นิ้วล็อก

  • นิ้วล็อก (Trigger Finger หรือ Stenosing Tenosynovitis) คือความผิดปกติของมือ เกิดจากการใช้งานมือและนิ้วมือหนัก จนเกิดการเสียดสีระหว่างเส้นเอ็นงอนิ้วมือกับปลอกหุ้มเอ็น และเข็มขัดรัดเส้นเอ็น ทำให้อักเสบจนเกิดนิ้วล็อกตามมา
  • อาการนิ้วล็อกในระยะแรก คนไข้จะเริ่มมีอาการปวดตึงมือและนิ้ว แต่ยังสามารถงอเหยียดได้เต็มที่ หากไม่ได้รับการรักษา อาการก็จะมีความรุนแรงขึ้น จนปวด บวม อักเสบ นิ้วล็อก จนไม่สามารถงอเหยียดมือได้ ต้องใช้การง้างออก และข้อนิ้วมืออาจผิดรูปได้
  • อาการนิ้วล็อกเกิดจากการใช้มือและนิ้วมืออย่างหนักในชีวิตประจำวันซ้ำๆ เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง จนเกิดการอักเสบ โรคนิ้วล็อกยังมีสาเหตุจากโรคประจำตัวได้เช่นกัน เช่น โรคเบาหวาน รูมาตอยด์
  • การรักษาอาการนิ้วล็อกมีด้วยกันหลักๆ 5 วิธีหลักๆ คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การให้กินยากลุ่ม NSAIDs การฉีดยากลุ่มสเตียรอยด์เฉพาะที่ การใช้ที่ดามนิ้ว และการผ่าตัด

อาการเจ็บโคนนิ้ว ปวดโคนนิ้ว ยืดงอแล้วล็อก กำมือได้ไม่เต็มที่ เป็นอาการเจ็บป่วยเรียกว่าโรค ‘นิ้วล็อก’ พบได้มากขึ้นในปัจจุบัน อาการนิ้วล็อกเกิดจากการใช้มือต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ อยู่ในท่าเดิมๆ ผู้ที่ประสบปัญหานิ้วล็อกอย่าเพิ่งนิ่งนอนใจว่าจะไม่ร้ายแรง หากปล่อยไว้นานๆ โดยไม่รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี อาจเป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ มาสังเกตอาการนิ้วล็อก พร้อมวิธีรักษาในบทความนี้ เพื่อไม่ให้เสี่ยงบาดเจ็บเพิ่มอีกในอนาคต

นิ้วล้อค

คลายข้อสงสัย ‘นิ้วล็อก’ คืออะไร

นิ้วล็อก (Trigger Finger หรือ Stenosing Tenosynovitis) คือความผิดปกติของมือ เกิดจากการใช้งานมือและนิ้วมือในกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะกลุ่มคนในยุคปัจจุบัน ที่มักใช้งานโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และต้องทำงาน พิมพ์งานอย่างหนัก เป็นระยะเวลานานและต่อเนื่องในแต่ละวัน จนเกิดการอักเสบ เจ็บบริเวณฐานนิ้วหรือโคนนิ้วด้านฝ่ามือ โดยสามารถเป็นได้เพียงนิ้วเดียว หลายนิ้ว และนิ้วมือทั้ง 2 ข้างได้ในเวลาเดียวกัน

ซึ่งโรคนิ้วล็อกนั้นสามารถพบได้ 2 - 3% ในประชากรทั่วไป พบได้มากในคนอายุ 40 - 50 ปี แต่ในปัจจุบัน สามารถพบได้ในกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ

อาการนิ้วล็อกแบ่งเป็นกี่ระยะ?

อาการนิ้วล็อกแบ่งเป็นกี่ระยะ?

อาการนิ้วล็อกสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้

1. ระยะที่ 1มีอาการเจ็บหรือปวดตึงบริเวณโคนนิ้ว กดเจ็บบริเวณฐานนิ้วมือด้านหน้า อาจมีงอสะดุดบ้าง แต่ยังสามารถงอเหยียดได้เต็มที่

2. ระยะที่ 2เมื่อกำมือหรือเหยียดนิ้วมือเริ่มมีอาการสะดุด แต่ยังสามารถเหยียดนิ้วมือเองได้โดยไม่ต้องง้างออก

3. ระยะที่ 3หากลองงอนิ้วหรือกำมือจะเกิดการล็อก ไม่สามารถเหยียดกลับได้ ต้องง้างออก หรืออาจไม่สามารถงอนิ้วหรือกำมือได้

4. ระยะที่ 4มีอาการปวดรุนแรง บวม ไม่สามารถกำมือได้สุด นิ้วล็อก และอาจมีข้อนิ้วมืองอผิดรูปร่วมด้วย

อาการนิ้วล็อกเกิดจากสาเหตุอะไร

อาการนิ้วล็อกเกิดจากการใช้มือและนิ้วมืออย่างหนักในชีวิตประจำวันซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานอย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ การหิ้วของหนัก การงอนิ้ว เกร็งนิ้ว กำนิ้วมือแน่นอยู่ในท่าเดิมๆ เป็นเวลานาน จนเกิดการเสียดสีระหว่างเส้นเอ็นงอนิ้วมือ (Flexor Tendon) กับปลอกหุ้มเอ็น (Flexor Fibro-osseous Sheath) และเข็มขัดรัดเส้นเอ็น (Annular Fibrous Pulley)

เมื่อเสียดสีกันจนเกิดการอักเสบ ทำให้เส้นเอ็นและเยื่อหุ้มเส้นเอ็นมีการหนาตัวขึ้นจนกลายเป็นพังผืด ทำให้การยืดเหยียด กำมือได้ไม่สะดวก มีอาการสะดุด หรือไม่สามารถเหยียดนิ้วมือเองได้โดยไม่ต้องง้างออก ทั้งนี้ โรคนิ้วล็อกยังมีสาเหตุจากโรคประจำตัวได้เช่นกัน เช่น โรคเบาหวาน รูมาตอยด์ เป็นต้น

นอกจากนี้ การใช้งานมือหรือข้อมือหนักๆ ยังอาจส่งผลให้เกิดโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบหรือโรคเดอกาแวงได้เช่นกัน เดอกางแวงมีอาการที่พบได้คือ ปวดข้อมือ ปวดบริเวณโคนหัวแม่มือ และพบว่าการอักเสบของเอ็นข้อมือมักเกิดขึ้นควบคู่กับการอักเสบของเอ็นนิ้วที่ทำให้เกิดนิ้วล็อก

กลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการนิ้วล็อก

กลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการนิ้วล็อก

คนบางกลุ่มมีโอกาสเสี่ยงเกิดนิ้วล็อกมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการนิ้วล็อก มีดังนี้

  • ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และเพศหญิง
  • คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคเก๊าท์ ไทรอยด์ และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • นักกีฬาที่ต้องกำมือแน่นหรือใช้มือหนัก เช่น นักกีฬาแบดมินตัน เทนนิส กอล์ฟ
  • พนักงานออฟฟิศ ที่ต้องทำงานหน้าคอม พิมพ์งาน ใช้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนตลอดเวลา
  • กลุ่มอาชีพที่ต้องใช้แรงมือ การเกร็งมือในการทำงาน เช่น แม่บ้าน ช่างไม้ ช่างทำผม ช่างฝีมือต่างๆ
  • กลุ่มคนติดโซเซียลมีเดียและใช้สมาร์ตโฟนบ่อยๆ

ขั้นตอนการวินิจฉัยอาการนิ้วล็อก

ขั้นตอนการวินิจฉัยอาการนิ้วล็อก

การวินิจฉัยอาการนิ้วล็อกมีขั้นตอน ดังนี้

1. แพทย์ทำการตรวจร่างกาย โดยตรวจดูนิ้วมือและมือ พร้อมสอบถามถึงอาการต่างๆ จากผู้ป่วย

2. แพทย์ทำการตรวจสอบนิ้วมือโดยการเหยียดให้ตึงเพื่อฟังเสียง และดูว่าเส้นเอ็นมีอาการตึงหรือมีอาการเจ็บปวดขณะเหยียดนิ้วหรือไม่

3. อาจมีการเอกซเรย์หรืออัลตราซาวนด์เพื่อดูกระดูก เนื้อเยื่อของมือ และนิ้วเพิ่มเติม

รวม 5 วิธีรักษาอาการนิ้วล็อก

รวม 5 วิธีรักษาอาการนิ้วล็อก

อาการนิ้วล็อกสามารถรักษาให้ดีขึ้นและหายขาดได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค และการดูแลตัวเองของผู้ป่วย ซึ่ง 5 วิธีรักษาอาการนิ้วล็อก มีดังนี้

1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

หากเริ่มมีอาการนิ้วล็อกจากพฤติกรรม หรือกิจวัตรประจำวัน ที่ต้องใช้มือหรือเกร็งมือเป็นประจำ ควรพักการใช้งานมืออย่างน้อย 3 - 4 สัปดาห์ สามารถประคบเย็นหรือประคบอุ่นเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดตึงได้

2. กินยา

หากมีอาการนิ้วล็อกที่รุนแรงขึ้น เช่น มีอาการอักเสบ เจ็บ บวม ให้รับประทานยากลุ่มบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพื่อบรรเทาอาการปวด ร่วมกับการปรับพฤติกรรมไปด้วย

3. ฉีดยา

ผู้ป่วยนิ้วล็อกสามารถฉีดยากลุ่มสเตียรอยด์เฉพาะที่เพื่อลดอาการอักเสบ อาการบวมของเส้นเอ็นได้ หากมีอาการปวดมาก และทานยาแล้วไม่ได้ผลดี การฉีดยาเพื่อรักษานิ้วล็อกก็ได้ผลลัพธ์ที่เร็ว โดยจะอยู่ได้นานประมาณ 2 - 3 เดือน แต่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก และมีข้อจำกัดคือไม่ควรฉีดยาเกิน 2 - 3 ครั้งต่อนิ้ว

4. ใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้ว

การใส่อุปกรณ์ดามนิ้ว (Splinting) จะทำเมื่อผู้ป่วยมีอาการปวด และเริ่มเหยียดหรืองอนิ้วได้ยาก การดามนิ้วจะช่วยให้นิ้วตรง และลดการใช้งานนิ้วได้

5. ผ่าตัด

การผ่าตัดเพื่อรักษานิ้วล็อกจะทำเมื่อมีอาการนิ้วล็อกรุนแรง มีการอักเสบ บวม เจ็บปวดมาก และการรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม การกินยา การฉีดยา และการดามนิ้วไม่ได้ผลดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาให้ผ่าตัด โดยจะผ่าเข้าไปยังบริเวณรอยโรคเพื่อคลายปลอกหุ้มเอ็นออก ทำให้สามารถเคลื่อนไหว ขยับนิ้วมือได้เต็มที่มากขึ้น ทั้งนี้การผ่าตัดจะมีการทำกายภาพบำบัดควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน

นิ้วล็อก ป้องกัน

รวมวิธีป้องกันอาการนิ้วล็อก

ภาวะอาการนิ้วล็อกอาจส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตและการทำงาน เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสเกิดอาการนิ้วล็อก สามารถป้องกันได้ง่ายๆ ดังนี้

  • ไม่หิ้วของหนักจนเกินไป หากจำเป็น ให้ใช้วิธีการอุ้มประคอง หรือใช้รถลากแทน
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมือมาก เช่น การซักผ้า การทำงานฝีมือบางอย่าง
  • หากต้องทำงานที่ใช้มือหนักเป็นระยะเวลานาน ควรพักการใช้งานมือและนิ้วมือเป็นระยะ
  • หากทำงานหรือเล่นกีฬาที่ต้องใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ ควรใส่ถุงมือหรือห่อหุ้มด้านจับเครื่องมือให้นุ่มขึ้น
  • ไม่หักนิ้ว ดีดนิ้ว เพื่อป้องกันความเสี่ยงเส้นเอ็นอักเสบ
  • เมื่อรู้สึกเมื่อยล้าหรือข้อนิ้วฝืดให้แช่น้ำอุ่น และกำ-แบมือเบาๆ ในน้ำ

การรักษาอาการนิ้วล็อกที่โรงพยาบาลวิภาวดี

โรงพยาบาลวิภาวดีแผนกศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์มีบริการตรวจวินิจฉัย รักษาและผ่าตัดกระดูกและข้อแบบครบวงจร และครอบคลุม รักษาโรคกระดูกทั้งหมด โดยเฉพาะอาการนิ้วล็อก ข้ออักเสบต่างๆ มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อที่ได้รับการฝึกอบรมและมีประสบการณ์จากทั้งในและต่างประเทศเพื่อการรักษาทางกระดูกที่หลากหลายแก่ผู้ป่วย พร้อมผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่ให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง ด้วยอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย

เพื่อให้การรักษาสามารถทำได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ สามารถนัดหมายได้อย่างสะดวกผ่านเว็บไซต์ของโรงพยาบาลวิภาวดีและสามารถตรวจสอบรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ที่นี่และสำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิ์ประกันผู้ป่วย สามารถสอบถามค่าใช้จ่าย และค่าผ่าตัดประมาณการได้ที่แผนกผู้ป่วยในโทรศัพท์: 02-561-1111 ต่อ 4137,4139นอกจากนี้ยังมีช่องทางสำหรับการติดต่อของตัวแทนประกันชีวิตต่างๆ ทางLine ID: @vibhainsurance

สรุป

นิ้วล็อก (Trigger Finger) คืออาการผิดปกติของมือและนิ้ว อันเนื่องมาจากการเกร็ง การใช้มือและนิ้วหนักเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการเสียดสีระหว่างเส้นเอ็นงอนิ้วมือกับปลอกหุ้มเอ็น และเข็มขัดรัดเส้นเอ็น จนเกิดการอักเสบ นิ้วสะดุด ไม่สามารถเหยียดนิ้ว หรือกำ-แบมือได้เอง

อาการนิ้วล็อกสามารถดูแลได้โดยการปรับพฤติกรรม กินยา ฉีดยา ดามนิ้ว หรือผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคโรงพยาบาลวิภาวดีแผนกศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์มีบริการวินิจฉัย รักษา ให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรคกระดูก ข้ออักเสบ และนิ้วล็อก จากทีมศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์และผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู

โรงพยาบาลวิภาวดีสนับสนุนให้ทุกๆ คนหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี ลองดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพของทางโรงพยาบาลวิภาวดีได้เลย โดยสามารถเข้าไปเลือกซื้อแพ็กเกจที่เหมาะสม หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-561-1111

 

FAQ

รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการนิ้วล็อก ดังนี้

อาการนิ้วล็อกหายเองได้ไหม?

อาการนิ้วล็อกสามารถหายเองได้ หากเป็นในระยะแรก มีอาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งแก้ไขได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และบริหารมือ แต่หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษา อาจรุนแรงจนต้องผ่าตัด หรือกลายเป็นอาการนิ้วล็อกเรื้อรังได้

อาการนิ้วล็อกมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำหรือไม่?

การรักษานิ้วล็อกด้วยวิธีผ่าตัดมีโอกาสเกิดซ้ำน้อยมาก เพียง 2% เท่านั้น ส่วนการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติมีโอกาสเกิดซ้ำได้มากกว่า

วิธีนวดนิ้วล็อก ทำได้อย่างไร?

การนวดนิ้วล็อก สามารถทำได้ 5 วิธี ดังนี้

1. การนวดฝ่ามือบริเวณที่เป็น คลึงเบาๆ ให้เกิดความอุ่น เพื่อคลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ประมาณ 3 - 5 นาที

2. การบีบนิ้วมือ โดยใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบตั้งแต่โคนนิ้วไปจนถึงปลายนิ้ว 15 วินาทีต่อนิ้ว

3. กระตุกนิ้วมือ กระตุกนิ้วมือที่ล็อกให้ยืดออก เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ประมาณ 5 - 10 รอบ

4. การดึงนิ้ว ดึงปลายนิ้วที่ล็อกให้ตรงและหมุนตามเข็มนาฬิกา และทวนเข็มนาฬิกา ประมาณ 8 ครั้ง ทำ 2 - 3 รอบ เพื่อช่วยลดอาการตึงของกล้ามเนื้อ

5. การกดจุดคลายกล้ามเนื้อ ใช้นิ้วหัวแม่มือกดที่จุดที่มีอาการนิ้วล็อก จากเจ็บน้อยไปยังเจ็บมาก สลับไปมา 2 - 3 รอบ ประมาณ 30 วินาที

อาการนิ้วล็อกเกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินหรือไม่?

ไม่ใช่ อาการนิ้วล็อกเกิดขึ้นเมื่อปลอกหุ้มเส้นเอ็นนิ้วอักเสบ เนื่องจากการใช้งานมือและนิ้วหนักเกินไป เช่น การหิ้วของหนัก การเกร็งมือเป็นระยะเวลานาน เป็นต้น

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111

แผนกศัลยกรรมและออร์โธปิดิกส์ เปิดทำการ 08.00 - 19.00 น. ทุกวัน
ติดต่อสอบถามนัดหมายได้ที่ 0-2561-1111 , 0-2058-1111 ต่อ 4142-3