Our technology

Bladder Scan Urine meter with 3D high frequency waves

Bladder Scan Volume Meter     Bladder Scan is a device that measures the amount of urine remaining after urination. Using ultrasound equipment to examine the abdominal area. Previously, measuring the amount of urine remaining in the bladder required inserting a urinary catheter directly into the urethra. It can cause irritation and disturb the privacy of the patient. But nowadays tools have been developed. This is to facilitate measurement and there is no need to insert the tube into the urethra. Makes the patient feel no pain and reduces irritation from the urinary catheter by using a Bladder Scan to see the amount of urine remaining after urinating. Measuring the amount of remaining urine. It is important in caring for patients who have urinary problems, such as enlarged prostate, cystitis, and overactive stomach. How to do it            1. Drink 500 - 1,000 CC of water from home (the amount can be reduced depending on the distance from home to the hospital).            2. Hold a small amount of urine for about 30 minutes until you feel severe pain and then urinate. By urinating into the urine measuring bottle provided.            3. A Bladder Scan was performed to measure the amount of urine remaining in the bladder.            4. See a doctor to hear the results and proceed with treatment. Ultrasound examination with Bladder Scan can help in diagnosing your symptoms such as:            1. Burning and burning urination that comes and goes, chronic.            2. Normal color urine such as cloudy urine, urine with sediment. or has blood in it To monitor and monitor stones in the urinary system.            3. Difficulty urinating, frequent urination, inability to urinate.            4. People with chronic back pain or lumbar pain    

See More

เครื่องฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี (UVB Phototherapy)

เครื่องฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี (UVB Phototherapy) การฉายแสงอาทิตย์เทียมด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเลตบี คือ อะไร? Excimer เป็นส่วนหนึ่งของแสงอาทิตย์อยู่ในรังสียูวีบีที่มีความยาวคลื่น 308 นาโนเมตร ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการรักษาโรคผิวหนังได้หลายชนิด ได้แก่ โรคด่างขาว (Vitiligo)    โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)  โรคผิวหนังอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มอาการผื่นแพ้อักเสบเรื้อรัง (Eczema, Atopic Dermatitis, EAC, Pityriasis Alba ในเด็ก), โรคผมร่วงเป็นหย่อมๆ (Alopecia Areata)          โรคสะเก็ดเงิน เป็นการอักเสบเรื้อรังของผิวหนัง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนที่เป็น โดยอาการจะเป็นปื้นนูนแดงปกคลุมด้วยสะเก็ดสีเทาเงิน มักพบบริเวณ ข้อศอก เข่า หนังศรีษะ ซึ่งการรักษาจะเริ่มตั้งแต่ทายา หากไม่ดีขึ้นต้องใช้การฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตร้าไวโอเลตบี รวมถึงโรคด่างขาว โรคผิวหนังผื่นแพ้อักเสบเรื้อรัง ก็ใช้วิธีการรักษาด้วยการฉายแสงอาทิตย์เทียมนี้ด้วย   เครื่อง Excimer 308 เหมาะกับผู้ป่วยแบบไหน?    1.เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยในกรณีที่รักษาด้วยยาแล้วไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง    2.ผู้ป่วยที่มีรอยโรคทุกบริเวณ รวมถึงบริเวณที่เข้าถึงยากและบริเวณเล็กๆ เช่น ไรผม ข้อพับ ริมฝีปาก หนังศีรษะ    3.ผู้ป่วยที่มีรอยโรคไม่เกิน 20% ทั่วทั้งร่างกาย    4. มีความปลอดภัยสูง อาการข้างเคียงน้อย สามารถใช้ในการรักษาได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่             การรักษาด้วยการฉายแสง มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?        1. ผู้ป่วยตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร        2. ผู้ป่วย SLE, HIV        3. ภาวะด่างขาวจากโรค Hyperthyroidism       4. ผู้ป่วยที่ใส่เครื่อง Pacemaker       5. ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาที่มีความไวต่อแสง       6. มีประวัติเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง   ขั้นตอนการรักษาด้วยเครื่อง Excimer 308 การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา    1. ทำความสะอาดผิวหนังในบริเวณที่จะรับการรักษาหรือทำ MED Test (Minimal Erythema Dose)    2. สำหรับผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินสามารถทา Salicylic acid ในช่วงกลางคืนก่อนวันที่เข้ารับการรักษาได้    3. แนะนำให้ทำการทดสอบแสง (MED Test) เพื่อหาระดับพลังงานที่เหมาะสมในการรักษา โดยจะทดสอบที่บริเวณท้องแขนหรือหลัง แพทย์จะอ่านผลภายใน 24 ชั่วโมงภายหลังจากการทดสอบ          **ผู้ป่วยโรคด่างขาวและศีรษะล้านเป็นหย่อมๆ สามารถทำการรักษาได้ทันทีโดยไม่ต้องทดสอบ MED Test    4. งดการทาผลิตภัณฑ์ประเภท  Oil ,  ครีมกันแดด  ก่อนเข้ารับการรักษา   ขณะได้รับการรักษา    1.ผู้ป่วยควรเปลี่ยนชุด หรือ เปิดเสื้อผ้าบริเวณที่จะทำการรักษา เพื่อให้บริเวณรอยโรคได้รับแสง    2. ขณะทำการรักษา  ควรอยู่นิ่งๆ ไม่เล่นโทรศัพท์หรือพูดคุยโทรศัพท์    3. ควรสวมใส่แว่นตาเพื่อป้องกันรังสียูวีบี ทั้งผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษา ในกรณีที่มีรอยโรครอบดวงตา ให้ผู้ป่วยหลับตาตลอดทั้งการรักษา การดูแลปฏิบัติตัวภายหลังได้รับการรักษา    1.หากเกิดอาการคัน ผู้ป่วยไม่ควรแกะเกาในบริเวณที่ได้รับการรักษา รวมถึงหลีกเลี่ยงการถูกขีดข่วนในบริเวณที่เป็นโรค    2.หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้โรคมีอาการกำเริบหรือมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ความเครียด    3. ควรรักษาสุขอนามัยของร่างกาย อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่อ่อนๆ    4. ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ    5. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยต้องมาเข้ารับการรักษานานแค่ไหน?       ในช่วงแรกผู้ป่วยต้องมาเข้ารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเว้นระยะห่างในแต่ละครั้ง ไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง เมื่ออาการของรอยโรคตอบสนองต่อการฉายแสงได้ผลดี แพทย์จะเป็นผู้ประเมิน และสามารถเว้นระยะห่างเป็น 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และหากรอยโรคหายแล้ว สามารถลดการฉายแสงให้เหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้งจนกระทั่งหยุดฉายได้ ผลการรักษา เป็นอย่างไร?       ผู้ป่วยโรคด่างขาว : ขึ้นอยู่กับบริเวณและความรุนแรงของโรค โดย  จำนวนครั้งในการรักษาที่เห็นผลประมาณ 20-25 ครั้ง       ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน : จะเห็นผลการรักษาประมาณ 15-20 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความหนาของสะเก็ดและความรุนแรงของโรคด้วย       ผู้ป่วยโรคผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง และอื่นๆ : จะเห็นผลในการรักษาประมาณ 4-8 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคด้วย การรักษาด้วยการฉายแสง มีผลข้างเคียงหรือไม่?       อาจพบอาการข้างเคียงภายหลังจากการได้รับการรักษา เช่น คัน แสบ ผิวหนังแห้ง ลอก รวมถึงผิวหนังที่ได้รับการรักษาและผิวหนังรอบบริเวณที่ทำการรักษาอาจมีสีที่คล้ำหรือเข้มขึ้นในช่วงที่ได้รับการรักษา แต่สีผิวที่เข้มขึ้นนั้นจะค่อยๆ จางลงภายหลังหยุดการรักษาด้วยการฉายแสง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม        ศูนย์ผิวหนัง โรงพยาบาลวิภาวดี ชั้น G อาคาร Tower B โทร 02-561-1111 หรือ 02-058-1111 ต่อ 1123, 1124

See More

Bone mineral density (BMD) test

Vibhavadi Hospital X-ray Department offers bone mineral density (BMD) tests daily, using HOLOGIC’s state of the art scan via dual energy X-ray absorptiometry (DXA). This procedure is quick and painless, allowing for clear imaging of all bones, especially the spine and pelvic bone. Why should you get the BMD test? BMD tests measure the amount of minerals in the bones, specifically calcium, significantly used in the prevention and treatment of osteoporosis. Osteoporosis is a condition that causes thin and weak bones. As the disease progress, bones become porous and prone to fractures. Osteoporosis can also cause the spine to collapse, making sufferers develop a stooped posture and loss of height. The prevalence rate is higher in those over 50 and postmenopausal women. Causes of osteoporosis Age Menopause Calcium deficiency Hormone therapy and long term corticosteroid use Family history of osteoporosis Diagnosis While many options are available for the diagnosis of osteoporosis, the easiest and quickest option is to conduct a BMD test. Using the latest technology, results are readily available with the BMD test. Details include: The ability to scan almost every bone in the body Fast and non-invasive Clear and precise imaging Patients are exposed to less radiation than cross-country flights

See More

Electroencephalogram (EEG)

Electroencephalogram (EEG) Physicians, in conjunction with past medical history and physical examinations, rely on electroencephalogram or EEG to diagnose, distinguish, and provide the correct treatment plans for specific types of epilepsy. A number of electrodes with wires are attached to the patient’s scalp, and will detect as well as record any changes in electrical activity by neurons in the brain. Results will be amplified and presented as a graph (on paper and screen), and then physicians can analyze and detect abnormalities.    Uses for EEG 1. Patients with suspected epilepsy, symptoms including loss of consciousness, seizures, uncontrollable jerking, headaches, vertigo, behavioral changes, and psychological symptoms with no known cause. 2. Diagnosing different types of epilepsy such as absence seizures, generalized seizures, and pseudoseizures. 3. Diagnosing conditions such as hepatic encephalopathy, Creutzfeldt-Jakob Disease (CJD) or mad cow disease, and brain tumors. 4. Using EEG as a monitoring device to provide treatment plans for patients with status epilepticus. 5. To find suitable antiepileptic drugs for patients. 6. To help plan the discontinuation of antiepileptic drugs in epilepsy patients. 7. Using video EEG monitoring to help prepare for surgery in patients with refractory epilepsy. 8. Diagnosing and planning suitable treatments for patients suffering from sleep disorders such as obstructive sleep apnea and narcolepsy, via polysomnography (sleep study). 9. To confirm brain death. 

See More

(Transcranial Magnetic Stimulation, TMS)  

Transcranial Magnetic Stimulation (TMS) Transcranial magnetic stimulation is a noninvasive procedure using electromagnetic induction through a coil, to diagnose and treat neurological disorders such as paralysis, paresis, Parkinson’s disease, neuropathy, migraine, and depression.   Stimulation through electromagnetic induction can be done in 2 ways: 1. Repetitive TMS uses high frequency stimulation applied for more than 1 cycle per second. Suitable for patients with paresis, paralysis, Parkinson’s disease, and depression. 2. Single pulse TMS uses low frequency stimulation applied less than 1 cycle per second to help inhibit activity of the brain in migraine patients. Indications for TMS: Depression, mood instability after brain trauma, sudden and chronic pain, neuropathic pain, neurological disorders such as paralysis, paresis, Parkinson’s disease, and so on. How it’s done: Physicians will use the TMS device to stimulate patient’s brain once a day for 20-30 minutes. For best results, it is advised to receive treatment for 5-10 consecutive days. During the stimulation, physicians will observe and ask for feedback throughout the session. Results The magnetic stimulation is beneficial for the neural circuits in the brain and has a direct effect on neurotransmitters like serotonin; found to be related to migraine headaches, pain, stress, muscle tension, and depression. Contraindications Those with a pacemaker, those who have metal implants in the skull such as surgical clipping following a brain aneurysm or anywhere else in the body, and those with epilepsy. Adverse effects Warm sensation at the site of stimulation as the procedure can slightly increase intracranial temperature, headaches and scalp discomfort, nausea, and dizziness. More serious adverse effects include seizures and mood disturbances in psychiatric patients. What you need to know before the procedure 1. Your physician will inform you about the indications, contraindications, and general advice regarding TMS. 2. Before the actual procedure, your physician will stimulate your peripheral nerves to help you get accustomed to the sensation, strength, and rate of the stimulation used in TMS. 3. When you feel comfortable, your physician will continuously stimulate the brain area in rounds; corresponding to specific issues such as paralysis, paresis, and the opposite hemisphere for muscle weakness. For more information please contact Vibhavadi Hospital Neuroscience Center                                                                                Tel. 0-2561-1111 ext. 1214

See More

Electromyography (EMG)

Electromyography (EMG) is an electrodiagnostic procedure used to measure the health and response of muscles and nerves. This procedure can detect dysfunction of the nerves, allowing physicians to provide the correct and accurate treatment for patients who are suffering from symptoms such as numb hands and feet, and muscle weakness. What is EMG and how does it work? EMG relies on our understanding of the electrical impulses present in motor neurons, for diagnosis purposes. Generally, there are 3 types of tests available: 1. Nerve conduction study A diagnostic procedure using weak and safe electrical impulses to stimulate different nerves in the body. It can detect abnormalities and dysfunction, which may be present in patients with diabetes neuropathy, or pinched nerve in the wrists and elbows. 2. Needle Electromyographic Study A diagnostic procedure using small needles to detect abnormalities in the muscles and nerves, resulting from pinched nerves in the neck and back area. It can also be used to detect nerve damage and neuromuscular abnormalities. 3. Evoked Potentials (Eps) A diagnostic procedure using sensory stimulation such as electricity, light, touch, and sound to stimulate activity in the brain, which signals will then travel through the nerves and allow for any abnormalities to be detected. Benefits of the aforementioned tests EMG tests are beneficial for the accurate diagnosis of neuromuscular diseases and disorders, furthermore it can be a very useful tool for treatment planning. How safe is the test? EMG tests are considered safe, in both children and adults. Patients undergoing the test may feel mild electric shocks or slight pain in procedures involving intramuscular needles. Potential risks and side effects Soreness in areas tested using needles, however the discomfort should go away in a few days. Though rare and manageable, iatrogenic pneumothorax can be a possible complication of tests involving superficial muscular needles in the chest area. Symptoms include chest tightness, pain, and shortness of breath. Inform your physician prior to scheduling a test if you: Have a history of bleeding disorders such as hemophilia, or are taking medication that can cause bleeding (for EMG tests that require needles) Have a pacemaker implanted Have skin inflammation or infection at the site of test Note: Patients who are taking Mestinon (for Myasthenia gravis) must stop taking the medication 1 day prior to testing No fasting necessary For more information please contact Rehabilitation Center, Vibhavadi Hospital Tel: 02-561-1111 ext. 1118-9        

See More

Cardiac Catheterization Lab

Cardiac catheterization done in the Cardiac Catheterization Lab is a non-sedating and minimally invasive procedure using a very thin and flexible tube, called a catheter, for the diagnosis and treatment of cardiovascular diseases. It is not considered as a surgical procedure and only uses local anesthesia at the site of insertion, therefore patients who undergo cardiac catheterization tend to recover quickly, with little to no wound. Diagnostic purposes will require patients to be admitted to the hospital for 1 night, while treatment purposes such as repairing heart defects or angioplasty with stent placement will require patients to be admitted to the hospital for 1-3 nights, for close observation. Patients who wish to undergo cardiac catheterization can inquire their physicians about details of the procedure as well as risks involved prior to making the decision.   Cardiac Catheterization Lab procedures include: 1. Coronary angiogram using dye and x-ray to diagnose and detect any abnormalities in the vessels of the heart and treatments such as stent placement, balloon angioplasty, heart valve dilation, and clot removal via suction. Coronary angiogram can treat: Coronary artery disease and blocked vessels Carotid artery disease Renal artery disease caused by high blood pressure or kidney diseases Peripheral artery disease in diabetic patients   2. Diagnosis and treatment of heart’s electrical system malfunction such as: Advanced 3D Cardiac Mapping Cardiac Radiofrequency Ablation Pacemaker implantation Implantable Cardioverter Defibrillator (ICD) insertion Cardiac Resynchronization Therapy     

See More