คนส่วนใหญ่มักคิดว่าโรคข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ว่าจะวัยไหนก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ เพราะสาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมไม่ได้มีแค่อายุที่เพิ่มขึ้น แต่ยังรวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น น้ำหนักตัวที่มากเกินไป หรือไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ส่งผลกระทบต่อข้อเข่าโดยตรง บทความนี้จะพาไปดูกันว่าอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมเป็นอย่างไร และจะมีวิธีรักษาหรือป้องกันได้อย่างไรบ้าง
โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) คือภาวะที่กระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อเข่าเกิดการสึกหรอ บางลง หรือเสื่อมสภาพ ซึ่งโดยปกติแล้วกระดูกอ่อนผิวข้อนี้จะทำหน้าที่เหมือนเบาะที่ช่วยดูดซับแรงกระแทก และป้องกันไม่ให้กระดูกชนกันขณะที่มีการเคลื่อนไหว
แต่เมื่อกระดูกอ่อนเสื่อมสภาพไป การเสียดสีระหว่างกระดูกก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึด ข้อติด เคลื่อนไหวไม่สะดวก หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาการข้อเข่าเสื่อมจะรุนแรงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน และอาจทำให้ขาโก่งงอผิดรูปได้
โดยจากการสำรวจสถิติผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อในปี 2564 พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคนี้มากกว่า 6 ล้านคน และจุดที่ข้อเสื่อมมากที่สุดคือข้อเข่า ซึ่งพบในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปี และกว่าร้อยละ 50 คือผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมสามารถแบ่งตามความรุนแรงได้ 4 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1– กระดูกอ่อนมีการสึกหรอไม่มาก จึงมีอาการน้อยจนผู้ป่วยไม่ทันสังเกต ส่วนใหญ่จะพบจากการตรวจคัดกรองโรคข้อเข่าเสื่อมเป็นหลัก หากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ในระยะนี้ และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยชะลอการเกิดโรคได้
ระยะที่ 2– กระดูกอ่อนผิวข้อมีการสึกหรอเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเข่า หรือได้ยินเสียงดังกรอบแกรบในข้อเข่าขณะเคลื่อนไหว เช่น เวลาเดินขึ้นบันได ลุกนั่ง งอเข่า อาการปวดมักจะดีขึ้นเมื่อได้พัก แต่ก็จะกลับมาเป็นอีก
ระยะที่ 3 – กระดูกอ่อนสึกกร่อนไปมากจนกระดูกเกิดการเสียดสีกัน ทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น ข้อติดฝืดขัด เคลื่อนไหวไม่สะดวก และอาจมีอาการเข่าบวมร่วมด้วย
ระยะที่ 4 – กระดูกอ่อนถูกทำลายเกือบทั้งหมด ทำให้มีอาการปวดเข่าแม้จะอยู่เฉยๆ ไม่สามารถเหยียดหรืองอขาได้เต็มที่ เคลื่อนไหวได้อย่างจำกัด บางรายเข่างอผิดรูปหรือบวมอย่างเห็นได้ชัด
อาการข้อเข่าเสื่อมสังเกตได้ไม่ยาก เพียงแต่หลายคนมักมองข้าม เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นตามวัย หรือการใช้งานหนัก แต่จริงๆ แล้วคือสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าควรเริ่มดูแลและใส่ใจสุขภาพข้อเข่าให้มากขึ้น โดยอาการทั่วไปที่พบมีดังนี้
มีอาการปวดเข่าเวลาขึ้นลงบันได นั่งสมาธิ นั่งพับเพียบ หรือยืนนานๆ
มีเสียงดังในข้อเข่าเมื่อมีการเคลื่อนไหว
รู้สึกตึงบริเวณเข่า เหยียดหรืองอขาได้ไม่สุด
มีอาการเข่าบวม แดง รู้สึกร้อนบริเวณข้อเข่า
มีอาการข้อติด ฝืดขัด ในตอนเช้าหลังตื่นนอน หรือเมื่อไม่ได้ขยับขาเป็นเวลานาน
สาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมสภาพเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้
อายุกระดูกอ่อนจะเสื่อมสภาพลงไปตามวัยและการใช้งาน จึงมักพบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
น้ำหนักตัวมากผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน เข่าจะต้องรับแรงกดทับมากขึ้น ทำให้กระดูกอ่อนสึกหรอเร็วขึ้น
พฤติกรรมการใช้ชีวิตเกิดจากการใช้งานข้อเข่าหนักๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรืออยู่ในท่าที่ทำให้เข่าเกิดแรงกดทับ เช่น นั่งไขว่ห้าง นั่งพับเพียบ นั่งสมาธิ คุกเข่า นั่งยองๆ หรือยกของหนักเป็นประจำ
พันธุกรรมมีประวัติคนในครอบครัว หรือญาติใกล้ชิดเคยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมาก่อน
อุบัติเหตุบาดเจ็บเรื้อรังจากการเล่นกีฬา หรือเคยประสบอุบัติเหตุบริเวณเข่า เช่น ข้อเข่าเคลื่อนหลุด กระดูกสะบ้าแตก เส้นเอ็นข้อเข่าฉีกขาด กล้ามเนื้อเข่าอักเสบ
โรคบางชนิดเช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเกาต์
ข้อเข่าเสื่อมเป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ในบางกลุ่มอาจมีความเสี่ยงที่สูงกว่าคนทั่วไป ดังนี้
ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
ผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 23
ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม
ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า
ผู้ที่กล้ามเนื้อต้นขาไม่แข็งแรง มีโรคประจำตัว เช่น โรคเกาต์
ผู้ที่ใช้งานข้อเข่าอย่างหนัก เช่น นักกีฬา ทำงานที่ต้องยกของหนัก ยืนเป็นเวลานาน คุกเข่าบ่อยๆ
โรคข้อเข่าเสื่อมที่ได้รับการตรวจพบเร็ว จะสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด เพราะฉะนั้น หากพบว่ามีอาการบ่งชี้ หรือสงสัยว่ากำลังเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม จึงควรรีบมาพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยมีขั้นตอน ดังนี้
การซักประวัติและการตรวจร่างกายผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการของข้อเข่าเสื่อมชัดเจน เช่น ปวดเข่า ตึงเข่า เข่าฝืด หรือมีเสียงดังในเข่า จึงสามารถวินิจฉัยได้ด้วยการซักประวัติ และตรวจดูลักษณะการเคลื่อนไหวของเข่า ลักษณะการเดิน การงอและการเหยียดขา เป็นต้น
เอกซเรย์ ใช้ประเมินระดับความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อม เช่น ดูขนาดช่องว่างระหว่างกระดูกที่ข้อเข่า กระดูกที่งอกออกมาบริเวณขอบของกระดูก ความหนาแน่นของกระดูกที่อยู่ใต้กระดูกอ่อน เป็นต้น เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
โรคข้อเข่าเสื่อมไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถบรรเทาอาการ และชะลอการเสื่อมของข้อเข่าได้ด้วยการดูแลและรักษาที่เหมาะสม ดังนี้
น้ำหนักที่มากเกินไปจะเพิ่มแรงกดทับและสร้างภาระให้กับข้อเข่า จึงควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หรือมีดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 18.5 - 22.90 โดยการควบคุมปริมาณอาหาร เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก โปรตีนดี ไขมันต่ำ ลดของหวาน อาหารแปรรูป ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่ไม่ทำให้เกิดแรงกระแทกข้อเข่ามาก เช่น ว่ายน้ำ เดิน หรือปั่นจักรยาน เมื่อลดน้ำหนักลงได้ 5% ของน้ำหนักตัว อาการปวดเข่าจะเริ่มดีขึ้น
พยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อม เช่น การยกของหนัก นั่งหรือยืนติดต่อกันเป็นเวลานานๆ รวมถึงการนั่งคุกเข่า นั่งไขว่ห้าง หรือนั่งพับเพียบบ่อยๆ หากเลี่ยงไม่ได้ ควรหาเวลาพัก หรือหมั่นเปลี่ยนอิริยาบถเป็นระยะ อย่าอยู่ในท่าเดิมนานเกินไป
หมั่นออกกำลังกายและบริหารหัวเข่าอยู่เสมอ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบหัวเข่าที่มาช่วยแบ่งเบาน้ำหนักและแรงกดทับ ตัวอย่างท่าบริหารง่ายๆ เช่น
นั่งบนเก้าอี้ให้หลังชิดกับพนักพิง
วางฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้างราบกับพื้น
มือจับขอบเก้าอี้เพื่อเพิ่มความมั่นคง
ค่อยๆ ยกขาข้างใดข้างหนึ่งขึ้นจนเข่าเหยียดตรง
เกร็งค้างไว้พร้อมนับ 1 - 10 จากนั้นค่อยๆ ลดขาลง
ทำซ้ำ 10 ครั้งต่อเซต แล้วสลับขาอีกข้าง วันละ 2 - 3 เซต
หากมีอาการปวดมาก สามารถกินยาแก้ปวดพาราเซตามอล หรือยาแก้ปวดและยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ได้ อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้ช่วยบรรเทาอาการเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นการรักษาอาการข้อเข่าเสื่อมโดยตรง จึงควรกินยาควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรม หรือรักษาด้วยวิธีอื่น
นอกจากนี้ในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจพิจารณาสั่งยาช่วยปรับเปลี่ยนโครงสร้างของข้อ เช่น กลูโคซามีนซัลเฟต ซึ่งสามารถช่วยลดอาการปวด การอักเสบ และชะลออาการข้อเข่าเสื่อมในระยะเริ่มต้นได้
สเตียรอยด์เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ จึงใช้ฉีดให้กับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมที่มีอาการอักเสบร่วมด้วย ตัวยาออกฤทธิ์เร็ว และอยู่ได้นาน 6 - 12 สัปดาห์ แต่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก จึงมักจะฉีดในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น และจำนวนรวมไม่ควรเกิน 4 ครั้งต่อปี
น้ำในข้อเข่าทำหน้าที่เหมือนน้ำมันหล่อลื่น ช่วยให้กระดูกเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น และลดการเสียดสีระหว่างกระดูก แต่เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตน้ำไขข้อได้น้อย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ทั้งปริมาณและคุณภาพของน้ำไขข้อจะลดลงมาก
การฉีดน้ำหล่อลื่นข้อเทียมเข้าไปที่หัวเข่าจึงช่วยทดแทนและปรับสมดุลของน้ำไขข้อ ช่วยลดการเสียดสี ลดปวด ลดการอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องใช้ยาแก้ปวดมาก โดยฉีดสัปดาห์ละครั้ง ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ จะออกฤทธิ์ได้นาน 9 - 12 เดือนเลย
เป็นการรักษาอาการข้อเข่าเสื่อมด้วยการฉีดเกล็ดเลือด โดยอาศัยคุณสมบัติของเกล็ดเลือดที่มีสารกระตุ้นการเจริญเติบโต (Growth Factor) มาช่วยฟื้นฟูภาวะเสื่อมของข้อเข่าและบรรเทาความเจ็บปวด เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง ประสิทธิภาพดี ผลข้างเคียงน้อย เนื่องจากเป็นการใช้เลือดของผู้ป่วยเอง โดยแพทย์จะทำการเจาะเลือดผู้ป่วยประมาณ 10 - 20 ซีซี และนำเลือดที่ได้ไปปั่นแยกจนได้เกล็ดเลือดเข้มข้น ก่อนจะนำกลับมาฉีดเข้าไปบริเวณข้อเข่า
การทำกายภาพบำบัดเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมในระยะแรกถึงระยะกลาง จะช่วยบรรเทาอาการปวด เพิ่มความแข็งแรง และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบเข่า ทำให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น โดยอาจจะมีการใช้เครื่องมืออื่นๆ ร่วมด้วย เช่น Hot Pack หรือ Ultrasound
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เป็นวิธีรักษาที่ได้ผลดีในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมรุนแรง หรือรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วยังมีอาการปวดมากอยู่ โดยแพทย์จะทำการผ่าตัด และนำข้อเข่าเทียมที่ทำมาจากโลหะไปครอบฝังไว้ที่เดียวกับกระดูกอ่อนที่เสื่อมสภาพไป
อย่างไรก็ตาม ข้อเข่าเทียมนั้นก็มีอายุการใช้งานจำกัดอยู่ที่ประมาณ 10 - 20 ปี ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้ป่วย เพราะฉะนั้น แม้จะผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแล้ว ก็ควรควบคุมน้ำหนักให้พอดี และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายข้อเข่าด้วย
เมื่อเกิดภาวะข้อเข่าเสื่อมแล้ว จะไม่สามารถฟื้นคืนข้อเข่าให้กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมได้ ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยมีวิธีดังนี้
รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอดี
ออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม เพื่อช่วยเสริมสร้างกระดูก
หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อเข่าอย่างหนัก เช่น ขึ้นลงบันไดเท่าที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
หลีกเลี่ยงการนั่งในท่าที่ทำให้เกิดแรงกดที่ข้อเข่า เช่น นั่งพับเพียบ คุกเข่า นั่งยองๆ นั่งไขว่ห้าง
หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาที่มีการปะทะ หรือเกิดแรงกระแทกสูง
แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อโรงพยาบาลวิภาวดีให้คำปรึกษาและตรวจวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อมโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่จะช่วยแนะนำทางเลือกในการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการและฟื้นฟูการทำงานของข้อเข่าให้ดีขึ้น ด้วยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP)ซึ่งเป็นวิธีรักษาที่ช่วยลดอาการเจ็บปวด และซ่อมแซมเนื้อเยื่อแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีผลข้างเคียง ไม่มีสารตกค้าง และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เพราะเป็นการใช้เลือดจากตัวผู้ป่วยเอง
เพื่อให้การรักษาสามารถทำได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ สามารถนัดหมายได้อย่างสะดวกผ่านเว็บไซต์ของโรงพยาบาลวิภาวดีและสามารถตรวจสอบรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ที่นี่และสำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิ์ประกันผู้ป่วย สามารถสอบถามค่าใช้จ่าย และค่าผ่าตัดประมาณการได้ที่แผนกผู้ป่วยในโทรศัพท์: 02-561-1111 ต่อ 4137,4139นอกจากนี้ยังมีช่องทางสำหรับการติดต่อของตัวแทนประกันชีวิตต่างๆ ทางLine ID: @vibhainsurance
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ เนื่องจากการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนในข้อเข่า ทำให้มีอาการปวดบวม ข้อเข่าฝืดแข็ง ผู้ป่วยจึงเคลื่อนไหวหรือใช้ชีวิตประจำวันลำบากขึ้น แต่ถ้าตระหนักถึงความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม หรือรับการรักษาตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ก็จะช่วยชะลอความเสื่อมและลดความรุนแรงของโรคลงได้
ผู้ที่มีอาการหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่โรงพยาบาลวิภาวดีเรามีทางเลือกที่หลากหลายในการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP)ฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเข่า หรือผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต
หรือใครอยากจะตรวจสุขภาพประจำปี ก็ลองดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพของทางโรงพยาบาลวิภาวดีได้เลย โดยสามารถเข้าไปเลือกซื้อแพ็กเกจที่เหมาะสม หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-561-1111
นอกจากสาระดีๆ เกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อม เรายังได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยมาตอบให้ทุกคนหายสงสัยและเข้าใจโรคนี้มากขึ้นด้วย
หากมีอาการปวดเข่าไม่รุนแรง เป็นๆ หายๆ หรือเป็นเฉพาะบางเวลา อาจจะลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสังเกตอาการดูก่อน แต่หากมีอาการปวดแม้จะอยู่เฉยๆ และรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อเคลื่อนไหว เข่าติด ยืดได้ไม่สุด หรือมีอาการเข่าบวม รู้สึกร้อนในเข่า แสดงว่าเริ่มมีอาการข้ออักเสบ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาโดยเร็ว
ผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมควรควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากจนเกินไป หลีกเลี่ยงท่านั่งที่ต้องงอเข่ามากๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดแรงกระแทกที่เข่า เช่น กระโดด วิ่ง ยกของที่มีน้ำหนักมาก หากมีอาการปวดสามารถใช้สนับเข่าช่วยพยุงเวลาเดิน และประคบอุ่นเพื่อลดอาการปวดเกร็ง หรือประคบเย็นเมื่อมีอาการบวม
โรคข้อเข่าเสื่อมไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่มีหลายวิธีที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวด และชะลอการเสื่อมไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำได้ตามปกติ เช่น การฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม การฉีด PRP การทำกายภาพบำบัด และการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เป็นต้น
การเดินเป็นวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม เพราะช่วยเสริมความแข็งแรงของข้อเข่าโดยไม่ทำให้เกิดแรงกระแทกสูง อาจจะเลือกเดินตามสวนสาธารณะ พื้นที่เรียบๆ ไม่ชัน หรือเดินบนลู่วิ่งด้วยความเร็วต่ำๆ นอกจากนี้ยังสามารถออกกำลังกายในรูปแบบอื่นๆ ได้ด้วย เช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ
สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่
02-561-1111
02-058-1111
สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่
แผนกศัลยกรรมและออร์โธปิดิกส์ เปิดทำการ 08.00 - 19.00 น. ทุกวัน
ติดต่อสอบถามนัดหมายได้ที่ 0-2561-1111 , 0-2058-1111 ต่อ 4142-3
นโยบายความเป็นส่วนตัว | นโยบาย คุกกี้
Copyright © Vibhavadi Hospital. All right reserved