ออร์โธปิดิกส์

 
  • กระดูกและข้อสำคัญต่อร่างกายในแง่ของการพยุงร่างกายให้สามารถเคลื่อนไหวได้ในชีวิตประจำวัน และยังเป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดด้วย
  • โรคทางออร์โธปิดิกส์มี 2 ประเภท คือ Non Traumatic Orthopaedics และ Traumatic Orthopaedics
  • โรคทางออร์โธปิดิกส์ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้อเข่าเสื่อม โรคเกาต์ โรคกระดูกสันหลังอักเสบจากการยึดติด โรคกระดูกสันหลังเสื่อม โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม และโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท เป็นต้น
  • วิธีป้องกันโรคทางออร์โธปิดิกส์ เช่น การปรับท่าทางการนั่ง หลีกเลี่ยงการอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน การออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม เป็นต้น

ออร์โธปิดิกส์ ศาสตร์แห่งการผ่าตัดศัลยกรรมกระดูกและข้อ สำหรับรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูก ข้อ และเส้นประสาทที่เกี่ยวข้อง เรียกโรคเหล่านี้ว่า โรคทางออร์โธปิดิกส์ โดยในบทความนี้จะนำเสนอถึงความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคทางออร์โธปิดิกส์ อาการ สาเหตุ การวินิจฉัย การรักษา ตลอดจนแนวทางป้องกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้

บริเวณกระดูกและข้อมีความสำคัญอย่างไร

บริเวณกระดูกและข้อเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ร่างกายคนเรามีกระดูกมากถึง 206 ชิ้น โครงกระดูกแบ่งเป็นกระดูกแกน และกระดูกรยางค์ ความสำคัญของกระดูกคือการช่วยพยุงร่างกาย ช่วยรักษาการทรงตัว เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ และยังเป็นแหล่งผลิตเม็ดเลือดที่สำคัญอีกด้วย ส่วนข้อต่อก็มีความสำคัญเช่นกัน ข้อต่อเป็นส่วนของกระดูกที่มาต่อกัน มีเอ็นคอยยึดและหุ้มรอบๆ ช่วยในการเคลื่อนไหวของกระดูก ไม่ให้กระดูกหลุดออกจากกัน

โรคทางออร์โธปิดิกส์ คืออะไร

โรคทางออร์โธปิดิกส์ คืออะไร

โรคทางออร์โธปิดิกส์ เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของกระดูกและข้อต่างๆ รวมไปถึงความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อ เส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกระดูกสันหลังด้วย ตัวอย่างโรคออร์โธปิดิกส์ ได้แก่ โรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้อเข่าเสื่อม โรคเกาต์ โรคกระดูกสันหลังอักเสบจากการยึดติด โรคกระดูกสันหลังเสื่อม โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม และโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท เป็นต้น

โรคทางออร์โธปิดิกส์มีกี่ประเภท

ในทางการแพทย์ โรคทางออร์โธปิดิกส์ได้มีการจำแนกไว้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

  • Non Traumatic Orthopaedics เป็นโรคทางออร์โธปิดิกส์ที่ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บ เช่น โรคข้ออักเสบชนิดต่างๆ วัณโรคกระดูกและข้อ และภาวะพิการแต่กำเนิด เป็นต้น
  • Traumatic Orthopaedics เป็นโรคทางออร์โธปิดิกส์ที่เกิดจากการบาดเจ็บ การได้รับผลกระทบจากสิ่งภายนอก หรือการเกิดอุบัติเหตุ เช่น กระดูกหัก กล้ามเนื้อและเอ็นฉีกขาด การบาดเจ็บของเส้นประสาท เป็นต้น

โรคทางออร์โธปิดิกส์มีอะไรบ้าง

โรคทางออร์โธปิดิกส์มีอะไรบ้าง

ทุกคนมีความเสี่ยงจะเป็นโรคทางออร์โธปิดิกส์ เนื่องด้วยปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ พันธุกรรม ตลอดจนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ในส่วนนี้จึงจะนำเสนอเกี่ยวกับโรคทางออร์โธปิดิกส์ที่มีความสำคัญและคนส่วนใหญ่มักจะมีความเสี่ยงในโรคเหล่านี้ด้วย

1. โรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่มักจะเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น สาเหตุของความเจ็บปวดเกิดจากการเสื่อมของกระดูกผิวข้อ ที่เป็นตัวช่วยในการเคลื่อนไหวของข้อเข่า มีความยืดหยุ่น ทนต่อแรงกดทับได้ เมื่อกระดูกผิวข้อเสื่อม ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเมื่อต้องใช้งานข้อเข่า ทั้งการเดิน การยกของ และการเคลื่อนไหวอื่นๆ

สำหรับอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และการรักษา โรคข้อเข่าเสื่อม มีดังนี้

อาการ

  • กลุ่มอาการปวด (Pain) เป็นอาการปวดเรื้อรังบริเวณข้อเข่า จะมีอาการปวดเมื่อมีการใช้งาน และมีเสียงในข้อเข่าขณะขยับ หากมีอาการเจ็บปวดมาก หมายความว่าอาการข้อเข่าเสื่อมมีความรุนแรงมาก
  • กลุ่มอาการที่ใช้งานไม่ได้ (Dysfunction) มีอาการเจ็บปวดมากเมื่อมีการใช้งาน ไม่ว่าจะเดินหรือขยับจะมีอาการเจ็บ กรณีที่นั่งนานๆ จะไม่สามารถลุกเดินได้ทันที
  • กลุ่มอาการกระดูกผิดรูป (Deformity)

สาเหตุ

  • อายุมากขึ้น
  • เพศ ส่วนใหญ่เพศหญิงมีโอกาสเป็นมากกว่า
  • พันธุกรรม
  • การเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับกระดูก
  • พฤติกรรมหรือการประกอบอาชีพที่ต้องใช้งานข้อเข่าหนัก ซ้ำๆ
  • น้ำหนักตัวมาก
  • อาการกล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง
  • โรคความดันสูง
  • โรคเบาหวาน
  • ภาวะไขมันสูง

การวินิจฉัย

  • การซักประวัติ เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุและความรุนแรงของอาการข้อเข่าเสื่อม
  • การตรวจร่างกาย เพื่อตรวจสอบอาการ รวมไปถึงสาเหตุอื่นๆ เช่น โรคเรื้อรังต่างๆ
  • การถ่ายภาพเอกซเรย์บริเวณข้อเข่า โดยมุ่งไปที่บริเวณช่องว่างระหว่างข้อ เพื่อตรวจสอบความเสื่อมสลายของกระดูกอ่อนผิวข้อ

การรักษา

  • การลดน้ำหนัก
  • การบริหารกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาให้แข็งแรง
  • การใช้ยาลดอักเสบและแก้ปวด
  • การรักษาแบบผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียม

โรคเกาต์

2. โรคเกาต์

โรคเกาต์เป็นโรคทางออร์โธปิดิกส์ที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย มักเป็นอาการปวดแสบร้อน บวมแดง บริเวณข้อต่อของร่างกาย ซึ่งอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และการรักษา โรคเกาต์ มีดังนี้

อาการ

  • ปวดอย่างรุนแรงและรวดเร็วที่บริเวณข้อต่อของร่างกาย ส่วนมากที่บริเวณข้อนิ้วหัวแม่เท้า
  • มีอาการบวมแดงและแสบร้อน คล้ายถูกไฟลวก
  • ผิวหนังบริเวณที่ปวดมีสีแดงและแวววาว
  • อาการปวดแสบร้อนจะเกิดรุนแรงในช่วง 4 - 12 ชั่วโมงแรก
  • อาการมีหนักเบาสลับกันไป จะค่อยๆ ทุเลาลง และอาจกลับมาเป็นได้อีก

สาเหตุ

  • การสะสมของกรดยูริกในกระแสเลือด
  • การรับประทานอาหารที่มีสารเพียวรีนสูง เช่น เครื่องใน เนื้อแดง อาหารทะเล
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลทรายหรือน้ำตาลฟรุกโตส
  • การที่ร่างกายขับกรดยูริกออกทางไตได้น้อยเกินไป
  • น้ำหนักเกินมาตรฐาน
  • ผู้เป็นโรคความดัน เบาหวาน โรคไต และโรคหัวใจ
  • ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเกาต์

การวินิจฉัย

  • การตรวจเลือดเพื่อวัดความเข้มข้นของกรดยูริกในเลือด
  • การตรวจอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจจับผลึกเกลือยูเรตในข้อต่อ
  • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบ DECT (Dual Energy CT Scan) เพื่อตรวจจับผลึกเกลือยูเรตในข้อต่อ โดยการประกอบภาพเอกซเรย์จากมุมต่างๆ เพื่อช่วยการวิเคราะห์
  • ในกรณีอาการรุนแรง แพทย์อาจใช้เข็มเจาะบริเวณข้อต่อ เพื่อนำของเหลวออกมาตรวจต่อไป

การรักษา

  • การใช้ยาช่วยลดการอักเสบเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด
  • การใช้ยาลดระดับกรดยูริกในเลือด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเกาต์

3. โรคกระดูกสันหลังอักเสบจากการยึดติด

โรคกระดูกสันหลังอักเสบจากการยึดติด เป็นโรคทางออร์โธปิดิกส์ชนิดหนึ่ง เป็นโรคที่เกี่ยวกับข้ออักเสบ ส่งผลให้กระดูกเล็กๆ บริเวณกระดูกสันหลังยึดติดกัน ทำให้กระดูกไม่มีความยืดหยุ่น และอาจก่อให้เกิดภาวะหลังค่อมได้ สำหรับอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และการรักษา โรคกระดูกสันหลังอักเสบจากการยึดติด มีดังนี้

อาการ

  • อาการปวดตึงหลังล่างและสะโพก มักเกิดในช่วงเช้า ช่วงที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวในระยะเวลาหนึ่ง
  • มีอาการปวดข้อ เมื่อยล้า บริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง ข้อต่อสะโพก ข้อต่อหัวไหล่ ข้อต่อตรงกลางฐานกระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกราน กระดูกอ่อนระหว่างกระดูกหน้าอกและกระดูกซี่โครง กระดูกสันหลังไปจนถึงหลังส้นเท้า เป็นต้น

สาเหตุ

  • อายุ โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบจากการยึดติดมักเกิดสัญญาณและอาการของโรคในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย หรือผู้ใหญ่ตอนต้น
  • เพศ ผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง
  • พันธุกรรม โดยผู้ที่มียีน HLA-B27 มักมีแนวโน้มเป็นโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบจากการยึดติด

การวินิจฉัย

  • การทดสอบการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง
  • การตรวจสอบความเจ็บปวด โดยการกดกระดูกเชิงกรานเฉพาะส่วน
  • การตรวจดูการทำงานของปอด โดยการให้คนไข้หายใจเข้าลึกๆ

การรักษา

  • การใช้ยา โดยเริ่มจากยาต้านการอักเสบ หากคนไข้ไม่ตอบสนองต่อ NSIDs แพทย์อาจใช้ยาป้องกันเนื้องอกเนื้อร้าย (a tumor necrosis) หรือ Interleukin-17 เป็นทางเลือก
  • การบำบัด โดยแพทย์และนักกายภาพบำบัดจะช่วยแนะนำท่าทางการออกกำลังกาย การยืดร่างกาย การปรับท่าเดิน รวมไปถึงการพักผ่อนที่เพียงพอด้วย
  • การผ่าตัดกระดูก จะใช้ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เฉียบพลัน

โรครูมาตอยด์

4. โรครูมาตอยด์

โรคอักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคทางออร์โธปิดิกส์ ที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของข้อต่อ เริ่มเกิดที่บริเวณข้อต่อเล็กๆ ลามไปยังข้อต่อใหญ่ๆ หากเป็นในระยะรุนแรงก็อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายได้ สำหรับอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และการรักษา โรครูมาตอยด์ มีดังนี้

อาการ

  • ระยะแรกมีไข้ต่ำ ปวดเมื่อยร่างกาย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด มีอาการชาตามมือเป็นเวลานาน และมีอาการปวดตามข้อหรือข้อฝืดตึง
  • มีอาการปวดตามข้อต่อเล็กๆ เช่น ฐานนิ้วมือนิ้วเท้า ลามไปจนถึงข้อต่อขนาดใหญ่ เช่น แขนหรือขา โดยจะมีอาการปวดบริเวณเดียวกันทั้งสองข้าง
  • อาการปวดที่พบส่วนใหญ่มีอาการปวดข้อยึดตึง กดเจ็บและบวมร้อน ส่วนมากจะเป็นตอนเช้า หรือหลังจากไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมาระยะเวลาหนึ่ง ระยะเวลาการปวดจะนานกว่า 1 ชั่วโมง
  • ส่วนมากอาการปวดจะเกิดบริเวณข้อต่อของอวัยวะ เช่น ข้อมือ ข้อศอก เท้า ข้อเท้า หัวเข่า คอ หัวไหล่ สะโพก และข้อต่อกระดูกอ่อนของกล่องเสียง เป็นต้น

สาเหตุ

  • อายุ ผู้ที่มีอายุมากขึ้นจะมีความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มากขึ้น
  • เพศ ผู้หญิงจะมีความเสี่ยงสูงถึง 3 เท่า
  • พันธุกรรม ผู้มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรครูมาตอยด์จะมีความเสี่ยงสูง
  • ปัจจัยกระตุ้นการเกิดโรค ได้แก่ การสูบบุหรี่ ความเครียดและการติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคปริทันต์อักเสบ

การวินิจฉัย

  • การซักประวัติทางการแพทย์
  • การตรวจร่างกาย
  • การตรวจเลือด
  • การตรวจวินิจฉัยภาพถ่าย
  • การสังเกตอาการ

การรักษา

  • การใช้ยา เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบ เป็นต้น
  • การปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต พักผ่อนและบริหารร่างกาย
  • การป้องกันไม่ให้ข้อต่อถูกทำลายมากขึ้น
  • การผ่าตัด กรณีโรคมีความรุนแรง

 โรคกระดูกสันหลังเสื่อม

5. โรคกระดูกสันหลังเสื่อม

โรคกระดูกสันหลังเสื่อมเป็นโรคที่มักเกิดกับผู้ที่มีอายุมากขึ้น ทำให้ใช้ชีวิตยากลำบาก เพราะมีความเจ็บปวด เคลื่อนไหวลำบาก ซึ่งอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และการรักษา โรคกระดูกสันหลังเสื่อม มีดังนี้

อาการ

  • ปวดหลัง หรือปวดบริเวณกล้ามเนื้อรอบๆ มักจะปวดในขณะใช้งาน เช่น การยกของ การล้มและเงย
  • ความสามารถในการเคลื่อนไหวลดลง เนื่องจากความยืดหยุ่นลดลง ข้อขยับได้น้อย ก้มเงยลำบาก การลุกจากเตียงต้องใช้เวลานานขึ้น
  • มีอาการปวดร้าว ชา อ่อนแรง ตามแนวเส้นประสาท ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ถูกกดทับ เช่น กระดูกสันหลังส่วนคอจะมีอาการที่ระบบประสาทแขนและข้อมือ หากเป็นที่บริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอว จะมีอาการที่ระบบประสาทขา

สาเหตุ

  • การใช้งานกระดูกสันหลังมากเกินไป เช่น การก้มยกของหนักมากๆ จนเกิดการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกสันหลัง เมื่อทำซ้ำๆ เป็นเวลานาน อาจจะทำให้เกิดความเสื่อมของกระดูกสันหลังได้
  • โครงสร้างกระดูกสันหลังไม่แข็งแรง เนื่องจากโครงสร้างผิดปกติ ทำให้เสื่อมเร็ว แม้มีอายุน้อย

การวินิจฉัย

  • ซักประวัติอาการปวด ลักษณะการใช้งาน
  • ตรวจร่างกาย เช่น การเคลื่อนไหวกระดูกสันหลัง
  • เอกซเรย์กระดูกสันหลัง
  • การทำ MRI เพื่อดูลักษณะโครงสร้างกระดูกสันหลัง
  • การตรวจการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อด้วยกระแสไฟฟ้า (EMG)
  • การเจาะเลือดเพื่อดูค่าผลเลือดที่เกี่ยวข้อง

การรักษา

  • การใช้ยา ในกรณีจำเป็นที่มีอาการปวดมาก
  • การทำกายภาพบำบัด เพื่อบรรเทาอาการปวดและเสริมให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
  • การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงคอและหลัง จะใช้ในช่วงที่มีอาการปวดมาก และงดใช้เมื่อไม่มีอาการปวด เพราะจะทำให้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลังลดลง
  • การฉีดยาลดอาการปวดตามเส้นประสาท ในกรณีมีอาการปวดรุนแรง
  • การผ่าตัดกระดูก ในกรณีรักษาด้วยวิธีต่างๆ แล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น

6. โรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุน เป็นอีกหนึ่งโรคทางออร์โธปิดิกส์ที่มักจะเกิดภาวะกระดูกเสื่อม ร่างกายซ่อมแซมกระดูกใหม่ได้ช้า ทำให้กระดูกเปราะบาง แตกหักได้ง่าย สำหรับอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และการรักษา โรคกระดูกพรุน มีดังนี้

อาการ

  • มีอาการปวดหลัง เนื่องจากกระดูกสันหลังยุบหรือหัก
  • ความสูงลดลง
  • มีภาวะหลังค่อม
  • กระดูกเปราะ หักง่าย

สาเหตุ

  • ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น อายุมากมีความเสี่ยงมาก เพศหญิงมีความเสี่ยงมากกว่า ประวัติครอบครัว และโครงสร้างกระดูก
  • ปัจจัยฮอร์โมน ที่มากหรือน้อยเกินไป ก็ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน เช่น ฮอร์โมนเพศ ปัญหาต่อมไทรอยด์ เป็นต้น
  • ปัจจัยที่เกี่ยวกับอาหาร เช่น การบริโภคแคลเซียมต่ำ การรับประทานอาหารผิดปกติ และมีการผ่าตัดระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น
  • ปัจจัยเกี่ยวกับการใช้ยา เช่น การใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาว รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาโรคต่างๆ ได้แก่ โรคมะเร็ง อาการชัก กรดไหลย้อน เป็นต้น
  • ปัจจัยทางการแพทย์ ผู้ที่เป็นโรคต่อไปนี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนมากขึ้น ได้แก่ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคลูปัส โรคมะเร็ง โรคไตหรือตับ โรคช่องท้อง โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • ปัจจัยการดำเนินชีวิตที่ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น การสูบบุหรี่ การเคลื่อนไหวร่างกายน้อย การดื่มแอลกอฮอล์

การวินิจฉัย

  • การซักประวัติ
  • ใช้รังสีเอกซเรย์ระดับต่ำในการตรวจวินิจฉัย เพื่อวัดสัดส่วนของแร่ธาตุในกระดูก โดยเฉพาะกระดูกสะโพกและกระดูกสันหลัง

การรักษา

  • แพทย์จะไม่จ่ายยาให้กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงการแตกหักของกระดูกต่ำ
  • กรณีผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการแตกหักของกระดูก แพทย์จะสั่งจ่ายยา เช่น บิสฟอสโฟเนติค (Bisphosphonates) ยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody) ยาเสริมกระดูก และการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน

7. โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม เป็นโรคทางออร์โธปิดิกส์ที่เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีพฤติกรรมนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน การนั่งผิดท่า หรือผู้มีน้ำหนักเกิน จะส่งผลต่อภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อมได้ ซึ่งอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และการรักษา โรคหมอนรองกระดูกเสื่อม มีดังนี้

อาการ

  • มีอาการปวดบริเวณคอ เอว ไหล่ และหลังช่วงล่าง ที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน อาการปวดจะเป็นๆ หายๆ ระยะเวลายาวนานกว่า 2 สัปดาห์
  • อาการปวดจะปวดทั่วแผ่นหลัง ลามไปถึงเอวและขา
  • อาการปวดจะรุนแรงขึ้นขณะนั่ง ก้มตัว หรือยกของ
  • มีอาการปวดหลังจากเกิดอุบัติเหตุ

สาเหตุ

  • อายุเพิ่มมากขึ้น
  • น้ำหนักตัวมาก
  • การนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน
  • การแบกของหนัก
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • การสูบบุหรี่
  • การเกิดอุบัติเหตุบริเวณกระดูกสันหลัง

การวินิจฉัย

  • การซักประวัติ
  • การตรวจร่างกาย
  • การตรวจร่างกายเพิ่มเติมด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
  • การตรวจร่างกายเพิ่มเติมด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)

การรักษา

  • กรณีอาการไม่รุนแรง ยังไม่พบการกดทับของเส้นประสาท แพทย์จะรักษาเพื่อประคับประคองอาการ เช่น การใช้ยา การฉีดยา การทำกายภาพบำบัด การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ป่วย และแนะนำการออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลัง เป็นต้น
  • กรณีอาการรุนแรง พบการกดทับของเส้นประสาท แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยการผ่าตัด ได้แก่ การผ่าตัดส่องกล้องนำส่วนที่กดทับเส้นประสาทออก การผ่าตัดเชื่อมข้อต่อกระดูกสันหลังเพื่อลดอาการปวด และการผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกสันหลังเทียม เพื่อนำหมอนรองกระดูกที่เสื่อมแล้วออก และใส่หมอนรองกระดูกสันหลังเทียมทดแทน

8. โรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท

โรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท เป็นโรคทางออร์โธปิดิกส์ที่เกิดขึ้นได้ในคนทุกเพศทุกวัย ส่วนมากเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต สำหรับอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และการรักษา โรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท มีดังนี้

อาการ

  • อาการปวดแขนหรือขา หากเกิดอาการบริเวณหลังส่วนล่าง จะส่งผลให้เกิดการปวดที่หลังส่วนล่าง ก้น ต้นขา น่อง และเท้า แต่หากเกิดอาการบริเวณคอ จะมีอาการปวดเฉียบพลันบริเวณไหล่และแขน
  • อาการชา หรือปวดแปล๊บๆ ในส่วนต่างๆ ที่เส้นประสาทไปเลี้ยง
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง ส่งผลกระทบในการหยิบจับสิ่งของ

สาเหตุ

  • น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ส่งผลต่อการกดทับมากขึ้น
  • การใช้แรงมากในการยกหรือดึงของหนัก จะทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น
  • พันธุกรรม มีความเสี่ยงมากขึ้นในกรณีที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
  • การสูบบุหรี่ ส่งผลให้ออกซิเจนในเนื้อเยื่อลดลง ทำให้ฉีกขาดได้ง่าย
  • การขับรถเป็นเวลานาน นอกจากจะต้องอยู่ในท่าเดิมนานๆแล้ว แรงสั่นสะเทือนยังมีส่วนทำให้เกิดแรงกดกระดูกสันหลังได้
  • การเคลื่อนไหวน้อย ไม่ได้ออกกำลังกายมากนัก

การวินิจฉัย

  • การตรวจความยืดหยุ่นของร่างกาย โดยให้คนไข้ขยับส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  • การตรวจระบบประสาทอื่นๆ เพื่อดูการตอบสนอง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทรงตัวขณะเดิน การรับรู้การสัมผัส ความสั่นสะเทือน
  • การตรวจด้วยปลายเข็มหมุด
  • การตรวจเอกซเรย์ เพื่อระบุสาเหตุอื่นๆ ของการปวด
  • การทำ CT Scan เพื่อแสดงภาพโครงสร้างกระดูกสันหลังใน 3 มิติ
  • การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อยืนยันตำแหน่งหมอนรองกระดูกทับเส้นได้
  • การประเมินการทำงานของเส้นประสาท เช่น การตรวจการนำไฟฟ้าของเส้นประสาทและการตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ

การรักษา

  • การใช้ยา เช่น ยาแก้ปวด ยารักษาอาการปวดจากเส้นประสาท ยาคลายกล้ามเนื้อ การฉีดคอร์ติโซน เป็นต้น
  • การทำกายภาพบำบัด และการแนะนำท่าออกกำลังกายที่เหมาะสม
  • การผ่าตัดกระดูก ในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นหลังจากรักษาด้วยวิธีข้างต้น

การป้องกันโรคทางออร์โธปิดิกส์

การป้องกันโรคทางออร์โธปิดิกส์

โรคทางออร์โธปิดิกส์เป็นโรคทางกระดูกและข้อ แม้ว่าจะมีบางส่วนที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกายตามอายุที่มากขึ้น แต่ก็มีอีกหลายโรคที่เกิดจากปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ยังมีแนวทางป้องกันได้ ดังนี้

  • การปรับท่านั่งให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้าง การนั่งขัดสมาธิ และการนั่งพับเพียบติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • พยายามออกกำลังกายให้ได้ทุกส่วนของร่างกาย หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในท่าเดิมซ้ำๆ
  • การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคทางออร์โธปิดิกส์ เช่น ว่ายน้ำ โยคะ เป็นต้น
  • การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม เช่น นม เต้าหู้ ผักใบเขียว ข้าวกล้อง ผลไม้ ถั่วต่างๆ เป็นต้น

การรักษาโรคทางออร์โธปิดิกส์ที่โรงพยาบาลวิภาวดี

โรคทางออร์โธปิดิกส์เป็นโรคทางกระดูกและข้อที่ส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว ดังนั้นการรักษาโรคที่เกี่ยวกับกระดูกและข้อจึงควรเลือกโรงพยาบาลที่มีการรักษาครบวงจร ที่โรงพยาบาลวิภาวดี แผนกศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ มีบริการตรวจ วินิจฉัย รักษา และการผ่าตัดศัลยกรรมกระดูกและข้อครบวงจร โดยผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อที่มีประสบการณ์ ผ่านการฝึกอบรมทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ มีการบริการและการรักษาโรคทางออร์โธปิดิกส์ เช่นโรคกระดูกทั้งหมด โรคข้ออักเสบ โรคกระดูกพรุน หมอนรองกระดูกเคลื่อน กุมารเวชศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ ข้อเข่าและข้อสะโพกเทียม เป็นต้น

เพื่อให้การรักษาสามารถทำได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ สามารถนัดหมายได้อย่างสะดวกผ่านเว็บไซต์ของ โรงพยาบาลวิภาวดี และสามารถตรวจสอบรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ ที่นี่ และสำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิ์ประกันผู้ป่วย สามารถสอบถามค่าใช้จ่าย และค่าผ่าตัดประมาณการได้ที่แผนกผู้ป่วยใน โทรศัพท์: 02-561-1111 ต่อ 4137,4139 นอกจากนี้ยังมีช่องทางสำหรับการติดต่อของตัวแทนประกันชีวิตต่างๆ ทาง Line ID: @vibhainsurance

สรุป

โรคทางออร์โธปิดิกส์เป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางกระดูกและข้อ รวมไปถึงเส้นประสาทต่างๆ ทั้งที่เกิดมาจากความผิดปกติของร่างกายและจากการบาดเจ็บ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้อเข่าเสื่อม โรคเกาต์ โรคกระดูกสันหลังอักเสบจากการยึดติด โรคกระดูกสันหลังเสื่อม โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม และโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท เป็นต้น

เมื่อรู้สึกมีอาการเจ็บปวดที่เกี่ยวกับกระดูก จึงควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยรักษาให้ทัน ซึ่งโรงพยาบาลวิภาวดี มีแผนกศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ ที่มีบริการครบวงจร ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัย รักษา ตลอดจนการผ่าตัดศัลยกรรมกระดูก โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์

หรือใครอยากจะตรวจสุขภาพประจำปี ก็ลองดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพของทางโรงพยาบาลวิภาวดีได้เลย โดยสามารถเข้าไปเลือกซื้อแพ็กเกจที่เหมาะสม หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-561-1111

FAQ

สำหรับข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคทางออร์โธปิดิกส์ที่ยังเป็นประเด็นที่มีผู้สนใจจำนวนมาก และเป็นคำถามที่พบได้บ่อย มีดังนี้

ออร์โธปิดิกส์ ในเชิงการศึกษาวิชาทางแพทยศาสตร์ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับอาการทางกระดูกและข้อ ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บ ภาวะฉุกเฉิน หลักการวินิจฉัย การรักษาโรค หรือการผ่าตัด เป็นต้น

แพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า หมอกระดูกและข้อ เป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการรักษากระดูกและข้อต่างๆ รวมถึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของแขนขาและกระดูกสันหลัง โดยแพทย์จะทำการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ ทั้งนี้แพทย์ออร์โธปิดิกส์จะมีสาขาเฉพาะอีกหลายสาขา ได้แก่

  • ข้อสะโพกและข้อเข่า
  • กระดูกสันหลัง
  • เวชศาสตร์การกีฬา
  • การบาดเจ็บของกระดูกและกล้ามเนื้อ
  • ข้อมือและมือ
  • ข้อเท้าและเท้า
  • กระดูกเด็ก
  • เนื้องอกและมะเร็ง
  • เมตาบอลิก

ในการวินิจฉัยโรคออร์โธปิดิกส์จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำขึ้น เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น

  • การเอกซเรย์ระบบดิจิตอล
  • การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
  • การเอกซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้า
  • การตรวจวินิจฉัยด้วยคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อและเส้นประสาท
  • การตรวจภายในข้อด้วยการส่องกล้อง

บริการและการรักษาที่มีอยู่:

• โรคกระดูกทั้งหมด: กระดูกหักและข้อเคลื่อนที่เกิดจากอุบัติเหตุ.
• ข้ออักเสบจากสาเหตุต่างๆ : โรคเกาต์ ข้ออักเสบรูมาตอยด์
• หมอนรองกระดูกเคลื่อน
• กุมารเวชศาสตร์ออร์โธปิดิกส์
• Arthroscopy: ข้อเข่าและข้อไหล่
• ข้อเข่าและข้อสะโพกเทียม
• โรคกระดูกพรุน

 

สิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีอยู่: 
• ห้องผ่าตัด 6 ห้องพร้อมอุปกรณ์ผ่าตัดที่ทันสมัย
• ห้องตรวจโรคกระดูกและข้อผู้ป่วยนอก 7 ห้อง
• ห้องเฝือกและห้องรักษา
• เครื่องวัดความหนาแน่นของกระดูก
• ห้องรักษาที่สะอาดและปลอดภัยพร้อมอุปกรณ์ตรวจวินิจฉัยที่ทันสมัย
• ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง สะอาด สะดวก รวดเร็ว
• 64-Slice CT Scan
• เอ็มอาร์ไอ

 

นักศัลยกรรมกระดูกที่มีประสบการณ์สามารถให้ข้อมูลต่อไปนี้:

• ศัลยกรรมกระดูกและข้อทั่วไป
• ศัลยกรรมกระดูกสันหลัง
• เวชศาสตร์การกีฬา + ศัลยกรรมส่องกล้อง
• การผ่าตัดข้อสะโพกและข้อเข่า
• กุมารเวชศาสตร์ออร์โธปิดิกส์
• ศัลยกรรมมือและจุลภาค
• ศัลยกรรมเท้าและข้อเท้า
• เนื้องอกในกระดูก

 

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111

แผนกศัลยกรรมและออร์โธปิดิกส์ เปิดทำการ 08.00 - 19.00 น. ทุกวัน
ติดต่อสอบถามนัดหมายได้ที่ 0-2561-1111 , 0-2058-1111 ต่อ 4142-3

add friends

 


ทีมแพทย์ออร์โธปิดิกส์