน้อยมากแต่กลับพบมากขึ้นในเด็กไทยสมัยนี้ จึงอยากแนะนำให้ทุกคนกลับไปสู่วิถีรรมชาติใช้สารเคมีให้น้อยลง ลดสารปรุงแต่งในอาหารใส่ใจอาหารที่กินเข้าไปให้มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบต่อยีนหรือสารพันธุกรรมในร่างกายซึ่งอาจส่งผลต่อลูก ที่จะเกิดมาในอนาคต  
            สำหรับคุณแม่ที่อยู่ระหว่างตั้งท้อง ควรกินอาหารให้ครบทุกหมู่ในปริมาณที่สมดุลกัน อย่าเน้นอย่างหนึ่งอย่างใดมากจนเกินไป อย่างความเชื่อที่ได้ยินบ่อยๆ เช่น ให้ดื่มนมมากๆ กินไข่เยอะๆ จากสัปดาห์ละ2ฟองเพิ่มเป็น7ฟองซึ่งคุณแม่ที่มีลูกแพ้อาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง เมื่อถามประวัติมักจะพบว่าเป็นคุณแม่ที่พึ่งมากินอาหารนั้นเพิ่มช่วงตั้งท้องเหมือนกับว่าปกติร่างกายไม่เคยได้รับโปรตีนชนิดนี้ในปริมาณมากขนาดนี้ เช่น ระบบของร่างกายคุ้นเคยกับการจัดสมดุลของโปรตีนจากไข่ที่3ฟองต่อสัปดาห์เมื่อได้รับมากเกินไปร่างกายไม่สามารถปรับสมดุลได้ จึงส่งต่อไปที่ลูก เกิดเป็นผลเสียตามมา ดังนั้นจึงควรยึดหลักทางสายกลางตามหลัก สอนของพุทธศาสนา เพราะอะไรที่มากเกินไปแม้จะดีขนาดไหนก็ย่อมเกิดพิษหรือผลเสียได้เหมือนกัน ถ้าคุณแม่ไม่แน่ใจว่าจะจัดสมดุลอาหารของตัวเองอย่างไร ควรปรึกษาแพทย์และควรใช้วิจารณญาณในการเลือกรับข้อมูล อย่าเชื่อเพียงเพราะฟังตามกันมา การดูข้อมูลต่างๆควรดูจากแหล่งที่เชื่อถือได้ร่วมกับยึดหลักทางวิทยาศาสตร์ เช่น คุณแม่บางท่านไปอ่านพบคำแนะนำให้กินไข่ดิบวันละ 2 ฟองช่วงตั้งท้องจะส่งผลดีต่อลูกซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งเพราะนอกจากเรื่องของความสะอาดและเชื้อโรคที่อาจได้รับเข้าไปแล้ว โปรตีนในของดิบยังแพ้ได้ง่ายกว่าของสุกอีกด้วยเนื่องจากไม่ผ่านกระบวนการใดๆเลย ซึ่งผลปรากฏว่าลูกที่เกิดมามีอาการแพ้ไข่อย่างรุนแรง ดังนั้นข้อมูลต่างๆจะเกิดประโยชน์ได้ต้องพิจารณาศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ  
           การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในเด็กภูมิแพ้คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้เกิดความเคยชินที่จะอ่านฉลากสินค้าให้ละเอียด ยกตัวอย่างเช่นถ้าต้องการเลือกโลชั่นให้ลูกที่แพ้นมวัว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาสำหรับเด็กแพ้ง่ายโดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงโลชั่นที่มีส่วนผสมของนมเพราะอาจทำให้เด็กเกิดอาการแพ้ผิวขึ้นผื่นได้    
ในกรณีที่ลูกยังพูดไม่ได้จะรู้ได้อย่างไรว่าภูมิแพ้ที่ลูกเป็นรุนแรงหรือไม่    อันที่จริงเด็กจะมีวิธีการบอกในแบบของเขา เราต้องเข้าใจแล้วจะสื่อสารกับเขาได้เพราะเด็กจะตรงไปตรงมา ไม่ปิดบัง ในส่วนนี้กุมารแพทย์จะมีการฝึกการดูภาษากายของเด็กจนมีความชำนาญ ซึ่งเราจะสามารถตรวจหารายละเอียดได้แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่ได้บอกออกมาเป็นคำพูดโดยอาศัยการสังเกตและตรวจด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ร่วมกับการซักถามจากคุณพ่อคุณแม่  
            ในส่วนของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าต้องการรู้ว่าภูมิแพ้ที่ลูกเป็นอยู่รุนแรงหรือไม่ วิธีสังเกตง่ายๆ ที่บ้านคือดูว่าภูมิแพ้นั้นส่งผลต่อการกิน การนอน การเรียน การทำกิจกรรมหรือการเล่น และการเจริญเติบโตของลูกหรือเปล่า ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งเปลี่ยนไป เช่นการเพิ่มของน้ำหนัก-ส่วนสูงผิดไปจากที่ควรจะเป็นนอนหลับไม่สนิท หงอย เหนื่อยง่าย ไม่เล่น ไม่กิน ถือว่ารุนแรงต้องพาไปตรวจ   
            แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ดูไม่ออก ควรพาไปพบแพทย์สักครั้งเพื่อประเมินว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่เพราะบางทีอาการอาจซ่อนอยู่ เช่น ต่อมทอนซิลโต จมูกตัน จมูกคด ไซนัสอักเสบ เป็นต้น 
จะรู้ได้อย่างไรว่าอาการไอ จาม น้ำจมูกไหลเป็นอาการของภูมิแพ้  
            คัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็ก ถ้าจะแยกว่าอาการที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร ให้ใช้หลักสังเกตคือ ถ้าเป็นอาการที่เกิดจากการติดเชื้อ เด็กจะมีไข้น้ำมูกมักจะเขียว อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วยเช่น เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว คลื่นไส้อาเจียนหรือไอเยอะมากๆแต่ถ้าเป็นอาการของภูมิแพ้ จะไม่ค่อยมีไข้ น้ำมูกใส ถ้ามีอาการคันจมูกหรือจามฟิตๆ บ่อยๆ แบบเป็นๆ หายๆ มักจะสื่อมาทางภูมิแพ้มากกว่า เพราะถ้ามีสาเหตุจากการติดเชื้อจะไม่ค่อยมีอาการคัน อีกอย่างคือถ้าเด็กเป็นภูมิแพ้ที่ไม่รุนแรงมาก อาการจะไม่เป็นทั้งวัน จะเป็นเฉพาะบางเวลา เช่นเช้าเป็น บ่ายหายดึกๆกลับมาเป็นใหม่ อย่างนี้เป็นต้น แต่ถ้าเป็นหวัดจะมีอาการเกือบตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ตามถ้าเด็กเป็นภูมิแพ้มากๆ ก็อาจมีอาการตลอดทั้งวันได้

     
ขอขอบคุณข้อมูลจาก...นิตยสาร Health Today

<