ไตวายเฉียบพลัน

  • อาการไตวายเฉียบพลัน คือภาวะที่การทำงานของไตลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ ส่งผลให้ไตไม่สามารถกรองของเสียและขับถ่ายสารน้ำออกจากร่างกายได้ปกติ มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
  • อาการไตวายเฉียบพลันสังเกตได้จากการที่ปัสสาวะลดลงหรือไม่มีเลย บวมบริเวณขา ข้อเท้า หรือใบหน้า รู้สึกคลื่นไส้ อ่อนเพลีย ในบางกรณีอาจเกิดอาการเจ็บหน้าอกหรือหัวใจเต้นผิดปกติจากภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
  • อาการไตวายเฉียบพลันส่วนใหญ่อาจเกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงไตได้น้อยลง เช่น ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงอยู่ในภาวะช็อคนานๆ ผู้ที่เป็นโรคไต หรืออาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด
  • การรักษาอาการไตวายเฉียบพลันขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยเริ่มจากการรักษาที่ต้นเหตุก่อน จากนั้นประคับประคองตามอาการ ปรับการให้ยาที่เหมาะสมกับการทำงานของไตที่ลดลง หากรุนแรงมากอาจต้องมีการฟอกไตร่วมด้วย

ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย แต่เมื่อเกิดอาการไตวายเฉียบพลัน การทำงานของไตจะหยุดชะงักอย่างทันที ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายจนอาจอันตรายถึงชีวิตได้ บทความนี้จะพามาสังเกตว่าไตวายเฉียบพลันอาการเป็นอย่างไร พร้อมทำความเข้าใจถึงสาเหตุ วิธีการรักษา รวมถึงการป้องกัน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

ภาวะไตวายเฉียบพลัน คืออะไร

ภาวะไตวายเฉียบพลัน คืออะไร

ภาวะไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury) คือ การที่ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสียและขับถ่ายสารน้ำออกจากร่างกายอย่างฉับพลันในระยะเวลาอันสั้น อาจเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน ส่งผลให้ร่างกายสะสมของเสียและเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

สังเกตอาการเมื่อเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน

เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจร้ายแรง ควรรู้สังเกตว่าไตวายเฉียบพลันอาการเป็นอย่างไร โดยอาการที่พบได้บ่อย มีดังนี้

  • ปริมาณปัสสาวะลดลงผิดปกติ หรือไม่สามารถขับปัสสาวะได้เลย
  • อ่อนเพลีย รู้สึกไม่มีแรงอย่างฉับพลัน
  • ตัวบวม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า มือ เท้า หรือข้อเท้า
  • คลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหาร
  • หายใจถี่ หรือหายใจลำบาก
  • ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นผิดปกติ
  • มีภาวะสับสน สมองมึนงง

ภาวะไตวายเฉียบพลันมีกี่ระยะ

ภาวะไตวายเฉียบพลันมีกี่ระยะ

ภาวะไตวายเฉียบพลันหรือกรวยไตอักเสบเฉียบพลันสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะสำคัญ โดยแต่ละระยะจะมีลักษณะอาการที่แตกต่างกัน บ่งบอกถึงความรุนแรงของการทำงานที่บกพร่องในไตที่ต่างกัน รายละเอียดมีดังนี้

  • ระยะที่ 1ปัสสาวะจะน้อยกว่า 0.5 cc/น้ำหนักตัว 1 กก./ชั่วโมง เป็นเวลาประมาณ 6-12 ชั่วโมง ระดับครีเอตินีนในเลือดจะสูงขึ้นเล็กน้อย ตั้งแต่ 1.5-1.9 เท่าของค่าปกติ หรือเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 0.3 mg/dl อาการในระยะนี้ยังไม่รุนแรง แต่เริ่มมีสัญญาณบ่งบอกว่าไตเริ่มทำงานผิดปกติ
  • ระยะที่ 2ปัสสาวะยังคงลดลงน้อยกว่า 0.5 cc/น้ำหนักตัว 1 กก./ชั่วโมง มีระยะเวลายาวนานเกิน 12 ชั่วโมง ระดับครีเอตินีนในเลือดจะสูงขึ้นมากกว่าค่าปกติ 2.0-2.9 เท่า และเริ่มมีอาการที่สังเกตได้ชัดเจนขึ้น เช่น บวมตามร่างกาย เหนื่อยล้า และเริ่มส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบอื่นในร่างกาย
  • ระยะที่ 3ปัสสาวะจะลดลงน้อยกว่า 0.3 cc/น้ำหนักตัว 1 กก./ชั่วโมง หรือในบางกรณีอาจไม่มีปัสสาวะออกเลยในเวลา 12 ชั่วโมง ระดับครีเอตินีนในเลือดจะสูงขึ้นมากกว่า 3 เท่าของค่าปกติ หรืออาจสูงเกิน 4.0 mg/dl เป็นภาวะวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วน

สาเหตุภาวะไตวายเฉียบพลันเกิดจากอะไร

ไตวายเรื้อรังหรือไตวายเฉียบพลัน เกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่

  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินมาตรฐาน
  • ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมระดับความดัน และมีความดันโลหิตสูงเป็นเวลานาน
  • ผู้ป่วยโรคถุงน้ำในไต(Polycystic Kidney Disease: PKD) ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เกิดถุงน้ำในไตและกระทบต่อการทำงานของไตได้
  • โรคไตอักเสบ(Glomerular Disease) ซึ่งทำให้ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสีย
  • โรคแพ้ภูมิตัวเองเช่น โรคลูปัส หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus: SLE) ซึ่งส่งผลต่อไตและอวัยวะอื่นๆ
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดเช่น ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ที่มักใช้แก้อักเสบและบรรเทาอาการปวด รวมถึงยาปฏิชีวนะและยาลดความอ้วนบางประเภท

หากจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มที่ส่งผลกระทบต่อไต ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะไตวายเฉียบพลันที่อาจเกิดขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้หากมีภาวะไตวายเฉียบพลัน

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้หากมีภาวะไตวายเฉียบพลัน

ภาวะไตวายเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของภาวะไตวายเฉียบพลัน

ไตวายเฉียบพลันชนิดที่ไม่รุนแรง

ไตวายเฉียบพลันชนิดที่ไม่รุนแรง จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง เลือดเริ่มสะสมของเสียมากขึ้น เช่น ครีเอตินีนและยูเรีย ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะแมกนีเซียมหรือฟอตเฟสในเลือดสูง ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ

โดยจะทำให้ร่างกายเกิดการอ่อนเพลีย ปัสสาวะลดลงเล็กน้อย หรือมีอาการบวมในบางส่วน เช่น ขาและเท้า ภาวะนี้สามารถฟื้นตัวได้หากได้รับการรักษาทันท่วงที

ไตวายเฉียบพลันชนิดที่รุนแรง

ไตวายเฉียบพลันชนิดที่รุนแรง เกิดขึ้นเมื่อไตไม่สามารถทำงานได้แล้ว ส่งผลให้ของเสียและของเหลวสะสมในร่างกายอย่างรวดเร็ว อาการแทรกซ้อนที่พบได้ เช่น น้ำท่วมปอด หัวใจเต้นผิดจังหวะ ติดเชื้อง่าย และภาวะเลือดเป็นกรด

นอกจากนี้อาจเกิดความสับสน สมองมึนงง หรือหมดสติในผู้ป่วยบางราย ภาวะนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะหากรักษาช้าเกินไป ไตจะถูกทำลายอย่างถาวรนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังได้

ขั้นตอนการวินิจฉัยภาวะไตวายเฉียบพลัน

การวินิจฉัยภาวะไตวายเฉียบพลัน ต้องอาศัยกระบวนการตรวจที่ละเอียดและครอบคลุม เพื่อระบุสาเหตุและความรุนแรงของภาวะนี้อย่างแม่นยำ โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. การซักประวัติและตรวจร่างกายแพทย์จะซักประวัติเพื่อประเมินความเสี่ยงของภาวะไตวาย รวมถึงตรวจร่างกายเพื่อค้นหาอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้อง เช่น อาการบวมน้ำ ปัสสาวะผิดปกติ หรือสัญญาณบ่งชี้ของโรคอื่น ๆ

2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • การตรวจเลือดเพื่อประเมินค่าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต เช่น eGFR, BUN และครีเอตินีน (Creatinine)
  • การตรวจปัสสาวะเพื่อหาการปนเปื้อนของโปรตีนหรือเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นสัญญาณของความผิดปกติในไต

3. การตรวจภาพถ่ายทางการแพทย์

  • การอัลตราซาวด์ไตเพื่อดูโครงสร้างของไต และค้นหาความผิดปกติ เช่น ถุงน้ำในไต
  • การเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)เพื่อประเมินลักษณะของไตและตรวจสอบการอุดกั้นในระบบทางเดินปัสสาวะ
  • การวัดปริมาณปัสสาวะการวัดปริมาณปัสสาวะที่ขับออกมาในแต่ละวัน เป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการคำนวณและแบ่งระยะของภาวะไตวาย

การวินิจฉัยภาวะไตวายเฉียบพลันจำเป็นต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่ถูกต้องและนำไปสู่การวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

วิธีการรักษาภาวะไตวายเฉียบพลัน

วิธีการรักษาภาวะไตวายเฉียบพลัน

การรักษาภาวะไตวายเฉียบพลันมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบต่อร่างกาย ฟื้นฟูการทำงานของไต และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้

  • รักษาที่ต้นเหตุของภาวะไตวายเฉียบพลันเช่น การหยุดยาที่เป็นสาเหตุ การเพิ่มสารน้ำในผู้ป่วยที่ขาดน้ำ หรือการแก้ไขภาวะช็อกที่เกิดขึ้น
  • การประคับประคองอาการเช่น การควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย การลดความเสี่ยงของภาวะสมดุลไฟฟ้าในเลือดที่ผิดปกติ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เป็นพิษต่อไต
  • การดูแลโภชนาการให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อช่วยฟื้นฟูระบบการทำงานของไต
  • การฟอกไตหรือการบำบัดทดแทนไตในกรณีที่ไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เช่น มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงหรือของเสียสะสมในร่างกายจนถึงระดับอันตราย
  • การใช้ยาในการรักษาแพทย์เลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และไม่ส่งผลเสียต่อไตเพิ่มขึ้น

การรักษาภาวะไตวายเฉียบพลันจำเป็นต้องดำเนินการภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดและเหมาะสมกับภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย

วิธีการป้องกันภาวะไตวายเฉียบพลัน

วิธีการป้องกันภาวะไตวายเฉียบพลัน

ภาวะไตวายเฉียบพลัน เป็นปัญหาสุขภาพที่สามารถป้องกันได้หากดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม โดยแนวทางการป้องกันมีดังนี้

  • ตรวจคัดกรองโรคไตอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินความเสี่ยง การเกิดไตวายเฉียบพลัน
  • และดูแลสุขภาพไตอย่างใกล้ชิด
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด หรือหวานมากเกินไป
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ควรควบคุมอาการของโรคอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตวายเรื้อรัง
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพไต
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตและสุขภาพร่างกายโดยรวม
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้ไตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยาเอง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา โดยเฉพาะยาที่อาจส่งผลต่อการทำงานของไต
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีอันตราย เช่น กลุ่มยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด หรือสารพิษต่าง ๆ
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมหรือสาเหตุที่อาจทำให้เกิดภาวะไตเทียม เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก

ภาวะไตวายเฉียบพลันกับไตวายเรื้อรังต่างกันอย่างไร

ไตวายเฉียบพลันกับไตวายเรื้อรัง ต่างก็เป็นภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการทำงาน แต่มีความแตกต่างกันในด้านสาเหตุการเกิดและการฟื้นตัว

ไตวายเฉียบพลันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่กี่วันถึงสัปดาห์ ผู้ป่วยมักมีอาการรุนแรง เช่น ปัสสาวะน้อย ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง หรือเลือดเป็นกรด หากได้รับการรักษาทันเวลา สามารถฟื้นฟูการทำงานของไตให้กลับมาเป็นปกติได้

ในขณะที่ไตวายเรื้อรังเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลานาน และไตจะถูกทำลายอย่างถาวร ภาวะไตวายเรื้อรังอาการในช่วงแรกอาจไม่ชัดเจน แต่เมื่อไตเสื่อมลงถึงจุดหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีอาการบวม ความดันโลหิตสูง คลื่นไส้ เบื่ออาหาร และในกรณีรุนแรงอาจหมดสติหรือเสียชีวิต ภาวะไตวายเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงชะลอการเสื่อมและควบคุมโรคร่วม เพื่อคงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้นานที่สุด

รักษาภาวะไตวายเฉียบพลันที่โรงพยาบาลวิภาวดี

โรงพยาบาลวิภาวดีให้บริการดูแลผู้ป่วยโรคไตไม่ว่าจะเป็นภาวะไตวายเฉียบพลัน หรือกรวยไตอักเสบเฉียบพลันได้อย่างครบวงจร ด้วยบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่การวินิจฉัยจนถึงการดูแลฟื้นฟูสุขภาพ โดยบริการที่โดดเด่น ได้แก่

  • การตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำโรงพยาบาลใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย เช่น การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และการถ่ายภาพรังสี เพื่อตรวจหาสาเหตุและประเมินระดับความรุนแรงของภาวะไตวายเฉียบพลันได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  • ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไตผู้ป่วยจะได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ที่พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมตามอาการและความต้องการเฉพาะบุคคล
  • คำแนะนำในการป้องกันและดูแลสุขภาพไตแพทย์ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของภาวะไตวายเฉียบพลัน
  • บริการนัดหมายล่วงหน้าสามารถนัดหมายล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์หรือโทรศัพท์ เพื่อเพิ่มความสะดวกและลดเวลาในการรอรับบริการ
  • ข้อมูลสิทธิการรักษาและค่าใช้จ่ายที่โปร่งใสโรงพยาบาลให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสิทธิการรักษา พร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม

หากต้องการเข้ารับบริการสามารถถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาโรคเกี่ยวกับไต รวมถึงตรวจสอบค่าใช้จ่าย สิทธิการรักษา และนัดหมายแพทย์ล่วงหน้า ทำได้ผ่านทางเว็บไซต์ของโรงพยาบาลวิภาวดีหรือโทรติดต่อที่หมายเลข 0-2058-1111, 0-2561-1111 กด 1221,1222

สรุป

ไตวายเฉียบพลันเป็นภาวะที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การสังเกตอาการ เช่น ปัสสาวะลดลง อ่อนเพลีย หรือบวมตามร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้ทันเวลา การป้องกันภาวะนี้ทำได้ด้วยการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม เช่น การดื่มน้ำให้เพียงพอ และควบคุมโรคประจำตัว

สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาโรคไตอย่างครบวงจร มาที่โรงพยาบาลวิภาวดีเราพร้อมให้บริการด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยสามารถนัดหมายล่วงหน้าได้ที่หมายเลข 02-561-1111 พร้อมรับข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิการรักษาและค่าใช้จ่ายอย่างโปร่งใส เพื่อให้ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว

FAQ

บทความนี้ได้รวบรวมเอาคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไตวายเฉียบพลัน พร้อมคำตอบจากแพทย์มาคลายข้อสงสัยเพิ่มเติม ดังนี้

อาการไตวายเฉียบพลันแบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์?

หากมีอาการปัสสาวะลดลงหรือไม่มีปัสสาวะเลย บวมที่ขา ข้อเท้า หรือเท้า เหนื่อยล้า สับสน คลื่นไส้ อาเจียน หรือหายใจลำบาก ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะไตวายเฉียบพลัน ซึ่งต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว

ไตวายเฉียบพลันหายเองได้ไหม?

ภาวะไตวายเฉียบพลันไม่สามารถหายได้เอง จำเป็นต้องได้รับการรักษาและดูแลจากแพทย์ การรักษาอย่างทันท่วงทีสามารถช่วยฟื้นฟูการทำงานของไตและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ไตวายเฉียบพลันอันตรายไหม?

ภาวะไตวายเฉียบพลันเป็นภาวะที่อันตราย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การสะสมของของเสียในร่างกาย การเสียสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ถ้าเป็นไตวายฉี่จะมีสีอะไร?

สีของปัสสาวะสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของไตได้ หากมีภาวะไตวายเฉียบพลัน ปัสสาวะอาจมีสีเข้มขึ้น เช่น สีชา หรืออาจมีลักษณะขุ่น อย่างไรก็ตามสีของปัสสาวะอาจเปลี่ยนแปลงได้จากหลายปัจจัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย

หากมีอาการไตวายจะอยู่ได้กี่วัน?

เป็นไตวายเฉียบพลัน หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เช่น การฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต และดูแลสุขภาพอย่างเคร่งครัด สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน 5-10 ปีโดยเฉลี่ย และบางรายสามารถอยู่ได้นานมากกว่า 20 ปี

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111