ไทรอยด์เป็นพิษ

  • ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) คือ ภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ สร้างฮอร์โมนมากเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานเร็ว ส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายโดยรวม
  • ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษมักมีน้ำหนักลดเร็ว ใจสั่น มือสั่น เหนื่อยง่าย หงุดหงิดง่าย ท้องเสียบ่อย ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • ปัจจัยเสี่ยงไทรอยด์เป็นพิษ เช่น อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี เพศหญิง ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคไทรอยด์ โรคประจำตัว ผู้หญิงที่คลอดลูก ผู้ที่รับไอโอดีนมากเกินไป หรือผู้ที่รับสารนิโคตินในบุหรี่ เป็นต้น
  • ป้องกันอาการไทรอยด์เป็นพิษได้ ควรตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ สังเกตก้อนผิดปกติที่ลำคอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ

ไทรอยด์เป็นพิษ แม้ว่าจะพบได้ไม่บ่อย แต่หากไม่ได้รับการรักษาอาจพัฒนาและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยหนึ่งในภาวะที่อันตรายที่สุดคือภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤติ (Thyroid Storm) ซึ่งพบได้น้อยแต่เป็นอันตรายถึงชีวิต จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องหมั่นสังเกตอาการของตัวเอง และเข้ารับการรักษาให้ทันท่วงทีก่อนที่จะสายเกินแก้

พาไปทำความรู้จักกับไทรอยด์เป็นพิษว่าคืออะไร มีอาการอย่างไร พร้อมเจาะลึกถึงสาเหตุของโรคไทรอยด์ ไทรอยด์เกิดจากอะไร มีแนวทางการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอย่างไร และแนะนำวิธีการตรวจไทรอยด์ด้วยตัวเองที่สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน เพื่อสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

 ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) คืออะไร

ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) คืออะไร

ไทรอยด์ คือต่อมไร้ท่อที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่สร้างและหลั่งไทรอยด์ฮอร์โมนออกไปสู่กระแสเลือด เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสามารถทำงานได้ปกติ โดยเฉพาะในระบบหัวใจและระบบประสาท อยู่บริเวณคอด้านหน้ามีหน้าที่ควบคุมการใช้พลังงานในร่างกาย ต่อมไทรอยด์จึงส่งผลต่อร่างกายเกือบทุกส่วน หากไทรอยด์ทำงานผิดปกติ การทำงานต่างๆ ของร่างกายก็จะทำงานเร็วขึ้นและมากขึ้น เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกเยอะ อารมณ์ฉุนเฉียว ระบบเผาผลาญทำงานมากขึ้นจนทำให้น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว เป็นต้น

ทั้งนี้ ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism, Overactive Thyroid) คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานมากขึ้นนั่นเอง

โรคไทรอยด์มีกี่ชนิด

โรคไทรอยด์มีกี่ชนิด

โรคไทรอยด์แบ่งออกได้หลายชนิดตามลักษณะของความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับต่อมไทรอยด์ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ดังนี้

ไฮเปอร์ไทรอยด์

ไฮเปอร์ไทรอยด์ (Hyperthyroidism) หรือไทรอยด์เป็นพิษ เป็นภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดสูงผิดปกติและกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในร่างกายให้เร็วขึ้น ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานเร็วขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วแม้รับประทานอาหารปกติ ขี้ร้อน เหงื่อออกมาก เหนื่อยง่าย ประจำเดือนมาน้อยลง หรือไม่มาเลยในบางกรณี

นอกจากนี้ อาจมีอาการทางระบบประสาท เช่น อาการกระสับกระส่าย ขาดสมาธิ ความจำแย่ลง มือสั่น แขนขาอ่อนแรง และอาจพบภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ในบางคนอาจมีอาการท้องเสีย ผิวเป็นด่างขาว ผมร่วง หรืออาการเฉพาะที่ เช่น ตาโปน ต่อมไทรอยด์โต รวมถึงอาการผิวหนังผิดปกติ เช่น การเกิดปื้นหนาที่ขา (Pretibial Myxedema) ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ในโรคไทรอยด์เป็นพิษชนิดเกรฟส์ (Graves' disease)

ไฮโปไทรอยด์

ไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) หรือไทรอยด์ต่ำ เป็นภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดต่ำกว่าปกติและชะลอการทำงานของเซลล์ทั่วร่างกาย อาการพบได้บ่อย ได้แก่ การมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแม้รับประทานอาหารในปริมาณเท่าเดิม เบื่ออาหาร ความดันสูง ขี้หนาว รู้สึกง่วงนอนตลอดเวลา อ่อนเพลียง่าย ผมร่วง ผิวแห้ง

ตลอดจนมีอารมณ์ซึมเศร้าและเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าได้ง่าย และมีโอกาสเกิดตะคริวบ่อยขึ้น หัวใจเต้นช้ากว่าปกติ ท้องผูก และมีอาการบวมที่ใบหน้า รอบดวงตา หรือทั่วร่างกาย ในบางกรณีอาจพบว่าต่อมไทรอยด์โตขึ้น

อาการไทรอยด์เป็นพิษเป็นอย่างไร

ไทรอยด์เป็นพิษเป็นภาวะที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนออกมามากเกินไป ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดปกติ ทำงานเร็วขึ้น ผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์อาการที่พบสามารถแสดงออกได้หลายอย่าง แตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งอาจเกิดขึ้นทีละน้อยหรือรวดเร็วขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค ซึ่งอาการของไทรอยด์เป็นพิษ มีดังนี้

  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ รู้สึกใจสั่น หัวใจเต้นแรง หรือหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ
  • อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที
  • น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุแม้กินอาหารปกติหรือเพิ่มขึ้น
  • ขี้ร้อนและเหงื่อออกมากจากการที่ร่างกายมีอัตราการเผาผลาญมากกว่าปกติ
  • มือสั่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • ท้องเสียหรือถ่ายเหลวบ่อยจากการที่ระบบย่อยอาหารทำงานเร็วขึ้น
  • ประจำเดือนมาน้อยลงหรือขาดหายไป

เจาะลึกสาเหตุไทรอยด์เป็นพิษ เกิดจากอะไร

เจาะลึกสาเหตุไทรอยด์เป็นพิษ เกิดจากอะไร

ไทรอยด์เป็นพิษเกิดจากภาวะที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมากเกินไป ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานเร็วกว่าปกติ สาเหตุของไทรอยด์เป็นพิษเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของต่อมไทรอยด์เอง หรือปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นให้ฮอร์โมนไทรอยด์สูงเกินไป มาดูกันว่าสาเหตุหลักของภาวะนี้มีอะไรบ้าง!

ไทรอยด์อักเสบ

ภาวะไทรอยด์อักเสบ (Thyroiditis) เกิดจากการอักเสบของต่อมไทรอยด์ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ส่งผลให้ฮอร์โมนไทรอยด์รั่วเข้าสู่กระแสเลือด การใช้ยาบางชนิด เช่น ลิเธียม (Lithium) และอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ นอกจากนี้ ปัญหาจากระบบภูมิคุ้มกัน หรือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังคลอดบุตรก็เป็นอีกปัจจัยที่อาจทำให้เกิดภาวะนี้เช่นกัน

ไทรอยด์สร้างฮอร์โมนมากเกินไป

ไทรอยด์สร้างฮอร์โมนมากเกินไปส่งผลให้เกิดไทรอยด์เป็นพิษได้ ภาวะที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมากเกินไปเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของไทรอยด์เป็นพิษ ซึ่งชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดคือโรคเกรฟส์ (Graves’ disease) ซึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองที่กระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินกว่าความจำเป็นของร่างกาย

การกินฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป

ในผู้ที่มีภาวะพร่องไทรอยด์ (Hypothyroidism) การได้รับฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนเป็นสิ่งจำเป็น แต่หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายสูงเกินจนเกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษได้ บางกรณีอาจเกิดจากการใช้ฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อยับยั้งการผลิตฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH) เพื่อลดความเสี่ยงของก้อนเนื้อผิดปกติในต่อมไทรอยด์

นอกจากการใช้ยาแล้ว ยังมีกรณีที่ได้รับฮอร์โมนไทรอยด์โดยไม่ตั้งใจ เช่น การบริโภคเนื้อวัวที่ปนเปื้อนเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์ของวัว จนเกิดเป็นอาการที่เรียกว่า Hamburger Thyroiditis หรือภาวะไทรอยด์อักเสบจากแฮมเบอร์เกอร์ แม้ว่าจะพบได้ไม่บ่อย แต่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษโดยไม่รู้ตัว

ปัจจัยเสี่ยงไทรอยด์เป็นพิษ

ภาวะไทรอยด์เป็นพิษเกิดจากการที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนมากเกินไป แต่ก็มีอีกหลายปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ มาดูกันว่ามีปัจจัยใดบ้างที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไทรอยด์เป็นพิษมากขึ้น

  • อายุความเสี่ยงของภาวะไทรอยด์เป็นพิษเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
  • เพศ ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นไทรอยด์เป็นพิษมากกว่าผู้ชายถึง 10 เท่า
  • ประวัติครอบครัวหากมีสมาชิกในครอบครัวสายตรงเป็นโรคไทรอยด์ หรือโรคเกรฟส์ (Graves’ disease) ความเสี่ยงในการเกิดโรคก็จะสูงขึ้น
  • โรคประจำตัวโรคภูมิแพ้ตัวเอง เช่น เบาหวานชนิดที่ 1, 2 โรคแอดดิสัน (Addison’s disease) โรคโลหิตจางชนิดร้ายแรง การขาดวิตามินบี12 (Pernicious Anemia)
  • อาหารที่มีไอโอดีนสูงการกินอาหารที่มีไอโอดีนสูงในปริมาณมากๆ เช่น เคลป์ (Kelp) หรือผู้ที่กินยาที่มีส่วนประกอบของไอโอดีน
  • การคลอดบุตรการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนหลังคลอดอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษในบางราย
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีนิโคตินเช่น การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงต่อการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์ที่มากขึ้น

วินิจฉัยอาการไทรอยด์เป็นพิษโดยแพทย์

เมื่อสงสัยว่าผู้ป่วยมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อยืนยันโรคและหาสาเหตุที่แท้จริง ได้แก่

  • การตรวจร่างกายแพทย์จะสังเกตอาการที่บ่งบอกถึงภาวะไทรอยด์เป็นพิษ เช่น มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมากกว่าปกติ น้ำหนักลด ต่อมไทรอยด์นูน กดเจ็บ หรือโต หรือภาวะตาโปนในโรคเกรฟส์(Graves’ disease)
  • การตรวจเลือดหากพบว่าระดับฮอร์โมน T3 (Triiodothyronine) และ T4 (Thyroxine) สูงกว่าปกติ แสดงว่ามีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ หรือหากพบว่าระดับ TSH (Thyroid-Stimulating Hormone) ฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมใต้สมอง TSH ต่ำกว่าปกติ อาจบ่งชี้ว่าต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป
  • วัดค่าดูดซึมสารกัมมันตรังสีไอโอดีน (Radioactive Lodine Uptake - RAIU)ใช้ตรวจดูการดูดซึมไอโอดีนของต่อมไทรอยด์ หากต่อมไทรอยด์ดูดซึมในปริมาณมาก แสดงว่าผลิตฮอร์โมน T4 มากเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากโรคเกรฟส์ หรือก้อนที่ต่อมไทรอยด์ แต่หากดูดซึมน้อยแสดงว่าฮอร์โมน T4 รั่วเข้าสู่กระแสเลือดจากภาวะไทรอยด์อักเสบ
  • ถ่ายภาพการจับสารกัมมันตรังสีในส่วนต่างๆ ของต่อมไทรอยด์ (Thyroid Scan)โดยการฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าสู่เส้นเลือด แล้วใช้เครื่องวัดรังสีแกมมาสร้างภาพต่อมไทรอยด์ เพื่อวินิจฉัยแยกโรค เช่น ไทรอยด์อักเสบ ก้อนเนื้อ คอพอก หรือมะเร็งต่อมไทรอยด์
  • การอัลตราซาวนด์ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Ultrasound)ใช้การสะท้อนของคลื่นเสียงความถี่สูงจากเพื่อตรวจสอบว่ามีก้อนในต่อมไทรอยด์หรือไม่

แนวทางการรักษาไทรอยด์เป็นพิษ

แนวทางการรักษาไทรอยด์เป็นพิษ

ไทรอยด์เป็นพิษสามารถรักษาได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรงของโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วย แพทย์จะเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละคน ซึ่งอาจเป็นการใช้ยา การรักษาด้วยไอโอดีน หรือการผ่าตัด มาดูกันว่าแต่ละแนวทางการรักษามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง

การกินยา

ยาที่ใช้ในการรักษาโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษคือยาที่ออกฤทธิ์สกัดกั้นการสังเคราะห์ฮอร์โมนไทรอยด์ เช่น ยาต้านไทรอยด์ Methimazole และ Propylthiouracil (PTU) หรือยากลุ่ม Beta blockers ยากลุ่มนี้ช่วยบรรเทาอาการภาวะไทรอยด์เป็นพิษ เช่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย และยาฮอร์โมน Glucocorticoids ที่ช่วยลดอาการปวดจากภาวะไทรอยด์อักเสบ โดยยาเหล่านี้แพทย์จะเป็นผู้กำหนดขนาดยาและระยะเวลาการรักษาเพื่อควบคุมโรคให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

การกินไอโอดีน-131

ไอโอดีน-131 เป็นสารกัมมันตรังสีที่ช่วยทำลายเซลล์ต่อมไทรอยด์เพื่อลดการผลิตฮอร์โมน เมื่อผู้ป่วยรับประทานเข้าไป ไอโอดีน-131 จะถูกดูดซึมเข้าสู่ต่อมไทรอยด์และปล่อยรังสีออกมา ทำให้ต่อมไทรอยด์ค่อยๆ เล็กลง ส่งผลให้อาการของไทรอยด์เป็นพิษดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การผ่าตัด

การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ (Thyroidectomy) เป็นวิธีรักษาแบบเดิมที่เอาต่อมไทรอยด์บางส่วนออกเพื่อลดการผลิตฮอร์โมน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา หรือมีภาวะต่อมไทรอยด์โตมาก หลังผ่าตัดผู้ป่วยอาจต้องได้รับยาฮอร์โมนไทรอยด์เสริมในระยะยาวเพื่อป้องกันภาวะพร่องไทรอยด์

อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดได้รับความนิยมลดลงเนื่องจากผู้ป่วยไม่อยากเจ็บตัว และยังมีความเสี่ยงฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาจากต่อมไทรอยด์มากเกินไปในระหว่างผ่าตัด ซึ่งทำให้เกิดอาการไทรอยด์เป็นพิษอย่างรุนแรงและเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ตรวจไทรอยด์เป็นพิษด้วยตัวเอง

การตรวจไทรอยด์เป็นพิษสามารถทำได้เอง โดยการสังเกตความผิดปกติบริเวณลำคอด้วยการยืดลำคอขึ้น หันทางซ้ายและขวาช้าๆ ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือทั้งสองข้างคลำลำคอพร้อมๆ กันในแต่ละด้าน จากด้านหลังไปด้านหน้า และจากบนลงล่าง หากสัมผัสและรู้สึกถึงความติดขัดเหมือนมีก้อนให้ลองคลึงดู หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นก้อนผิดปกติให้พบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยต่อไป

ป้องกันอาการไทรอยด์เป็นพิษได้อย่างไร

แม้ว่าไทรอยด์เป็นพิษจะเกิดได้จากหลายปัจจัย รวมไปถึงปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก เช่น กรรมพันธุ์หรือโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน แต่เราสามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคไทรอยด์ได้ด้วยการดูแลสุขภาพ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ที่มากเกินไป และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย โดยวิธีที่ช่วยป้องกันไทรอยด์เป็นพิษได้ มีดังนี้

  • สังเกตอาการผิดปกติเช่น น้ำหนักลดลงเร็วผิดปกติ ใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก หรืออ่อนเพลีย
  • ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจเช็กความผิดปกติของต่อมไทรอยด์แต่เนิ่นๆ
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เน้นอาหารที่สะอาด ปรุงสุกและมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์
  • ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและระบบภูมิคุ้มกัน
  • พักผ่อนให้เพียงพอช่วยฟื้นฟูร่างกายและรักษาสมดุลของฮอร์โมน

การรักษาไทรอยด์เป็นพิษที่โรงพยาบาลวิภาวดี

โรงพยาบาลวิภาวดีให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพโรคไทรอยด์เป็นพิษ ให้บริการตรวจวินิจฉัย ให้คำปรึกษา และรักษาโรคไทรอยด์โดยแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูง พร้อมแพคเกจตรวจรักษาโรคไทรอยด์ ทั้งผู้ที่สงสัยว่ามีความผิดปกติที่ต่อมไทรอยด์ คุณแม่ตั้งครรภ์ ผู้ที่พบก้อนที่คอ อีกทั้งยังมีโปรโมชันพิเศษเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย

  • โรงพยาบาลได้มาตรฐานระดับสากล ISO 9001 : 2008 และ Hospital Accreditation (HA)
  • มีศูนย์การรักษาโรคเฉพาะทางที่หลากหลาย ตอบโจทย์โรคและความต้องการด้านการรักษา
  • ตรวจรักษาด้วยแพทย์เฉพาะทางมากประสบการณ์
  • เทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน
  • มีบริการฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน ด้วยสิทธิประโยชน์ประกันที่หลากหลาย
  • ห้องพักผู้ป่วยสะอาด เงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน

สามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้คลินิกบริการอายุรกรรมโรงพยาบาลวิภาวดี 0-2561-1111 ต่อ 1222 หรือเข้ารับการตรวจและรักษาไทรอยด์ได้ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ที่อยู่: 51/3 ถ.งามวงศ์วาน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

โทรนัดหมาย: 02-561-1111 หรือ 02-058-1111 ติดต่อประกันชีวิต ผ่าน LINE: @vibhainsurance

สรุป

ไทรอยด์เป็นพิษเป็นภาวะความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ที่หลั่งออกมามากเกินไป จนส่งผลให้การเผาผลาญของร่างกายมากเกินความจำเป็น ผู้ป่วยมักมีอาการน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ มือสั่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น แม้ว่าไทรอยด์เป็นพิษจะพบได้ไม่บ่อย แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาจ

พัฒนาและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ซึ่งก็คือภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤติ (Thyroid Storm)

ไทรอยด์เป็นพิษสามารถรักษาและป้องกันได้ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นสำรวจตัวเองเสมอ หากพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ ที่โรงพยาบาลวิภาวดีมีแพคเกจตรวจรักษาคัดกรองผู้ป่วยที่ต้องการตรวจคัดกรองโรคไทรอยด์เป็นพิษ และคุณแม่ตั้งครรภ์ โดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เครื่องมือแพทย์ทันสมัย ได้มาตรฐาน

FAQ

รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคไทรอยด์เป็นพิษ

ไทรอยด์เป็นพิษอยู่ได้นานกี่ปี?

ไทรอยด์เป็นพิษมีระยะเวลากำเริบของโรค (ควบคุมได้ด้วยยา) โดยมากประมาณ 1 - 2 ปี และมีระยะสงบ (ที่สามารถหยุดยาได้) สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้

ไทรอยด์เป็นพิษรักษาให้หายขาดได้ไหม?

ไทรอยด์เป็นพิษสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการกินยา การผ่าตัด หรือการใช้สารรังสี ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแพทย์และผู้ป่วย

ไทรอยด์เป็นพิษ อาหารที่ห้ามกินมีอะไรบ้าง?

การหลีกเลี่ยงอาหารที่ห้ามกินเป็นหนึ่งในวิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นไทรอยด์ ผู้ป่วยไทรอยด์ต่ำควรงดกินผักกาดขาว บรอกโคลี คะน้า และหัวไชเท้า ถั่วเหลือง ส่วนผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษควรระมัดระวังการทานอาหารที่มีสารไอโอดีน ซีลีเนียม และสังกะสีสูง เช่น เห็ด จมูกข้าวสาลี รำข้าว หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ บรอกโคลี และข้าวกล้อง

ไทรอยด์เป็นพิษอันตรายไหม?

ไทรอยด์เป็นพิษเป็นโรคที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะเมื่อโรคดำเนินไปถึงภาวะไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤติ (Thyroid Storm)

โรคไทรอยด์ในเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ไหม?

โรคไทรอยด์ในเด็กมีสามเหตุคล้ายกับผู้ใหญ่ แต่การรักษามีความซับซ้อนมากกว่า เนื่องจากเด็กไม่สามารถรับการรักษาด้วยไอโอดีนกัมมันตรังสี และการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ในเด็กทำได้ยากกว่า เนื่องจากขนาดของต่อมไทรอยด์เล็กและมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูง

“ภูมิใจที่ได้ดูแลคุณ”

สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าที่

02-561-1111

02-058-1111


ทีมแพทย์ไทรอยด์เป็นพิษ