ไข้เลือดออก

  • ไข้เลือดออกคือโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบการแพร่ระบาดในเขตร้อนชื้นในช่วงฤดูฝน สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย ผู้ที่มีอาการไข้เลือดออกจะแสดงอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกันไป
  • พยาธิสภาพสำคัญของไข้เลือดออกคือการลดลงของเกล็ดเลือดและภาวะพลาสมารั่ว ทำให้เลือดหมุนเวียนลดลงและเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
  • ไข้เลือดออกสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ช็อก เลือดออกในอวัยวะภายใน การติดเชื้อไวรัสเดงกีจากแม่สู่ลูก ซึ่งอาจทำให้คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวต่ำ หรือทารกในครรภ์เสียชีวิต
  • โรคไข้เลือดออกสามารถป้องกันได้โดยดูแลและป้องกันไม่ให้ยุงกัด เช่น ทายากันยุงที่มีสารไล่ยุง เช่น DEET การนอนในห้องที่มีมุ้งลวด เป็นต้น การกำจัดแหล่งเพาะพันธ์ุยุงลาย เช่น ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด เปลี่ยนน้ำในแจกัน และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย เป็นภัยร้ายใกล้ตัวที่ต้องเฝ้าระวังหากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้

บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับไข้เลือดออก ตั้งแต่สาเหตุของโรค อาการไข้เลือดออกที่ต้องสังเกต วิธีการวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์ ไปจนถึงแนวทางการดูแลตัวเองเพื่อให้ห่างไกลจากโรค

ไข้เลือดออก (Dengue fever) คืออะไร

ไข้เลือดออกคือโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบการแพร่ระบาดในเขตร้อนชื้นในช่วงฤดูฝน สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีอาจแสดงอาการที่แตกต่างกันออกไป บางคนอาจไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยและสามารถหายไปได้เอง ผู้ป่วยบางคนอาจแสดงอาการรุนแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

หาสาเหตุไข้เลือดออก เกิดจากอะไร

หาสาเหตุไข้เลือดออก เกิดจากอะไร

เชื้อไวรัสเดงกีซึ่งเป็นสาเหตุของไข้เลือดออกมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 ติดต่อจากคนสู่คนผ่านยุงลายบ้านหรือยุงไข้เหลืองเพศเมีย ซึ่งมักออกหากินในช่วงกลางวัน เมื่อยุงลายกัดผู้ป่วยไข้เลือดออก เชื้อไวรัสเดงกีจะฝังตัวในกระเพาะอาหารยุงและเพิ่มจำนวน ก่อนแพร่ไปยังต่อมน้ำลาย ใช้เวลาฟักตัวประมาณ 8-12 วัน

ยุงที่ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อได้ตลอดชีวิต เมื่อกัดคน ไวรัสเดงกีจะเข้าสู่กระแสเลือดและแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดอาการไข้เลือดออกภายใน 3-15 วัน หลังจากได้รับเชื้อ

สังเกตอาการไข้เลือดออกสามระยะ

อาการไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

ไข้เลือดออกระยะไข้สูง (Febrile Phase)

ระยะไข้สูง (Febrile Phase) เป็นระยะเริ่มต้นของโรค อาการไข้เลือดออกระยะแรกผู้ป่วยจะมีไข้สูงอย่างเฉียบพลัน มีอุณหภูมิร่างกายสูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 2-7 วัน อาการคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่มีอาการไอและน้ำมูก ไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้กลุ่มทั่วไป

ในช่วงระยะไข้สูง ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะรุนแรง หน้าแดง ปวดเบ้าตา คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณชายโครงขวา อาจรู้สึกเจ็บเมื่อลองกดที่บริเวณลิ้นปี่ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ข้อ และกระดูก พร้อมจ้ำเลือดหรือผื่นแดงจากการรั่วซึมของหลอดเลือด และอาจมีอาการคันร่วมด้วย

ไข้เลือดออกระยะวิกฤต (Critical Phase)

ระยะวิกฤต (Critical Phase) อาการไข้เลือดออกระยะนี้มักเริ่มต้นระหว่างวันที่ 3-7 หลังจากเริ่มมีไข้สูง เป็นระยะวิกฤติที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นช่วงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการสำคัญของระยะวิกฤตได้แก่

  • ปวดท้องอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณชายโครงขวา เนื่องจากภาวะตับโต (Hepatomegaly)
  • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนต่อเนื่อง และเบื่ออาหาร
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า และซึมลง
  • มือเท้าเย็น เหงื่อออกมาก
  • มีจุดเลือดออกหรือจ้ำเลือดตามผิวหนัง
  • เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล
  • ปัสสาวะหรืออุจจาระมีเลือดปน รวมถึงอาเจียนเป็นเลือด
  • ในเพศหญิงมักพบมีประจำเดือนมามากกว่าปกติหรือเป็นเวลานานผิดปกติ
  • ภาวะทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต
  • หายใจลำบากหรือหายใจถี่
  • ชีพจรเบาและเร็ว
  • ความดันโลหิตไม่สม่ำเสมอ วัดชีพจรไม่ได้ หรือความดันต่ำในกรณีที่มีอาการรุนแรง
  • ไข้ลดลงอย่างรวดเร็วและเลือดออกในระบบทางเดินอาหารเมื่อเกิดภาวะช็อก
  • ภาวะช็อกจากการสูญเสียน้ำหรือเสียเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวและเสียชีวิตได้

ไข้เลือดออกระยะฟื้นตัว (Recovery Phase)

ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase) เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ป่วยพ้นระยะไข้สูง ในกรณีที่เกิดภาวะวิกฤต อาการไข้เลือดออกระยะนี้มักเริ่มต้นภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังจากพ้นช่วงวิกฤต โดยร่างกายจะเริ่มฟื้นฟูระบบต่างๆ ให้กลับสู่ภาวะปกติ ระบบไหลเวียนโลหิตกลับมาทำงาน อวัยวะภายใน เช่น ตับและไตค่อยๆ ฟื้นตัว

ผู้ป่วยระยะฟื้นตัวมักจะไข้ลดลง อุณหภูมิร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตกลับสู่ปกติ ปัสสาวะเพิ่มขึ้น ภาวะตับโตลดลงค่อยๆ ลดลงภายใน 1-2 สัปดาห์ ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น มีผื่นแดงเล็กๆ ลักษณะสากและอาจเห็นวงสีขาวตรงกลาง

ความรุนแรงของอาการไข้เลือดออก

ความรุนแรงของอาการไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกสามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ โดยเด็กมักมีอาการไม่รุนแรง อาจมีไข้สูงเป็นระยะเวลาสั้นๆ และหายได้เอง ส่วนในผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอาจพบไข้เลือดออกอาการรุนแรง เช่น ปวดท้องมาก อาเจียน กินอาหารไม่ได้ รู้สึกอ่อนเพลียมาก ซึมลง เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล หรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง

ความรุนแรงเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อเชื้อไวรัสเดงกีซึ่งส่งผลให้เกิดพยาธิสภาพที่สำคัญ ได้แก่

  • การลดลงของเกล็ดเลือดส่งผลให้เกิดภาวะเลือดออกง่าย เช่น จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง เลือดออกทางเดินอาหาร หรือเลือดออกในสมองในกรณีที่รุนแรง
  • ภาวะพลาสมารั่วเกิดการรั่วซึมของสารน้ำออกนอกหลอดเลือดสู่เนื้อเยื่อโดยรอบ ลดปริมาณเลือดหมุนเวียนที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ อ่อนเพลีย เหนื่อยหอบ ซึม ชีพจรเต้นเร็ว ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่รักษาอย่างทันท่วงที

ภาวะแทรกซ้อนไข้เลือดออก อันตรายกว่าที่คิด

โรคไข้เลือดออกสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือสตรีมีครรภ์ ดังนี้

  • ไข้เลือดออกรุนแรงไข้เลือดออกรุนแรง (Dengue hemorrhagic fever - DHF) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุดของไข้เลือดออก ส่งผลให้เกิดภาวะช็อก มีเลือดออกในอวัยวะภายใน ทำให้การทำงานของอวัยวะภายในล้มเหลว ความดันโลหิตต่ำ และเสียชีวิตได้
  • การติดเชื้อไวรัสเดงกีจากแม่สู่ลูกผ่านการคลอดตามธรรมชาติสตรีมีครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีมีความเสี่ยงสูงที่จะถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์ ส่งผลให้ทารกคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวต่ำ หรือเสียชีวิตในบางกรณี

วินิจฉัยอาการไข้เลือดออกโดยแพทย์

วินิจฉัยอาการไข้เลือดออกโดยแพทย์

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งแรกมักไม่แสดงอาการรุนแรง แต่การติดเชื้อครั้งที่สอง โดยเฉพาะสายพันธุ์ต่างจากครั้งแรก อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษา

การวินิจฉัยอาการไข้เลือดออกเริ่มจากการซักประวัติ เช่น การสัมผัสยุงลายหรือเดินทางไปพื้นที่ระบาด และการตรวจร่างกายเบื้องต้น หากอาการคล้ายโรคอื่น ๆ แพทย์จะใช้การตรวจห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ได้แก่

  • การตรวจจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง (Tourniquet Test)การทดสอบโดยใช้เครื่องวัดความดันหรือสายทูนิเก้รัดที่แขนแล้วสังเกตจำนวนจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง หากจำนวนจุดเลือดออกเกินเกณฑ์ที่กำหนด อาจบ่งชี้ว่าเป็นไข้เลือดออก
  • การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC)เป็นการตรวจระดับเซลล์เม็ดเลือดเพื่อวัดความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด รวมถึงหาสารบ่งชี้การติดเชื้อไวรัสเดงกี เพื่อประเมินลักษณะของไข้เลือดออก
  • การตรวจภูมิคุ้มกันจำเพาะต่อเชื้อไข้เลือดออกใช้วิธีการตรวจสารภูมิคุ้มกัน ได้แก่ Dengue NS1 Antigen Test หาโปรตีน NS1 พบได้ในช่วง 1–5 วันแรกของการติดเชื้อ และ Dengue IgM และ IgG เพื่อตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้น
  • การตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสเดงกี (Polymerase Chain Reaction: PCR)

เป็นวิธีการตรวจในระดับโมเลกุล ใช้ตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสเดงกีในตัวอย่างเลือด สามารถยืนยันชนิดของไวรัสเดงกีที่ก่อโรคได้ทั้ง 4 สายพันธุ์

แนวทางการรักษาอาการไข้เลือดออก

เมื่อได้รับการยืนยันการติดเชื้อไข้เลือดออก แพทย์จะดำเนินการรักษาไข้เลือดออกโดยเน้นการฟื้นฟูสภาพร่างกายและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากยังไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะเจาะจง การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคอง อาการไข้เลือดออกมีแนวทางการรักษาดังต่อไปนี้

  • การให้สารน้ำทางหลอดเลือด (Intravenous Fluid Therapy)หากผู้ป่วยมีภาวะรั่วไหลของพลาสมาและสูญเสียน้ำจากอาเจียนหรือขับถ่ายมาก แพทย์จะใช้สารน้ำหรือน้ำเกลือทางหลอดเลือดเพื่อชดเชยของเหลวที่สูญเสียไปและป้องกันภาวะขาดน้ำและช็อก
  • การให้ยาแก้ปวดและลดไข้ (Strong pain relievers)เพื่อบรรเทาอาการไข้และลดอาการปวดกล้ามเนื้อ แพทย์จะใช้ยาอะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen) หรือ พาราเซตามอล (Acetaminophen) ในขนาดที่เหมาะสม
  • การให้สารละลายเกลือแร่ทางปาก ((ORS-Oral rehydration salt)ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการขาดน้ำแต่ยังสามารถกินอาหารและเครื่องดื่มได้ แพทย์จะแนะนำให้ดื่มสารละลายเกลือแร่โออาร์เอส (ORS) หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของอิเล็กโทรไลต์เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำ
  • การให้เลือด (Blood Transfusion)หากผู้ป่วยมีอาการเลือดออกในอวัยวะภายในปริมาณมาก แพทย์อาจพิจารณาให้เลือดเพื่อป้องกันภาวะช็อกจากการสูญเสียเลือดมากเกินไป
  • การติดตามและเฝ้าระวังอาการในการรักษาอาการไข้เลือดออก แพทย์จะทำการตรวจเลือดเป็นระยะเพื่อติดตามค่าทางโลหิตวิทยา เช่น ระดับเกล็ดเลือด ค่าฮีมาโตคริต (Hematocrit) ระดับเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดง รวมถึงความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ

ไข้เลือดออกเป็นซ้ำได้อีกไหม

มนุษย์สามารถติดเชื้อไวรัสเดงกีได้หลายครั้งตลอดช่วงชีวิต เนื่องจากการติดเชื้อแต่ละครั้งจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ที่เคยได้รับเชื้อเท่านั้น แต่ไม่มีภูมิคุ้มกันถาวรต่อสายพันธุ์อื่น ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นอาจป้องกันสายพันธุ์อื่นได้เพียงชั่วคราว

หากบุคคลได้รับเชื้อไวรัสเดงกีในสายพันธุ์ที่แตกต่างจากครั้งก่อน ทำให้สามารถติดเชื้อซ้ำได้อีก และการติดเชื้อครั้งที่สองหรือครั้งต่อไปมีแนวโน้มอาการไข้เลือดออกรุนแรงกว่าการติดเชื้อครั้งแรก

แนวทางการป้องกันโรคไข้เลือดออก

แนวทางการป้องกันโรคไข้เลือดออก

  • ดูแลและป้องกันไม่ให้ยุงกัด เช่น ทายากันยุงที่มีสารไล่ยุง เช่น DEET การสวมใส่เสื้อแขนยาว ขายาว นอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวด
  • กำจัดแหล่งเพาะพันธ์ุยุงลาย เช่น ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด เปลี่ยนน้ำทุก 7 วัน ใส่ทรายอะเบทในภาชนะเก็บน้ำ และกำจัดขยะที่ขังน้ำ เช่น ยางรถยนต์เก่า กระป๋อง ขวดน้ำ และจานรองกระถางต้นไม้
  • การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกที่สามารถป้องกันได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ช่วยป้องกันและลดความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกได้ดี

ผู้ป่วยไข้เลือดออก ปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร

การปฐมพยาบาลที่เหมาะสมสามารถช่วยบรรเทาอาการไข้เลือดออกเบื้องต้นและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ โดยแนวทางการปฐมพยาบาลเบื้องต้นมีดังนี้

  • การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการไข้และลดปวด ควรใช้ยาแก้ปวดและลดไข้ประเภทพาราเซตามอล (Paracetamol) หรืออะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen) เท่านั้น ห้ามใช้ยาแอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เนื่องจากยาเหล่านี้มีผลทำให้เลือดออกมากขึ้นได้
  • การรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายควรดื่มสารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส (Oral Rehydration Salts-ORS) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการอาเจียนหรือถ่ายเหลว เพื่อชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป
  • ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวเป็นระยะ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย
  • การเลือกกินอาหารที่เหมาะสม เช่น อาหารที่ย่อยง่าย อาหารอ่อน ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • หมั่นสังเกตอาการ หากพบมีอาการไข้เลือดออกรุนแรงเช่น มีไข้สูงแต่ไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ มีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก ซึมลง กระสับกระส่าย ความดันโลหิตต่ำ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

การรักษาโรคไข้เลือดออกที่โรงพยาบาลวิภาวดี

โรงพยาบาลวิภาวดีให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของประชาชน พร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัย ให้คำปรึกษา และรักษาโรคไข้เลือดออกโดยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูง ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ป่วย

ทำไมต้องรักษาโรคไข้เลือดออกที่โรงพยาบาลวิภาวดี?

  • มีมาตรฐานระดับสากล ได้รับการรับรอง ISO 9001:2008 และ Hospital Accreditation (HA)
  • ศูนย์เฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ พร้อมทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการรักษาโรคไข้เลือดออกโดยเฉพาะ
  • การวินิจฉัยที่แม่นยำ ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยในการตรวจและติดตามอาการ
  • การรักษาอย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งการดูแลอาการเบื้องต้น การเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน และการฟื้นฟูสุขภาพ
  • บริการฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง รองรับผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากไข้เลือดออก ด้วยทีมแพทย์พร้อมดูแลตลอดเวลา
  • ห้องพักสะอาด สงบ เหมาะสำหรับการพักฟื้น เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

สามารถเข้ามาติดต่อรักษาที่โรงพยาบาลวิภาวดี ตั้งอยู่ที่ 51/3 ถ.งามวงศ์วาน จตุจักร กรุงเทพมหานคร หรือโทรนัดหมายล่วงหน้าที่เบอร์ 02-561-1111 หรือ 02-058-1111 สำหรับตัวแทนประกันชีวิต สามารถติดต่อผ่าน LINE: @vibhainsurance ได้เช่นกัน

สรุป

โรคไข้เลือดออกคือโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกีซึ่งมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ สามารถติดต่อจากยุงลายเพศเมีย ผู้ที่มีอาการไข้เลือดออกจะแสดงอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกันไป อาการไข้เลือดออกแบ่งเป็น 3 ระยะ คือไข้สูง วิกฤติ และฟื้นตัว โดยระยะวิกฤติต้องเฝ้าระวังเพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ช็อกหรือเลือดออกในอวัยวะภายใน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ดังนั้นหากสงสัยว่าติดเชื้อไข้เลือดออกจึงควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างทันท่วงที ที่โรงพยาบาลวิภาวดีมีศูนย์เฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อ พร้อมทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ ให้บริการการรักษาโรคไข้เลือดอออกแบบครบวงจรโดยการใช้เทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย

FAQ

รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก พร้อมคำตอบมาไขข้อสงสัย

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นไข้เลือดออก

แนวทางการพิจารณาว่าเป็นไข้เลือดออกหรือไม่สามารถสังเกตได้จาก

  • มีไข้สูงต่อเนื่อง 2-7 วัน

  • มีอาการเลือดออก เช่น จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง หากไม่มี แพทย์จะใช้วิธีรัดแขนเพื่อตรวจหาจุดเลือดออก โดยผลตรวจมักเป็นบวกในวันที่ 2-3 ของการป่วย

  • พบว่าตับโตและมีอาการกดเจ็บ ซึ่งมักพบในวันที่ 3-4 ของการป่วย

  • มีภาวะช็อก

ไข้เลือดออก หายเองได้ไหม

อาการไข้เลือดออกส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง โดยการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และกินยาแก้ปวดลดไข้เมื่อมีอาการ

ตุ่มแบบไหนเป็นอาการไข้เลือดออก

ในระยะแรกของไข้เลือดออกอาจมีผื่นแดงบริเวณผิวหนังทั่วร่างกายร่วมกับอาการคันเล็กน้อย ซึ่งมักจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน ส่วนในระยะหลังของโรค อาจพบจุดสีขาวบนผื่นหรือมีตุ่มแดงขึ้น โดยอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ลดลงและหายไปเองภายในหนึ่งสัปดาห์

ผื่นไข้เลือดออก ขึ้นตอนไหน

อาการทางผิวหนังที่พบในไข้เลือดออก ได้แก่ รอยแดงที่ใบหน้า ลำคอ และหน้าอกภายใน 24-48 ชั่วโมงแรก และผื่นปื้นแดงคล้ายผื่นหัด ซึ่งอาจมีจุดเลือดออกเล็กๆ และวงสีขาวแทรกภายใน โดยผื่นนี้มักเกิดขึ้น 3-5 วันหลังผื่นแรกจางลง

ไข้เลือดออกระยะช็อก กี่วันหาย

ในระยะช็อกของไข้เลือดออก อุณหภูมิร่างกายจะลดลงและมีอาการซึม เหงื่อออกมาก มือและเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็วแต่เบา ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะออกน้อย และอาจมีภาวะเลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระสีดำ หากรุนแรงอาจเกิดภาวะช็อกและความดันโลหิตต่ำ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ระยะนี้มักกินเวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมง

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111


ทีมแพทย์ไข้เลือดออก