โรคภูมิแพ้ในเด็ก

โรคภูมิแพ้ในเด็ก

พญ.สุกัลยา สุนทรางกูล กุมารแพทย์ รพ.วิภาวดี 

     โรคภูมิแพ้ เป็นกลุ่มของโรคที่มีอาการแสดงได้หลายระบบ เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกาย
ต่อสารก่อภูมิแพ้ ปัจจุบันความชุกของโรคกลุ่มนี้มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โรคที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มโรคภูมิแพ้ ได้แก่

     โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คันในจมูก จามติดกันหลาย ๆ ครั้ง น้ำมูกใส ๆ ไหลมาก คัดแน่นจมูก อาการอื่น ๆ เช่น หูอื้อ ปวดมึนศีรษะ น้ำมูกไหลลงคอ เสมหะติดในคอ
     * โรคหืด ผู้ป่วยจะมีอาการไอ หอบ แน่นหน้าอก หายใจเสียงวี้ด อาจเป็นตอนออกกำลังกายตอนกลางคืน หรือตอนเป็นหวัดได้ 
     * ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นผื่นคัน แห้งแดง และเรื้อรัง พบบ่อยบริเวณหน้า ข้อพับแขนขา
     * ลมพิษ ผื่นนูน บวม คัน ตามผิวหนังส่วนต่าง ๆ บางรายอาจมีอาการบวมบริเวณหน้าตาหรือปากด้วย
     * ผื่นแพ้ผิวหนังจากการสัมผัส เป็นผื่นคันจากการสัมผัสสารแพ้ต่าง ๆ เช่นผงซักฟอก ยาย้อมผม เครื่องสำอาง ถุงมือ โลหะ เป็นต้น
     * แพ้อาหาร มีอาการได้หลายระบบ ทั้งระบบผิวหนัง (ผื่นลมพิษ) ระบบหายใจ (คัดจมูก น้ำมูกไหล หอบ) ระบบทางเดินอาหาร (อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย) อาหารที่เป็นสาเหตุได้บ่อย คือ นมวัว ไข่ อาหารทะเล ถั่วลิสง
     * เยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ มีอาการแสบตา คันตา ตาแดง น้ำตาไหล ขยี้ตาบ่อย เปลือกตาบวม

ปฏิกิริยาการแพ้แบบรุนแรง

     เกิดอาการหลังได้รับสารแพ้ภายในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ทำให้มีอาการแน่นหน้าอก ความดันโลหิตต่ำ และอาจเสียชีวิตได้ สาเหตุเป็นได้ทั้งจากแพ้อาหาร แพ้ยา แพ้แมลงต่าง ๆ เป็นต้น สารก่อภูมิแพ้คืออะไร
     คือ สารที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการของโรคภูมิแพ้ ซึ่งอาจเป็นสารที่ร่างกายได้รับโดยการ ฉีด กิน หายใจ หรือสัมผัสก็ได้ มีทั้งสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน (เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนและรังแคของสัตว์เลี้ยง เชื้อรา ควันบุหรี่) และสารก่อภูมิแพ้นอกบ้าน (เช่น เกสรหญ้า เกสรดอกไม้ ควันและฝุ่นต่าง ๆ)

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นภูมิแพ้

     เมื่อมีอาการและอาการแสดงดังข้างต้น ควรไปพบแพทย์เพื่อซักประวัติ และตรวจร่างกาย นอกจากนั้นแพทย์อาจทำการตรวจอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การทดสอบสมรรถภาพปอด ในรายที่สงสัยว่าจะเป็นโรคหืด การทดสอบทางผิวหนังเพื่อให้ทราบถึงสารที่ผู้ป่วยแพ้ ซึ่งทราบผลภายใน 15 นาที หรือการตรวจดูเซลของเยื่อบุจมูกในกรณีของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

แนวทางการรักษาโรคภูมิแพ้

     1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เป็นวิธีที่สำคัญที่สุด และช่วยลดความรุนแรงของโรคได้
     2. การรักษาด้วยยา มีทั้งยากิน ยาพ่นจมูก ยาพ่นปอด ยาหยอดตา ยาทาผิวหนัง ซึ่งควรอยู่ภายใต้ คำแนะนำของแพทย์
     3. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ โดยการฉีดสารสกัดจากสารก่อภูมิแพ้และค่อย ๆ เพิ่มปริมาณ จนผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่อสารนั้นซึ่งต้องรับการฉีดอย่างสม่ำเสมอ เป็นเวลา 3-5 ปี จึงจะได้ผลดี

ปฏิบัติตนอย่างไรเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้

     1. ในห้องนอน ควรมีเครื่องตกแต่งห้องน้อยชิ้นที่สุด หมั่นทำความสะอาด และกำจัดฝุ่นละอองเป็นประจำ
     2. ในกรณีแพ้ไรฝุ่น ควรทำความสะอาดเครื่องนอน (ที่นอน,หมอน,ผ้าห่ม) โดยซักด้วยน้ำร้อน 60 องศา นาน 15-20 นาที อย่างน้อยทุก 2 สัปดาห์
     3. ไม่ใช้พรม เก้าอี้เบาะหุ้มผ้า หมอนนุ่น ตุ๊กตาที่ทำจากนุ่นหรือขนสัตว์
     4. ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน เช่น สุนัข แมว นก
     5. กำจัดเศษอาหาร และขยะต่าง ๆ รวมทั้งปิดฝาท่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ แมลงสาบ
     6. ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศบ่อย ๆ และใช้แบบที่มีเครื่องกรองอากาศชนิด HEPA Filter 
     7. ระวังไม่ให้บ้าน ห้องน้ำ อับชื้น และไม่ควรปลูกต้นไม้ในบ้านเพราะทำให้เชื้อราเติบโต
     8. อย่าไปใกล้บริเวณที่มีควันบุหรี่ ควันไฟ และบริเวณที่มีฝุ่นมาก
     9. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ หากมีอาการหอบเหนื่อยเวลาออกกำลังกาย ควรสูดยา ป้องกันอาการหอบก่อน
     10. ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะบางชนิดถ้าใช้ต่อเนื่องนานอาจมีอันตรายได้

<