ต้อกระจก คืออะไร รู้ทันสาเหตุ อาการ & วิธีการรักษา
โรคต้อกระจก โรคที่ต้องเป็น... แล้วจะดูแลอย่างไร?
ต้อกระจกคือ ภาวะเลนส์แก้วตาเกิดการเปลี่ยนแปลงมีความขุ่น ทำให้เกิดอาการตามัว ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เราสามารถแบ่งสาเหตุการเกิดได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ คือ
- ต้อกระจกแต่กำเนิด( congenital cataract )
- ต้อกระจกที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลัง ( acquired cataract )
1. ต้อกระจกแต่กำเนิด( congenital cataract)
มีความขุ่นของเลนส์แก้วตาตั้งแต่หลังคลอดถึงภายใน 3 เดือนแรก ซึ่งถ้ามีความขุ่นพียงเล็กน้อย จะไม่ทำให้การมองเห็นลดลง ความขุ่นนี้อาจคงที่หรือค่อยๆเพิ่มมากขึ้นได้ ซึ่งส่งผลให้การมองเห็นลดลงเมื่อเป็นผู้ใหญ่
สาเหตุ: อาจเกิดจากการติดเชื้อในครรภ์มารดาในช่วง3เดือนแรกของการตั้งครรภ์ การได้รับรังสีเอกซเรย์ขณะตั้งครรภ์ ภาวะขาดสารอาหาร มารดาเป็นเบาหวาน รวมถึงพันธุกรรมด้วย
2. ต้อกระจกที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลัง( acquired cataract)
พบภายหลังในผู้ที่เคยมีเลนส์แก้วตาใสเป็นปกติมาก่อน ที่พบบ่อยๆได้แก่
- เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามวัย(senile cataract) เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ผู้ป่วยจะมีอาการตา ค่อยๆ มัวลงอย่างช้าๆ เป็นปี
- เกิดจากอุบัติเหตุ (traumatic cataract) คือต้อกระจกที่เกิดขึ้น จากการเกิดอุบัติเหตุที่ตา ไม่ว่าจะเป็นการกระแทก มีสิ่งแปลกปลอมเข้าในลูกตา ประวัติเคยทำการผ่าตัดภายในลูกตาอย่างอื่นมาก่อน การได้รับกระแสไฟฟ้าแรงสูง(electric shock) หรือการได้รับการฉายรังสีบริเวณหน้า และศีรษะ
- จากโรคทางเมตาบอลิซึม เช่นเบาหวานซึ่งจะเป็นสาเหตุของการเกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าวัย
- จากการได้รับยาบ้างชนิด จากการรักษาโรคอื่นๆ เช่นคอร์ติโคสเตียรอยด์
- เกิดจากโรคอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในตา เช่น เคยมีแผลที่กระจกตา ม่านตาอักเสบ จอประสาทตาหลุดออก
อาการของโรคต้อกระจก ได้แก่
- ตามัวลง มักเกิดอย่างช้าๆ ทีละน้อยไม่มีอาการเจ็บปวด และไม่มีอาการอักเสบของตาร่วมด้วย ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดและสาเหตุของการเกิดต้อกระจกในคนๆนั้น
- การแยกความแตกต่างของสี (contrast sensitivity) ลดลงเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า ที่มืดหรือเวลากลางคืน
- บางรายอาจมีการมองเห็นซ้อนได้ในตาข้างเดียว (monocular diplopia) ซึ่งเกิดจากความขุ่นของเลนส์ทำให้ เกิดการกระจายแสงในตา
- อาการคล้ายสายตาสั้นในช่วงแรก คือ จะมองไกลไม่ชัดแต่มองใกล้พอได้ มักเกิดกับต้อกระจกชนิดที่เป็นการเปลี่ยนแปลงตามอายุ
- ปวดตาเนื่องจากต้อหินแทรกซ้อน พบได้ไม่บ่อย ผู้ป่วยจะมีอาการตาแดงและปวดตาเฉียบพลัน ตามัวลงกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว ในกรณีนี้จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วน
การรักษา
- ช่วงแรกอาการมองไม่ชัดอาจพอแก้ไขได้ โดยการใช้แว่นสายตาช่วย แต่เมื่อถึงระยะหนึ่ง ที่ต้อกระจกเป็นมากขึ้นแว่นสายตาก็ไม่สามารถช่วยได้
- การใช้ยาหยอดตา มีรายงานว่ายาหยอดตาบางชนิดสามารถชะลอการเกิดต้อกระจกได้ แต่ไม่สามารถทำให้ต้อกระจกที่มีอยู่เดิมหายไป ทั้งนี้ผลที่ได้ยังไม่มีการรับรองชัดเจน และในบางรายก็ไม่ได้ผล
- การผ่าตัด ในปัจจุบันนี้มีวิธีการทำผ่าตัดหลักๆ ที่นิยมทำกันอยู่ 2 วิธี คือ
- 3.1 Extracapsular cataract extraction (ECCE) เป็นการใช้มีดผ่าตัดเข้าไปในลูกตา เจาะถุงหุ้มเลนส์ เอาต้อกระจก (เลนส์ที่ขุ่น) ออกทั้งอัน เหลือถุงหุ้มเลนส์ไว้ แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมอันใหม่เข้าไปแทนที่ จากนั้นแยบปิดแผล นิยมทำกันในรายที่ต้อกระจกสุก หรือเป็นมากๆ
- 3.2 Phacoemulsification เป็นวิธีที่กำลังนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการผ่าตัดแผลเล็ก ใช้มีดขนาด 3mm.เจาะเข้าในลูกตา เปิดฝาถุงอุ้มเลนส์ออกจากนั้นใช้หัว phoco ปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูง (คล้ายอัลตราซาวน์) ไปสลายต้อกระจกให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยๆดูดออก ซึ่งต่างจาก ECCE ที่เอาต้อกระจกออกทั้งอันจึงทำให้แผลค่อนข้างใหญ่กว่า หลังจากเอาต้อกระจกออกแล้ว จึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ แผลจากการทำผ่าตัดวิธีนี้มีขนาดเล็ก จึงอาจไม่จำเป็นต้องเย็บแผลได้ถือเป็นการผ่าตัดที่ค่อนข้างปลอดภัย
ทั้งนี้การผ่าตัดวิธีใด อาจเลือกให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละรายแตกต่างกัน ความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ กระจกตาดำขุ่นหรือจอประสาทตาบวม อาจพบได้ในเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างน้อย ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงในตัวผู้ป่วยแต่ละบุคคล ซึ่งแตกต่างกัน
แพทย์
![](https://www.vibhavadi.com/assets/images/doctors/d662img1.jpg)
พญ.ฤทัยรัตน์ วินิจฉัย
ศูนย์จักษุและเลสิคสาขาต้อหิน