โลหิตจางเป็นภาวะที่หลายคนมองข้าม แต่รู้หรือไม่ว่าหากปล่อยไว้นาน อาจกลายเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิตและนำไปสู่ภาวะหัวใจวายได้
ซึ่งในบทความนี้จะพาไปรู้จักกับโรคโลหิตจางให้มากขึ้น ทั้งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ อาการที่แสดงและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เพื่อการดูแลสุขภาพของตนเองและลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคโลหิตจางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โลหิตจาง (Anemia) คือภาวะที่ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถลำเลียงออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การขาดสารอาหารบางชนิด การสูญเสียเลือดเรื้อรัง หรือเป็นโรคบางชนิด
อาการของโรคโลหิตจางอาจแตกต่างกันไปตามสาเหตุแต่โดยทั่วไปจะมีอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หายใจลำบาก ตัวซีดหรือตัวเหลือง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น หัวใจวาย หมดสติ หรือเสียชีวิตได้
โรคโลหิตจางเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 สาเหตุหลักๆ ได้แก่
มักเกิดจากการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และกรดโฟเลต หรืออาจเกิดจากโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ไตวายเรื้อรัง โรคตับ มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคในไขกระดูก เป็นต้น รวมไปถึงการตั้งครรภ์ โดยผู้ที่ตั้งครรภ์จะมีปริมาาณน้ำเหลืองในเลือดมากกว่าปกติ ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้
โลหิตจางสามารถเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุที่ทำให้เสียเลือดเฉียบพลัน เช่น การผ่าตัด การคลอดบุตร การตกเลือด หรือประสบอุบัติเหตุที่มีบาดแผลเลือดออกมาก รวมไปถึงการเสียเลือดเรื้อรัง อย่างการมีแผลในกระเพาะอาหาร เป็นโรคริดสีดวงทวาร มีประจำเดือนมามากผิดปกติ เป็นต้น
ในผู้ที่มีโรคเลือดทางพันธุกรรมหรือมีการติดเชื้อ ร่างกายจะมีการทำลายเม็ดเลือดแดงเร็วกว่าปกติ เช่น โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) โรคเม็ดเลือดแดงแตกจากกลไกทางภูมิคุ้มกัน (Autoimmune Hemolytic Anemia) โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle cell anemia: SCD) หรือการติดเชื้อโปรโตซัวในกลุ่มพลาสโมเดียม (Plasmodium spp.) ที่เป็นสาเหตุของการเป็นโรคไข้มาลาเรีย เป็นต้น
ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางจะมีอาการมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดโรค โดยผู้ที่มีภาวะโลหิตจางในระยะแรก อาจไม่แสดงอาการออกมา แต่จะค่อยๆ เพิ่มระดับความรุนแรงของอาการจนสังเกตได้
อีกทั้งผู้ที่มีภาวะโลหิตจางโดยมีสาเหตุจากการเป็นโรคบางชนิดนั้น ร่างกายจะแสดงอาการของโรคชนิดนั้นแทน ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะโลหิตจางอยู่ จนกว่าจะได้รับการตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ภาวะโลหิตจางจึงเป็นภัยเงียบที่หลายคนอาจไม่รู้ตัว ทั้งนี้ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางจะมีสัญญาณอาการบ่งบอกดังต่อไปนี้
กลุ่มเสี่ยงที่จะมีภาวะโลหิตจาง ได้แก่
หากมีภาวะโลหิตจางเพียงเล็กน้อย อาจไม่แสดงอาการใดๆ แต่หากมีโลหิตจางมากและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจากออกซิเจนที่หล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือด ทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายจนเสียชีวิตได้
แพทย์จะวินิจฉัยภาวะโลหิตจางโดยเริ่มจากการซักประวัติสุขภาพและโรคประจำตัวของผู้เข้ารับการตรวจ รวมถึงประวัติสุขภาพของคนในครอบครัว จากนั้นจะทำการตรวจร่างกายและตรวจเลือดเพื่อประเมินค่าฮีโมโกลบิน
โดยค่ามาตรฐานในผู้ชายไม่ควรต่ำกว่า 13 กรัม/เดซิลิตร และในผู้หญิงไม่ควรต่ำกว่า 12 กรัม/เดซิลิตร จากนั้นทำการวินิจฉัยภาวะโลหิตจางด้วยวิธีการ ดังนี้
การรักษาภาวะโลหิตจางขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยแนวทางการรักษาภาวะโลหิตจางสามารถทำได้ ดังนี้
ภาวะโลหิตจางสามารถป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงอย่างเพียงพอ โดยมีแนวทางการดูแลตัวเองดังนี้
โรงพยาบาลวิภาวดีใส่ใจในสุขภาพคนไทย โดยให้บริการด้านสุขภาพที่ได้มาตรฐาน พร้อมตรวจวินิจฉัย ให้คำปรึกษา และรักษาโรคโลหิตจางโดยทีมแพทย์เฉพาะทางมากประสบการณ์ นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่นพิเศษเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายอีกด้วย
เข้ารับการตรวจและรักษาภาวะโลหิตจางได้ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ที่อยู่ 51/3 ถ.งามวงศ์วาน จตุจักร กรุงเทพฯ หรือโทรเพื่อนัดหมายก่อนเข้ารับการรักษาได้ที่เบอร์ 02-561-1111 หรือ 02-058-1111 และสำหรับตัวแทนประกันชีวิต สามารถติดต่อผ่าน LINE: @vibhainsurance
โลหิตจางเป็นภาวะที่ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่หลากหลาย ทั้งการขาดสารอาหาร การป่วยเป็นโรคบางชนิด การตั้งครรภ์ และการเสียเลือดฉับพลัน เป็นต้น ผู้ป่วยภาวะนี้มักจะมีอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ มือเท้าเย็น ผิวซีด หากปล่อยไว้ไม่รีบรักษา อาจทำให้หัวใจทำงานหนักจนหัวใจวายและเสียชีวิตได้
ควรดูแลตนเองด้วยการทานอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และกรดโฟเลต ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหมั่นตรวจสุขภาพที่สถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ อย่างโรงพยาบาลวิภาวดีที่พร้อมบริการทั้งด้านคุณภาพการรักษาและความประทับใจ ให้ห่างไกลจากโรคโลหิตจาง และเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้ใช้บริการ
เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับภาวะโลหิตจางได้ดียิ่งขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบเพื่อให้คลายความสงสัยแล้ว
หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ไปขัดขวางการดูดซึมของสารอาหาร เช่น นม ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในระหว่างมื้ออาหาร หรือหลังกินอาหาร รวมถึงผักใบเขียวที่มีรสฝาดบางชนิด เช่น กระถิน ขี้เหล็ก ขมิ้นชัน เป็นต้น
รับประทานอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก เช่น ตับ เนื้อสัตว์ ไข่แดง อาหารทะเล ผักใบเขียวเข้ม ถั่ว และธัญพืช รวมไปถึงอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี 12 และกรดโฟเลต เช่น ไข่ เนื้อวัว เนื้อปลา ผักผลไม้สด และข้าวกล้อง เป็นต้น
สำหรับเด็กที่ตรวจพบว่ามีระดับฮีโมโกลบินต่ำกว่า 11 กรัมต่อเดซิลิตร หรือค่าฮีมาโตคริตต่ำกว่า 33% มีแนวโน้มว่าจะเป็นภาวะโลหิตจางได้
หากไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาได้ เนื่องจากภาวะโลหิตจางจะมีออกซิเจนหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ หัวใจจึงทำงานหนักมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นกลุ่มโรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจขาดเลือด อาจนำไปสู่หัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
เม็ดเลือดขาวต่ำเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งความผิดปกติของไขกระดูก การป่วยเป็นโรคบางชนิด เช่น โรคมะเร็ง หรือการติดเชื้อไวรัสอย่างรุนแรง ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานหนัก ปริมาณเม็ดเลือดขาวจึงลดลงอย่างรวดเร็ว
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved