สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อร่างกายเริ่มส่งสัญญาณผิดปกติ เช่น มีอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด หรือมีรอยช้ำง่าย อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคไขกระดูกฝ่อ เป็นหนึ่งในโรคที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่สามารถส่งผลกระทบร้ายแรงจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ในบทความนี้จะชวนมาทำความรู้จักว่าโรคไขกระดูกฝ่อคืออะไร สาเหตุเกิดจากอะไร พร้อมวิธีสังเกตอาการและแนวทางการรักษา เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่รุนแรง
โรคไขกระดูกฝ่อ (Aplastic Anemia) เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดใหม่ได้เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือเกล็ดเลือด ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และอาจมีเลือดออกไม่หยุด โดยโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ และสามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือค่อยๆ แสดงอาการทีละน้อย จากนั้นจะมีอาการรุนแรงขึ้นตามเวลา
โรคไขกระดูกฝ่อ ไขกระดูกเสื่อม อาจไม่แสดงอาการในช่วงแรก แต่เมื่อโรคนี้มีความรุนแรงมากขึ้น อาจแสดงอาการต่อไปนี้
โรคไขกระดูกฝ่อ เกิดจากความผิดปกติของสเต็มเซลล์ในไขกระดูก หรืออาจมีพังผืดในไขกระดูก ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตเซลล์เม็ดเลือดได้เพียงพอ โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความผิดปกติในไขกระดูก มีดังนี้
โรคไขกระดูกฝ่ออาจนำไปสู่อาการแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยอาการแทรกซ้อนที่พบได้ มีดังนี้
หากพบอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคไขกระดูกฝ่อ แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคไขกระดูกฝ่อผ่านขั้นตอนดังนี้
การรักษาโรคไขกระดูกฝ่อมีด้วยกันหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ โดยแนวทางการรักษาหลักๆ มีดังนี้
การให้เลือด (Blood Transfusion) เป็นการทดแทนเซลล์เม็ดเลือดที่ขาดหายไป การให้เลือดช่วยบรรเทาอาการโลหิตจาง อ่อนเพลีย และป้องกันภาวะเลือดออกง่าย อย่างไรก็ตามวิธีนี้เป็นการบรรเทาอาการชั่วคราว ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของโรค
แพทย์อาจรักษาด้วยการจ่ายยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) และ Antithymocyte Globulin เพื่อป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์เม็ดเลือด รวมถึงยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และยาที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เช่น เช่น ยาฟิลกราสทิม (Filgrastim) หรือยาอีโพอิตินชนิดอัลฟ่า (Epoetin Alfa) เพื่อเพิ่มการผลิตเซลล์เม็ดเลือด
การปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone Marrow Transplant) เป็นการแทนที่ไขกระดูกที่เสียหายด้วยสเต็มเซลล์จากผู้บริจาค วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยอายุน้อยที่มีอาการรุนแรงและสามารถหาผู้บริจาคที่เข้ากันได้ ทั้งนี้ วิธีการรักษานี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะต่อต้านสเต็มเซลล์ใหม่จากร่างกายผู้ป่วย
ผู้ป่วยโรคไขกระดูกฝ่อควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เข้ารับการรักษาตามแผนการรักษา รวมถึงสังเกตอาการของตนเองอย่างสม่ำเสมอ และสามารถดูแลตนเองตามแนวทางต่อไปนี้
โรงพยาบาลวิภาวดีพร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคไขกระดูกฝ่อ ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูง พร้อมด้วยโปรโมชั่นการรักษาเพื่อช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่าย ที่นี่ให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้ป่วยและมุ่งมั่นให้การรักษาออกมาดีและปลอดภัยที่สุด
ติดต่อโรงพยาบาลวิภาวดี ที่อยู่ 51/3 ถ.งามวงศ์วาน จตุจักร กรุงเทพฯ หรือนัดหมายล่วงหน้าที่เบอร์ 02-561-1111 หรือ 02-058-1111 สำหรับตัวแทนประกันชีวิต ติดต่อผ่าน LINE: @vibhainsurance
โรคไขกระดูกฝ่อเป็นโรคที่ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดได้เพียงพอ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย และเลือดออกผิดปกติ หากอาการรุนแรงอาจส่งผลต่อหัวใจและอันตรายถึงชีวิตได้ สัญญาณเตือนของโรคนี้คือมีอาการอ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว เลือดออกง่าย และติดเชื้อบ่อย หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การให้ยา การถ่ายเลือด และการปลูกถ่ายไขกระดูก ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค
หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงของอาการแทรกซ้อนได้ โดยที่โรงพยาบาลวิภาวดีพร้อมช่วยเหลือในการรักษาโรคไขกระดูกฝ่อทุกขั้นตอน ตั้งแต่ตรวจวินิจฉัย ให้คำปรึกษา ไปจนถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เพราะสุขภาพของผู้เข้ารับการบริการเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคไขกระดูกฝ่อ บทความนี้ได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบ เพื่อให้คลายความสงสัยและเข้าใจในโรคนี้มากขึ้นแล้ว
โรคไขกระดูกฝ่อสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม หรืออาจเกิดจากยีนที่ส่งผลต่อการทำงานของไขกระดูก ทำให้ไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดได้ตามปกติ
ระยะเวลาของโรคไขกระดูกฝ่อขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค หากเกิดจากการใช้ยา การหยุดยาหรือเปลี่ยนยาอาจช่วยให้อาการดีขึ้น หากเกิดจากสาเหตุอื่น อาจต้องพิจารณาวิธีรักษาที่เหมาะสม แต่การจะรักษาโรคนี้อย่างถาวร มีเพียงแค่วิธีปลูกถ่ายไขกระดูกเท่านั้นที่สามารถทำได้
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีผลต่อเลือด เช่น กระเทียม หัวหอม บลูเบอร์รี่ อาหารที่มีไขมันสูง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แนะนำให้รับประทานอาหารจำพวกโปรตีนที่ไม่มีไขมัน ผัก และธัญพืชแทน
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved