โรคกระดูกพรุน

  • โรคกระดูกพรุนคือภาวะที่มวลและความหนาแน่นของกระดูกน้อยลง พบมากบริเวณกระดูกข้อสะโพก กระดูกสันหลัง และกระดูกปลายแขน ส่งผลให้กระดูกเปราะบาง แตกหักได้ง่ายและผิดรูป ไม่สามารถรับแรงกระแทกหรือรับน้ำหนักร่างกายได้ จึงกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน
  • ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมักมีอาการปวดหลังเรื้อรัง หลังค่อม หลังโค้ง ความสูงลดลง เนื่องจากกระดูกผิดรูป นอกจากนี้กระดูกยังแตกหักง่ายแม้ได้รับการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย เกิดจากการไม่สมดุลกันระหว่างเซลล์สร้างกระดูกและเซลล์สลายกระดูก ทำให้มวลกระดูกในร่างกายลดลงจากการสลายตัวมากกว่า
  • การรักษาโรคกระดูกพรุนมีทั้งแบบไม่ใช่ยา อย่างการรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งเรื่องอาหาร การเสริมวิตามิน การออกกำลังกาย การเลี่ยงพฤติกรรมที่กระทบต่อการสร้างกระดูก และการรักษาด้วยยา ที่รักษาด้วยยาช่วยลดการสลายของกระดูกหรือยากระตุ้นการสร้างกระดูก เป็นต้น

โรคกระดูกพรุน เป็นหนึ่งในภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและสุขภาพโดยรวม บทความนี้จึงจะพามาป้องกันโรคกระดูกพรุน ก่อนที่กระดูกจะหัก ด้วยการสังเกตอาการ แล้วมาดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร พร้อมวิธีรักษา เพื่อไม่ให้กระทบต่อร่างกายในภายหลัง

รู้จักโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คืออะไร

รู้จักโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คืออะไร

โรคกระดูกพรุน หรือ Osteoporosis คือภาวะที่มวลและความหนาแน่นของกระดูกน้อยลง โดยส่วนที่พบมากที่สุด ได้แก่ กระดูกข้อสะโพก กระดูกสันหลัง และกระดูกปลายแขน ส่งผลให้กระดูกเปราะบาง แตกหักได้ง่ายและผิดรูป ทำให้ไม่สามารถรับแรงกระแทกหรือรับน้ำหนักร่างกายได้

ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้และอันตรายมากขึ้นเมื่อประสบอุบัติเหตุ เพราะมีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาภายหลัง ปัจจุบันประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมากกว่า 1 ล้าน ซึ่งกว่า 25% เป็นผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง

โรคกระดูกพรุนแต่ละประเภท

โรคกระดูกพรุนแต่ละประเภท

หากแบ่งตามสาเหตุของการเกิดโรค ปัจจุบันสามารถแบ่งโรคกระดูกพรุนได้เป็น 2 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและปัจจัยดังต่อไปนี้

1. กระดูกพรุนชนิดปฐมภูมิ

โรคกระดูกพรุนชนิดปฐมภูมิหรือ Primary Osteoporosis เป็นภาวะกระดูกพรุนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และพบได้ในกลุ่มคนดังต่อไปนี้

  • ผู้สูงอายุเนื่องจากมีอัตราเสื่อมสลายของกระดูกมากขึ้น อีกทั้งยังมีการสร้างมวลกระดูกใหม่ทดแทนน้อยลง โดยเฉพาะในคนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ด้วยมีอัตราสูญเสียเนื้อกระดูกสูงขึ้น 3 - 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ประมาณ 5 ปี หลังจากนั้นจะลดลงประมาณ 0.5 - 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ดังนั้นจึงทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูกในร่างกายลดลงและมีภาวะกระดูกพรุนในที่สุด
  • ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนร่างกายจะมีระดับฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนลดลง ทำให้อัตราการสลายตัวของกระดูกมากกว่าการสร้าง ในช่วง 5 ปีแรกของการหมดประจำเดือนพบว่าร่างกายสูญเสียมวลกระดูกมากขึ้นถึง 10% แต่มักพบอาการหลังจากหมดประจำเดือนแล้วประมาณ 15 - 20 ปี
  • โรคกระดูกพรุนในเด็กจากพันธุกรรม

2. กระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ

โรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิหรือ Secondary Osteoporosis เป็นภาวะกระดูกพรุนเกิดจากระบบการทำงานอื่น ๆ ของร่างกายและสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย ดังนี้

  • ปัจจัยจากโรคต่างๆเช่น โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคตับเรื้อรัง โรคไตวายเรื้อรัง โรคที่เกี่ยวกับการดูดซึมของกระเพาะอาหาร โรคอดอาหารจากการกลัวอ้วน (Anorexia Nervosa) เป็นต้น
  • ความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อเช่น ภาวะฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์สูง ผู้ป่วยที่หมดประจำเดือนจากการผ่าตัดนำรังไข่ออก คนที่มีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ เป็นต้น

สังเกตให้ดี! อาการโรคกระดูกพรุนเป็นอย่างไร

สังเกตให้ดี! อาการโรคกระดูกพรุนเป็นอย่างไร

เนื่องด้วยโรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับกระดูกภายในร่างกาย จึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่ากำลังมีปัญหากระดูกพรุน กว่ารู้ตัวอีกทีก็ตอนประสบอุบัติเหตุกระดูกหัก แต่ในความจริง สามารถสังเกตอาการได้ง่ายๆ ดังนี้

  • มีอาการปวดหลังเรื้อรัง
  • มีปัญหาหลังค่อมหรือหลังโค้ง
  • ระดับความสูงของร่างกายลดลง
  • กระดูกแตกหักง่าย

สาเหตุของโรคกระดูกพรุนเกิดจากอะไร

โรคกระดูกพรุนเกิดจากกระบวนทำงานของเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) ที่ทำหน้าที่สร้างกระดูกขึ้นใหม่ ไม่สมดุลกับกระบวนทำงานของเซลล์สลายกระดูก ที่มีหน้าที่ตรงกันข้ามคือสลายเนื้อกระดูกเก่าในร่างกาย ทำให้มวลกระดูกในร่างกายลดลงจากการสลายตัวมากกว่าการสร้าง จึงตามมาด้วยปัญหากระดูกพรุน ทั้งนี้อาจเกิดขึ้นจากความผิดปกติของเซลล์กระดูกหรือปริมาณแคลเซียมในร่างกายไม่เพียงพอต่อการสร้างกระดูก

ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุน

ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุน

ไม่เพียงแต่ความไม่สมดุลในการทำงานของเซลล์สร้างและสลายกระดูกเท่านั้น แต่ปัญหากระดูกพรุนยังมีอีกหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้กระดูกพรุนมากขึ้น ดังนี้

  • กรรมพันธุ์หากมีคนในครอบครัวมีภาวะกระดูกพรุน จะทำให้เสี่ยงมากขึ้น
  • อายุเพราะยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้น กระบวนการสร้างกระดูกยิ่งลดน้อยลง อีกทั้งกระดูกร่างกายมีการสึกหรอ ทำให้แตกหักได้ง่ายขึ้น
  • เพศมักเกิดกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องด้วยเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนร่างกายจะผลิตเอสโตรเจนลดลง ซึ่งทำให้การสร้างกระดูกลดลงตามไปด้วย
  • ความผิดปกติของตับ ไต หรือต่อมต่างๆ ในร่างกาย
  • มีภาวะโรคต่างๆอย่างโรคภูมิแพ้ตัวเองหรือ SLE และโรคมะเร็ง
  • การใช้ยากลุ่มยาสเตียรอยด์หรือยาที่ส่งผลกระทบต่อการสร้างกระดูก
  • การขาดแคลเซียม

โรคกระดูกพรุน กับภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้

หากเป็นโรคกระดูกพรุน แน่นอนว่าเรื่องที่ต้องระวังมากที่สุดนั้นหนีไม่พ้นอุบัติเหตุ เพราะเมื่อล้มลงอาจทำให้กระดูกแตกหักได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีปัญหากระดูกพรุน แต่อีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามคือภาวะแทรกซ้อน ดังนี้

  • เคลื่อนไหวได้ช้าลง ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง และขยับตัวได้ยากลำบากมากขึ้น เกิดข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน กระทั่งส่งผลต่อสภาพจิตใจ
  • มีอาการปวดหลัง ภาวะหลังโก่ง หลังค่อม ทำให้เสียบุคลิก
  • มีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะหรือติดเชื้อในกระแสเลือดมากขึ้น
  • มีโอกาสเป็นโรคอัมพฤกษ์หรืออัมพาต
  • มีปัญหาแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง

ขั้นตอนวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน

การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการตรวจทางรังสีเพื่อประเมินความหนาแน่นอนของกระดูก (Bone Mineral Density หรือ BMD) ด้วยเครื่อง DXA เทียบกับค่ามวลกระดูกเฉลี่ยของคนที่มีอายุน้อย ดังนี้

  • ค่ามวลกระดูกมากกว่าหรือเท่ากับ -1 ถือว่ามวลกระดูกอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ค่ามวลกระดูกระหว่าง -1 ถึง -2.5 ถือว่ามีภาวะกระดูกบาง
  • ค่ามวลกระดูกน้อยกว่าหรือเท่ากับ -2.5 ถือว่ามีภาวะกระดูกพรุน

วิธีรักษาโรคกระดูกพรุน

วิธีรักษาโรคกระดูกพรุน

การรักษาหลังจากได้รับการวินิจฉัยและประเมินภาวะกระดูกพรุนแล้ว แพทย์จะประเมินอาการเพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม เพราะผู้ป่วยแต่ละรายมีความเสี่ยงและอาการที่แตกต่างขึ้น แต่ทั้งนี้ จุดประสงค์หลักของการรักษาคือลดโอกาสเกิดภาวะกระดูกหัก ซึ่งโรคกระดูกพรุนรักษาได้ทั้งแบบไม่ใช้ยาและใช้ยาบรรเทาอาการ ดังนี้

1. การรักษาโดยไม่ใช้ยา

การรักษาแบบไม่ใช้ยา เป็นการรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ที่มีปัญหากระดูกพรุน ทั้งเรื่องอาหาร การเสริมวิตามิน การออกกำลังกาย การเลี่ยงพฤติกรรมต่างๆ โดยแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้

  • การรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการ โดยในกลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่ 19 - 50 ปี ควรรับประทานประมาณวันละ 800 มิลลิกรัม ขณะที่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 51 ปีขึ้นไป ให้รับประทานวันละ 1,000 มิลลิกรัม แต่ไม่ควรเกิน 1,500 มิลลิกรัม
  • การรับประทานวิตามินสำหรับกลุ่มคนที่มีอายุ 18-70 ปี แนะนำอย่างน้อยวันละ 600 ยูนิต ส่วนคนที่มีอายุตั้งแต่ 71 ปีขึ้นไปให้รับประทานวันละ 800 ยูนิต
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มมวลกระดูก แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และพฤติกรรมที่ทำให้มวลกระดูกลดลง
  • ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุหกล้มด้วยการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ตรวจสภาพการมองเห็น ประเมินสุขภาพ การใช้บางประเภท หรือใช้อุปกรณ์ช่วยเดินในกรณีที่มีความจำเป็น

2. การรักษาโดยการใช้ยา

การรักษาแบบใช้ยา เป็นการรักษาด้วยการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ซึ่งยารักษาปัญหากระดูกพรุนที่ใช้ในประเทศไทยแบ่งได้ 2 กลุ่ม ดังนี้

  • ยากลุ่ม Antiresorptive Agents หรือยาช่วยลดการสลายของกระดูก มีทั้งชนิดแบบเม็ดและแบบฉีด
  • ยากลุ่ม Anabolic Agents หรือยากระตุ้นการสร้างกระดูก ที่ต้องฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังทุกวันหรือทุกเดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของยา

โรคกระดูกพรุน ป้องกันอย่างไรดี?

แม้ว่าปัญหากระดูกพรุนจะเป็นอาการที่ป้องกันได้ยาก เพราะปัจจัยหลักมาจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น แต่สามารถป้องกันและชะลอการเสื่อมสลายของมวลกระดูกได้ ดังนี้

  • รับประทานแคลเซียมและวิตามินดีให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมความแข็งแรงของร่างกาย
  • พยายามควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
  • งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์

การรักษาโรคกระดูกพรุนที่โรงพยาบาลวิภาวดี

การรักษาโรคกระดูกพรุนของโรงพยาบาลวิภาวดีดำเนินการโดยแผนกศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ด้วยบริการแบบครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัย การรักษา การผ่าตัดกระดูกและข้อ โดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อที่ผ่านการอบรมจากสถาบันทั้งไทยและต่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีเครื่องมือและห้องผ่าตัดที่ทันสมัย สะอาด ปลอดภัย สะดวกสบายอีกด้วย

เพื่อให้การรักษาสามารถทำได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ สามารถนัดหมายได้อย่างสะดวกผ่านเว็บไซต์ของโรงพยาบาลวิภาวดีและสามารถตรวจสอบรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ที่นี่และสำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิ์ประกันผู้ป่วย สามารถสอบถามค่าใช้จ่าย และค่าผ่าตัดประมาณการได้ที่แผนกผู้ป่วยในโทรศัพท์: 02-561-1111 ต่อ 4137,4139นอกจากนี้ยังมีช่องทางสำหรับการติดต่อของตัวแทนประกันชีวิตต่างๆ ทางLine ID: @vibhainsurance

สรุป

จะเห็นได้ว่าโรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่มีอันตรายและส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันมาก เพราะเมื่อมวลและความหนาแน่นของกระดูกลดลง จะเสี่ยงทำให้กระดูกแตกหักได้ง่าย โดยโรคนี้ก็มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งอายุ เพศ กรรมพันธ์ุ การขาดแคลเซียมและวิตามินดี ภาวะโรค การใช้ยาบางประเภท และพฤติกรรมส่วนตัว ทั้งนี้ภาวะกระดูกพรุนสามารถรักษาได้ทั้งแบบไม่ใช้ยาและแบบใช้ยา

เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ จึงขอแนะนำโรงพยาบาลวิภาวดีให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งมีบริการตรวจวินิจและการรักษาแบบครบวงจร ดำเนินการโดยทีมแพทยผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์การโรคกระดูกพรุน การผ่าตัดกระดูก และการรักษาโรคกระดูกโดยเฉพาะ

หรือใครอยากจะตรวจสุขภาพประจำปี ก็ลองดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพของทางโรงพยาบาลวิภาวดีได้เลย โดยสามารถเข้าไปเลือกซื้อแพ็กเกจที่เหมาะสม หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-561-1111

FAQ

สำหรับคนที่มีคำถามสงสัย เรามีคำถามที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับภาวะกระดูกพรุนและคำตอบมาฝากกัน!

กระดูกส่วนไหนที่พบโรคกระดูกพรุนได้มากที่สุด?

บริเวณที่พบปัญหากระดูกพรุนมากที่สุด ได้แก่กระดูกข้อสะโพก กระดูกสันหลัง กระดูกปลายแขน

โรคกระดูกพรุนหายได้ไหม?

โรคกระดูกพรุนไม่สามารถหายได้เอง ต้องรักษาด้วยยากินหรือยาฉีด รวมถึงดูแลสุขภาพและพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

วิตามินชนิดไหนที่ช่วยบำรุงกระดูกมากที่สุด?

วิตามินดี เพราะเป็นวิตามินที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้เล็ก สำหรับแหล่งอาหารที่มีวิตามินดีสูง ได้แก่ เนื้อปลา เห็ด ตับ น้ำมันตับปลา ไข่แดง นอกจากนี้ แสงแดดอ่อนๆ ยังช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามินดีในร่างกายอีกด้วย

คนเป็นโรคกระดูกพรุนควรงดกินอะไร?

คนที่มีปัญหากระดูกพรุนควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด อาหารสำเร็จรูป น้ำอัดลม กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง หรือน้ำมันพืชเติมไฮโดรเจน

คนเป็นโรคกระดูกพรุนควรออกกำลังกายแบบไหน?

ควรออกกำลังกายในท่าที่มีการลงน้ำหนักที่กระดูก อย่างการเดิน วิ่งเหยาะๆ แอโรบิค ขี่จักรยาน เพื่อกระตุ้นให้กระดูกหนาขึ้น

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111

แผนกศัลยกรรมและออร์โธปิดิกส์ เปิดทำการ 08.00 - 19.00 น. ทุกวัน
ติดต่อสอบถามนัดหมายได้ที่ 0-2561-1111 , 0-2058-1111 ต่อ 4142-3