อหิวาตกโรค (Cholera)

อหิวาตกโรค เป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย (Vibrio cholerae) เข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทาน เชื้อโรคจะเข้าไปอยู่บริเวณลำไส้ และจะสร้างพิษออกมาทำปฏิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็กทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้   สาเหตุ เกิดจากการที่รับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารค้างมื้อ ใช้มือที่ไม่สะอาดหยิบจับอาหาร อาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ   ระยะฟักตัว ผู้ที่ได้รับเชื้อ จะเกิดอาการได้ตั้งแต่ 24 ชั่วโมงถึง 5 วันแต่โดยเฉลี่ยแล้วจะเกิดอาการภายใน 1-2 วัน กรณีไม่รุนแรง อาการจะหายภายใน 1-5 วัน มีอาการถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำวันละหลายครั้งและจะหยุดเองใน หากได้น้ำและเกลือแร่ชดเชยอย่างเพียงพอ กรณีอาการรุนแรง ถ่ายอุจจาระได้โดยไม่มีอาการปวดท้องบางครั้งไหลพุ่งออกมาโดยไม่รู้สึกตัว อุจจาระเป็นน้ำ สีซาวข้าว ร่างกายเสียน้ำ และเกลือแร่อย่างรวดเร็ว รุนแรง อาเจียนโดยไม่รู้สึกคลื่นไส้   การป้องกัน รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ หลีกเลี่ยงของหมักดอง ของกึ่งสุกกึ่งดิบ อาหารค้างคืนและดื่มน้ำสะอาด ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ ไม่เทอุจจาระ ปัสสาวะ และสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำลำคลองเพื่อป้องกันการแพร่ของเชื้อโรค ระวังไม่ให้น้ำเข้าปาก เมื่อลงเล่น หรืออาบน้ำในลำคลอง หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยที่เป็นอหิวาตกโรค _________________________________   ข้อมูล : ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร ภาควิชาอายุรศาสตร์ Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อ้างอิง : http://www.si.mahidol.ac.th

See More

Norovirus

Norovirus: Highly Contagious but Preventable What is Norovirus? Norovirus is a virus that causes gastrointestinal illnesses, commonly occurring during the winter season. This virus can survive in feces and the environment for up to two weeks, making it highly contagious. Moreover, it is resistant to alcohol-based disinfectants, meaning standard alcohol sanitizers cannot effectively eliminate it. How Does Norovirus Spread? Consuming contaminated food, water, or ice Inhaling aerosolized particles from an infected person's vomit Touching contaminated surfaces, toys, or objects and then touching your mouth Norovirus can infect both children and adults, but symptoms can be more severe in young children and the elderly. Symptoms of Norovirus Nausea Vomiting Diarrhea Abdominal pain Fever (may occur) Headache Muscle aches Severe dehydration in some cases If you experience these symptoms, rest, stay hydrated with oral rehydration solutions, and consult a doctor if necessary. How to Prevent Norovirus While Norovirus spreads easily, you can prevent infection by following these simple measures: Wash your hands frequently with soap and clean water, especially before eating. Eat thoroughly cooked meals and avoid undercooked or raw food. Keep living spaces clean, particularly kitchens, tables, and children's toys. Norovirus may be highly contagious, but it is preventable. Prioritize cleanliness and pay attention to food and water safety to protect yourself and your loved ones during the winter season.

See More

ไอรุนแรง หายใจติดขัด สัญญาณเตือน! โรคไอกรน

                      โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ  ทำให้มีการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจและเกิดอาการไอ ที่มีลักษณะพิเศษคือ ไอติดๆ กัน 5-10 ครั้งหรือมากกว่านั้นจนเด็กหายใจไม่ทัน จึงหยุดไอ และมีอาการหายใจเข้าลึกๆ เป็นเสียงวู๊ป (Whooping cough) สลับกันไปกับการไอเป็นชุด ๆ จึงมีชื่อเรียกว่า “โรคไอกรน” บางครั้งอาการอาจจะเรื้อรังนานเป็นเวลา 2-3 เดือน   สาเหตุ               เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis (B. pertussis) เป็นเชื้อที่เพาะขึ้นใน Bordet Gengau media ซึ่งเป็นเชื้อที่เพาะขึ้นได้ยาก จะพบเชื้อได้ในลำคอ ในส่วน nasopharynx ของผู้ป่วยในระยะ 1-2 อาทิตย์แรก ก่อนมีอาการไอเป็นแบบ paroxysmal               ไอกรนเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายจากการ ไอ จาม รดกัน โดยตรงผู้สัมผัสโรคที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจะติดเชื้อและเกิดโรคเกือบทุกรายโรคนี้พบได้บ่อยในเด็ก ส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากผู้ใหญ่ในครอบครัวซึ่งมีการติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ (carrier) หรือมีอาการไม่มากโรคไอกรนเป็นได้กับทารกตั้งแต่เดือนแรก ทั้งนี้เนื่องจากภูมิคุ้มกันจากแม่ผ่านมายังลูกไม่ได้หรือได้น้อยมากในเด็กเล็กอาการจะรุนแรงมากและมีอัตราตายสูงส่วนใหญ่ของผู้ที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีและเป็นเด็กที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน โดยทั่วไปแล้ว โรคนี้เป็นได้ทุกอายุถ้าไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่ในวัยหนุ่มสาว หรือผู้ใหญ่อาจไม่มีอาการหรือไม่มีอาการแบบไอกรน  ส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไอกรน   อาการและอาการแสดง อาการของโรคแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้               1) ระยะแรกเด็กจะเริ่มมีอาการ มีน้ำมูก และไอ เหมือนอาการเริ่มแรกของโรคหวัดธรรมดาอาจมีไข้ต่ำ ๆ ตาแดง น้ำตาไหล ระยะนี้เรียกว่า Catarrhal stage จะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ระยะนี้ส่วนใหญ่ยังวินิจฉัยโรคไอกรนไม่ได้ แต่มีข้อสังเกตว่าไอนานเกิน 10 วัน เป็นแบบไอแห้งๆ               2) Paroxysmal stage ระยะนี้มีอาการไอเป็นชุด ๆ เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ไม่มีเสมหะจะเริ่มมีลักษณะของไอกรน คือ มี อาการไอถี่ ๆ ติดกันเป็นชุด 5-10 ครั้งตามด้วยการหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเสียง วู๊ป (whoop) ซึ่งเป็นเสียงการดูดลมเข้าอย่างแรง ในช่วงที่ไอผู้ป่วยจะมีหน้าตาแดง น้ำมูกน้ำตาไหล ตาถลน ลิ้นจุกปาก เส้นเลือดที่คอโป่งพองการไอเป็นกลไกที่จะขับเสมหะที่เหนียวข้นในทางเดินหายใจออกมาผู้ป่วยจึงจะไอติดต่อกันไปเรื่อย ๆ  จนกว่าจะสามารถขับเสมหะที่เหนียวออกมาได้บางครั้งเด็กอาจจะมีหน้าเขียว เพราะหายใจไม่ทันโดยเฉพาะเด็กเล็กๆ อายุน้อยกว่า 6 เดือน จะพบอาการหน้าเขียวได้บ่อย และบางครั้งมีการหยุดหายใจร่วมด้วยอาการหน้าเขียวอาจจะเกิดจากเสมหะอุดทางเดินหายใจได้ส่วนใหญ่เด็กเล็กมักจะมีอาการอาเจียนตามหลังการไอเป็นชุด ๆ ระยะไอเป็นชุด ๆนี้จะเป็นอยู่นาน 2-4 สัปดาห์ หรืออาจนานกว่านี้ได้               3) ระยะ ฟื้นตัว (Convalescent stage) กินเวลา 2-3 สัปดาห์ อาการไอเป็นชุด ๆ จะค่อยๆลดลงทั้งความรุนแรงของการไอและจำนวนครั้ง แต่จะยังมีอาการไอหลายสัปดาห์ระยะของโรคทั้งหมดถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนจะใช้เวลาประมาณ 6-10 สัปดาห์     โรคแทรกซ้อน               1.  โรคแทรกซ้อนทางระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อย คือ ปอดอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของการตายที่สำคัญของโรคไอกรนในเด็กเล็กโรคในปอดที่อาจพบได้อีกจะเกิดจากการมีเสมหะเหนียวไปอุดในหลอดลมและถุงลม ทำให้เกิด atelectasis               2.  จากการไอมากๆทำให้มีเลือดออกในเยื่อบุตา (Subconjunctival hemorrhage) มี petechiaeที่หน้าและในสมอง               3.  ระบบประสาทอาจมีอาการชัก พบบ่อยในเด็กเล็ก เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงสมองในขณะที่ไอถี่ ๆและอาการชักอาจเกิดจากมีเลือดออกในสมอง     การให้วัคซีนป้องกัน         ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี การได้รับวัคซีนป้องกันไอกรน 4-5 ครั้งนับเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคไอกรนวัคซีนไอกรนที่มีใช้ขณะนี้เป็นวัคซีนที่เตรียมจากแบคทีเรีย B. pertussis ที่ตายแล้ว (Whole cell vaccine) รวมกับ diphtheria และ tetanus toxoids (Triple vaccine, DTP) ให้ฉีดเข้ากล้าม    กำหนดการให้วัคซีนเริ่มเมื่ออายุ 2 เดือน และให้อีก 2 ครั้ง ระยะห่างกัน 2 เดือนคือ ให้เมื่ออายุ 4 และ 6 เดือน โดสที่ 4 ให้เมื่ออายุ 18 เดือน นับเป็นครบชุดแรก (Primary immunization) โดสที่ 5 ถือเป็นการกระตุ้น (booster dose) ให้เมื่ออายุ 4 ปี เด็กที่มีอายุเกิน 7 ปี แล้วจะไม่ให้วัคซีนไอกรนทั้งนี้เพราะจะพบปฏิกิริยาข้างเคียงได้สูง     https://www.pidst.or.th/A299.mobile   ที่มาข้อมูล: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

See More

Antioxidants

Before we delve into antioxidants, it's essential to first understand free radicals. Free radicals are molecules or atoms that have lost an electron, making them unstable and highly reactive. They tend to steal electrons from other molecules, leading to changes and damage in the structure of those molecules. Free radicals can be produced from both internal and external factors. Internal sources of free radicals primarily come from the body's metabolism at the cellular level, particularly within mitochondria, which are responsible for energy production. When we consume more food than needed, the body's metabolism increases, leading to higher production of free radicals. External sources of free radicals include exposure to UV radiation, pollution, cigarette smoke, bacterial or viral infections, consuming fried or grilled foods, and physical or emotional stress, such as sleep deprivation, intense exercise, or psychological pressure. Once free radicals are generated, the body naturally creates antioxidants to neutralize these harmful molecules. However, when the number of free radicals exceeds the body's capacity to neutralize them, oxidative stress occurs. This stress slowly damages cells, leading to various age-related and degenerative diseases, including heart disease, diabetes, hypertension, high cholesterol, dementia, cataracts, obesity, and even cancer. To prevent cellular damage, it is crucial to avoid factors that trigger free radicals, as mentioned above, and increase the intake of antioxidants through a diet rich in fruits and vegetables, which provide a variety of vitamins, minerals, and phytonutrients. Modern health technology now allows for precise measurement of antioxidant levels, such as vitamins A, C, and E, lycopene, beta-carotene, and coenzyme Q10. This enables individuals to supplement specific antioxidants that are beneficial for disease prevention in a more accurate and personalized way.

See More

Getting vaccinated against COVID-19 is more beneficial than not getting vaccinated.

The Benefits of COVID-19 Vaccination Over Not Getting Vaccinated Provides better protection against infection compared to not being vaccinated. Reduces the risk of developing Long COVID. Lowers the chance of severe symptoms. Decreases the likelihood of hospitalization and death from COVID-19. Elderly individuals and those with chronic diseases are at a higher risk of severe illness or death from COVID-19. Most fatalities occur in high-risk groups who have not been fully vaccinated or have not received booster doses. Currently, the latest recommendation for COVID-19 vaccination is with the monovalent XBB.1.5 vaccine, intended for those requiring additional protection. Here are the guidelines: For individuals who have never been vaccinated (regardless of whether they have had COVID-19 or not), it is essential to receive at least one dose of the latest COVID-19 vaccine. For those who have previously received the original (Wuhan strain) vaccine or the bivalent vaccine (covering both the Wuhan and BA strains), they should receive the latest COVID-19 vaccine at least once a year. The new dose should be administered at least 3 months after the last vaccine dose or infection, regardless of how many doses they have received before. The following groups are advised to receive the vaccine: 2.1 High-risk groups: Individuals aged 60 and above, pregnant women. Patients with certain chronic diseases such as chronic lung disease, liver disease, diabetes, cancer, obesity, stroke, heart, and vascular diseases. Those at higher risk of exposure or spreading the virus, such as healthcare workers, caregivers for high-risk individuals, and laboratory personnel handling viruses.

See More

DNA Testing: An Innovation for Personalized Health Care

The human body is made up of approximately 60 trillion cells, each containing genetic material known as DNA. DNA stores a sequence of codes that instruct the body on how to produce essential substances for survival. In essence, DNA is the "blueprint" of life. As genetic research and technology advance, researchers are now able to decode human DNA using efficient, cost-effective methods. This genetic information is being applied in medicine and public health for diagnosis, prevention, and treatment, allowing for more personalized and targeted care for each patient. DNA plays a key role in precision medicine, which emphasizes preventive healthcare. Preventive medicine, focusing on disease prevention, has proven more beneficial, with prevention costs being on average 10 times lower than treatment costs. Additionally, it reduces the suffering caused by illness. Today, various DNA test kits are available, ranging from lifestyle assessments to disease risk evaluations: Life: This DNA test helps you understand the best lifestyle practices for your genetic makeup, offering deeper self-insight. You can use this information for long-term health planning to ensure a healthier life. The test covers more than 74 markers. Health: This DNA test evaluates your genetic predisposition to various diseases and your response to medications. The personalized results provide a comprehensive understanding of your disease risk, enabling you to plan for long-term health and disease prevention. The test covers more than 277 markers. Legend: This DNA test identifies genetic mutations that can lead to cancer, heart disease, and inherited genetic conditions. It's ideal for those with a family history of these diseases or those planning to have children. The test covers more than 60 markers. Who Should Consider DNA Testing? Individuals concerned about their health, whether or not they have a family history of disease. People who exercise regularly and want to optimize their workouts to avoid injury or inflammation. Those aiming for targeted weight loss and improved overall health. Couples planning to have children. Anyone seeking a healthy lifestyle by aligning their daily habits with their DNA for longevity. Simple Steps for DNA Testing: Consult with an anti-aging specialist to select the most appropriate test kit. Refrain from eating or drinking for 30 minutes before sample collection. If you recently ate or drank, rinse your mouth with water (no mouthwash or brushing) and wait 30 minutes. Collect a saliva sample using the specialized kit. The saliva collection kit will look like this (as pictured). Spit into the tube until the saliva reaches the required level (about 2 ml without bubbles). Close the lid, allowing the preservative solution to mix with the saliva. Remove the funnel, secure the blue cap tightly, and invert the tube 10 times. Complete the test form and submit the sample to the lab. Await your results and schedule a consultation with a specialist for detailed guidance. “Know earlier, adjust sooner, reduce risk, avoid illness” encapsulates the value of DNA testing for proactive health management.  

See More

Tightness in the Chest: Heart Attack or Acid Reflux?

Here’s how to distinguish between symptoms of a heart condition and acid reflux (GERD). When chest pain is caused by heart issues, the pain feels tight or crushing and may radiate to the neck, jaw, shoulder, or left arm, often intensifying with physical exertion. In contrast, acid reflux causes chest pain when breathing deeply or coughing, but it doesn’t radiate to the jaw, shoulders, or arms, and usually worsens after meals. Symptoms of Heart Disease or Ischemic Heart Disease Tightness or pressure in the chest, as though being squeezed or compressed. Pain radiating to the jaw, shoulder blades, left arm, or shoulder. Pain worsens with exertion, accompanied by sweating, fainting, paleness, heart palpitations, shortness of breath, or nausea. A sensation of tightness or a lump in the throat, and sometimes pressure below the sternum (epigastric region). Symptoms of Acid Reflux (GERD) Chest pain when breathing deeply or coughing, but no pain radiates to the jaw, shoulders, or arms. Symptoms worsen after meals and when lying down. Burning sensations in the chest or throat, along with discomfort or tightness below the sternum. Sour burping, frequent belching, nausea, or a bitter taste rising to the throat and mouth. Chronic cough, sore throat, and bad breath. Difficulty swallowing, with a feeling of something obstructing the throat. Differentiating between heart disease and acid reflux can be challenging because some symptoms overlap. However, the key difference is that heart-related symptoms typically worsen with exertion and may radiate to other parts of the body, while acid reflux is more closely linked to food intake and lying down. If you suspect a heart problem, especially if you experience severe chest pain, sweating, fainting, or difficulty breathing, seek medical help immediately. Timely diagnosis and treatment could save your life, so if in doubt, see a doctor as soon as possible for proper evaluation and care.

See More

Karoshi Syndrome

Karoshi Syndrome is a condition that arises from overworking to the point of severely affecting one’s health, especially in societies where heavy workloads are common, such as in Japan. The term "Karoshi" in Japanese literally means "death from overwork." This condition occurs when a person experiences prolonged periods of high stress from working without adequate rest or proper health care, potentially leading to fatal outcomes like sudden heart attacks or strokes. The primary causes of Karoshi Syndrome stem from excessive workloads, lack of rest, accumulated stress, and an imbalance between work and personal life. Here are 8 common symptoms that may indicate someone is suffering from Karoshi Syndrome: Constant Worry About Work Even during sleep, they dream about work. They are constantly stressed about work, always thinking about how to manage tasks, solve problems, or plan better to meet deadlines. Work thoughts dominate their mind, leaving little room for anything else. Working Excessively and Continuously Without Rest They work long hours, often staying up all night, or pulling multiple all-nighters. Arriving at Work Early and Leaving Very Late They arrive before anyone else and continue working until late at night or even the next morning. There's no sense of happiness in what they do, and they have to force themselves to go to work every day because the workload never seems to end. Feeling Guilty About Taking Time Off These individuals feel so responsible for their work that even when they’re sick, they refuse to take leave, dragging their worn-out bodies to the office. Working Under High Pressure They face constant stress and endure high pressure every day, which is a significant contributor to Karoshi Syndrome. Severely Deteriorating Sleep Quality They find it difficult to sleep, feeling constantly tense and alert. When they do manage to sleep, it’s shallow and filled with nightmares. Upon waking, they may suffer from headaches and feel unrested, leading to irritability and a lack of energy throughout the day. This creates a vicious cycle that repeats night after night. Constant Fatigue Their work consumes a tremendous amount of physical and mental energy, and even on days off, they still feel exhausted, fatigued, and stressed. Especially on Sunday nights, they may experience anxiety about the upcoming Monday, not wanting to return to work. This may also indicate they are experiencing "Sunday night syndrome." Feeling Like There’s Never Enough Time to Do What They Truly Want They dedicate almost all their time to work, neglecting personal dreams, passions, and life goals. This translation ensures the description is clear and easy to understand for an English-speaking audience.    

See More

How Is Influenza in the Elderly Different from Influenza in the General Population?

Influenza, commonly known as the flu, is a contagious respiratory disease that frequently spreads during the rainy season. Common symptoms include fever, coughing, and body aches. For most people, these symptoms subside within 3-5 days without any serious consequences. However, for the elderly or those with underlying conditions like chronic obstructive pulmonary disease (COPD), asthma, heart disease, stroke, chronic kidney disease, or diabetes, the flu poses a higher risk of severe complications, sometimes requiring hospitalization. In Thailand, the highest rates of flu-related hospitalizations are seen among young children and the elderly. Why Is Influenza More Dangerous for the Elderly? Flu infections in older adults can lead to serious health complications beyond just the flu itself: 8 times higher risk of stroke compared to the general population. 10 times higher risk of heart attack compared to the general population. 23% of elderly flu patients may lose their ability to take care of themselves after recovery. 75% of diabetic patients may experience abnormal blood sugar levels during a flu infection. In fact, 4 out of 10 patients who suffer acute heart attacks due to flu infections are elderly. Flu infections can cause heart disease to worsen, lead to sudden heart attacks, and even cause fatty deposits in blood vessels to rupture, leading to dangerous blood clots. Sudden heart attacks due to flu complications are also a significant cause of death. Why Are Older Adults More Vulnerable to Flu-Related Complications? Weakened Immune System (Immunosenescence): As we age, our immune system becomes less responsive, which is why older adults have a weaker response to vaccines. This makes them more susceptible to infections, including the flu. Chronic Underlying Conditions: Elderly people often have long-term health conditions like heart disease or chronic lung disease, which can increase the severity of the flu and lead to higher mortality rates when both conditions are present. Frailty: Many elderly people are frail, which further weakens their ability to fight infections. Flu combined with frailty can lead to disability, causing a greater need for assistance in daily living. Those with multiple underlying conditions are especially vulnerable to severe flu complications and tend to respond poorly to flu vaccines. Can the Flu Be Prevented? The good news is that influenza can be prevented by getting an annual flu vaccine. Since the flu virus changes each year and new, more severe strains emerge, the vaccine is updated annually to match the circulating strains. While you can get the flu vaccine any time during the year, the best times to get vaccinated are before the rainy season (May) and before winter (October), as this is when flu outbreaks typically begin. Benefits of Flu Vaccination: 34% reduction in major cardiovascular events. 45% reduction in acute coronary syndrome. 56% reduction in cardiovascular-related deaths. Recently, high-dose flu vaccines have been developed specifically for the elderly, offering better protection against flu infections. These vaccines have been shown to significantly reduce hospitalizations from flu-related complications like pneumonia and respiratory infections. The high-dose flu vaccine has been used for over 10 years, with more than 202 million doses administered in over 35 countries. Studies show that the high-dose flu vaccine can reduce hospitalizations due to flu or pneumonia by 64.4% and reduce mortality by 48.9% in elderly patients. Because of these benefits, high-dose flu vaccines are now recommended for older adults as they provide greater protection than standard-dose vaccines. เอกสารอ้างอิง Baggett HC. et al. PLoS One. 2012;7(11): e48609 Warren-Gash C, et al. Eur respir J. 2018 Andrew MK, et al. J Am Geriatr Soc. 2021. Samson SI, et al. J Diabetes Sci Technol. 2019 Oh SJ, Lee JK, Shin OS. Aging and the Immune System: the Impact of Immunosenescence on Viral Infection, Immunity and Vaccine Immunogenicity. Immune Netw. 2019 Nov 14;19(6):e37. doi: 10.4110/in.2019.19.e37. PMID: 31921467; PMCID: PMC694317  Schanzer DL, Langley JM, Tam TW. Co-morbidities associated with influenza-attributed mortality, 1994-2000, Canada. Vaccine. Dent E, Morley JE, Cruz-Jentoft AJ, Woodhouse L, Rodríguez-Mañas L, Fried LP, et al. Physical Frailty: ICFSR International Clinical Practice Guidelines for Identification and Management. J Nutr Health Aging. 2019;23(9):771-87.2008;26(36):4697-703.                DiazGranados CA, et al. N Engl J Med. 2014;371:635-645. Lee J, et al. Vaccine. 2021 Quadrivalent Influenza Vaccine (Split Virion, Inactivated), 60 mcg HA/strain SMPC & Internal data Niklas Dyrby Johansen et al., NEJM Evid 2023; 2 (2), DOI: 10.1056/EVIDoa2200206 Charlotte Warren-Gash,et al. Lancet,2009;9:601-610 Phrommintikul A,et al. Eur Heart J.2011;32:1730-5  

See More

Flood danger Communicable diseases and health that you should be careful of

Floods not only cause damage to property. But there are also hidden dangers that threaten health and life. Since the deadly epidemic Both through the skin food eaten Electrical leakage and short circuit Dangerous currents to poisonous animals and dangerous creatures hiding in the water. Learn how to protect yourself and your family during flooding. In order to get through this crisis safely and in good health.   โรคติดต่อทางน้ำและอาหาร โรคอุจจาระร่วง สาเหตุ: เชื้อแบคทีเรียในน้ำและอาหารปนเปื้อน อาการ: ถ่ายเหลว ปวดท้อง คลื่นไส้ การป้องกัน: ดื่มน้ำต้มสุก รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ล้างมือบ่อยๆ   โรคที่มียุงเป็นพาหะ ไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย โรคไข้สมองอักเสบ   โรคผิวหนัง โรคน้ำกัดเท้า, โรคเชื้อราที่ผิวหนัง สาเหตุ: เชื้อราและแบคทีเรียในน้ำ อาการ: ผิวหนังเท้าอักเสบ คัน แตกเป็นแผล การป้องกัน: สวมรองเท้ากันน้ำ เช็ดเท้าให้แห้ง ทาครีมป้องกันเชื้อรา   โรคฉี่หนู (Leptospirosis) สาเหตุ: เชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะสัตว์ อาการ: ไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ ตัวเหลือง การป้องกัน: สวมรองเท้าบูทยาง หลีกเลี่ยงการแช่น้ำนาน ล้างมือบ่อยๆ   โรคตาแดง สาเหตุ: เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียในน้ำ อาการ: ตาแดง คัน มีขี้ตา การป้องกัน: หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำสกปรกกับตา ล้างมือก่อนสัมผัสตา   โรคไข้หวัดใหญ่ สาเหตุ: เชื้อไวรัสที่แพร่กระจายในที่แออัด อาการ: ไข้ ปวดเมื่อยตัว ไอ น้ำมูก การป้องกัน: สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงที่แออัด ล้างมือบ่อยๆ   อันตรายจากสัตว์มีพิษ งู แมงป่อง ตะขาบ อันตรายจากไฟฟ้า ไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าลัดวงจร   อันตรายจากโครงสร้างพังทลาย อาคารถล่ม ถนนทรุด   การบาดเจ็บจากสิ่งของลอยมากับน้ำ เศษไม้ เศษแก้ว   การป้องกันทั่วไป: รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ล้างมือ ล้างเท้าให้สะอาดหลังไปพื้นที่น้ำท่วม และล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร หรือสัมผัสร่างกาย สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น รองเท้าบูท ถุงมือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำท่วมขังโดยตรง ทำความสะอาดบ้านและสิ่งของหลังน้ำลด รับวัคซีนป้องกันโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก ติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากหน่วยงานสาธารณสุข

See More