7 Benefits of Watermelon

7 Benefits of Watermelon Fruits that are known to be symbols of hot weather, besides coconuts, should also include watermelons. This is because watermelons are cool, sweet, juicy, and refreshing whether eaten fresh or blended. They can really quench thirst and cool you down on a hot day. However, besides helping to cool down, watermelons have many other benefits that people may not be aware of. What are they?   They are suitable for people who are trying to control their weight because they are low in sugar and calories. They help prevent the accumulation of fat in the blood vessels and control blood pressure. They contain vitamin A, which helps to nourish the eyes. They help reduce facial fat, increase moisture to the skin, and reduce inflammation and redness. They help nourish the skin and make hair strong. The amino acids in watermelons help reduce the risk of heart disease. The lycopene in watermelons helps reduce the risk of cancer.   Despite the many benefits of watermelons, some patients or individuals with certain conditions should also avoid eating watermelons. For example, people with symptoms of indigestion or poor digestion should avoid eating watermelons because the water in watermelons can dilute the digestive juices in the stomach and impair digestion. People with chronic inflammatory bowel disease, low blood pressure, gas in the stomach, frequent diarrhea, or high fever should also avoid watermelons.   Regardless of the benefits, it is important to eat watermelons in moderation. Eating too much can be harmful to the body, no matter how beneficial they may be.

See More

รู้เท่าทันต้อหินป้องกันการตาบอด

 ต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากการถูกทำลายของเส้นประสาทตา เนื่องจากมีแรงดันในลูกตาสูง ซึ่งเส้นประสาทตานี้จะเชื่อมต่อระหว่างตาไปยังสมอง ทำให้การมองเห็นค่อยๆลดลง และบอดในที่สุดแรงดันตาที่สูงมากขึ้น เกิดจากการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตามากขึ้น และมีการระบายน้ำออกจากทางเดินระบายน้ำลดลง โดยค่าปกติของความดันตาอยู่ที่ 5-21 มิลลิเมตรปรอท หากพบว่าความดันตามีค่ามากกว่า 21 มิลลิเมตรปรอท ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นต้อหินได้   การสูญเสียการมองเห็นของผู้ป่วยต้อหิน ในระยะเริ่มแรก ลานสายตาจะถูกทำลายจากด้านข้างก่อน ผู้ป่วยอาจเริ่มมีการเดินชนสิ่งของดัานข้าง ผู้ป่วยที่ไม่สังเกตจึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะการมองตรงกลางยังเห็นดีอยู่ จนระยะท้าย ลานสายตาโดนทำลายจนแคบเข้ามาเรื่อยๆ การมองเห็นภาพตรงกลางเริ่มลดลง ระยะนี้ผู้ป่วยจึงจะมาพบแพทย์ ซึ่งเป็นระยะท้ายของโรคแล้ว สิ่งที่น่ากลัวคือ การมองเห็นที่เสียไปแล้ว ไม่สามารถทำให้กลับมาดีเหมือนเดิมได้ ทำให้ตาบอดถาวร การรักษาจึงเพื่อไม่ให้ลานสายตาและการมองเห็นที่ยังดีอยู่แย่ลงไปอีก ปัจจัยเสี่ยงของต้อหิน -          เชื้อชาติ คนเชื้อชาติแอฟริกันอเมริกันจะพบต้อหินสูงกว่าคนผิวขาวถึง 6-8 เท่า ส่วนคนเชื้อชาติเอเชียจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินมุมปิดมากกว่าชนชาติอื่น -          อายุมากกว่า 40 ปี -          มีประวัติครอบครัวสายตรงเป็นต้อหิน -          ผู้ป่วยเบาหวาน ไมเกรน นอนกรน -          ตรวจพบความดันตาสูง -          เคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา -          การใช้ยาสเตียรอยด์ -          ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อาทิ สายตายาวหรือสั้นมาก กระจกตาบาง -          โดยบุคคลที่มีความเสี่ยงสมควรได้รับการตรวจตาเป็นประจำ งดการซื้อยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยมาใช้เอง เมื่อมีอาการผิดปกติทางตาควรรีบมาพบแพทย์    การวินิจฉัยต้อหิน  -          การตรวจตาด้วยเครื่องตรวจตา slit-lamp microscopy -          การตรวจวัดความดันภายในลูกตา -          การตรวจลักษณะของขั้วประสาทตา -          การตรวจลานสายตา   โรคต้อหิน  สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด ถ้าแบ่งตามลักษณะกายวิภาคของมุมตา ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ระหว่างกระจกตาและม่านตา สามารถแบ่งได้เป็นสองชนิด ด้วยกันคือ 1.ต้อหินชนิดมุมเปิด  เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการปวด เพราะความดันลูกตาจะค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อย ทำให้ผู้ป่วยเคยชินกับความดันตาที่สูงขึ้น ทำให้เส้นประสาทตาถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายที่มาพบแพทย์เนื่องจากตามัวลงแล้ว ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโรค  2.ต้อหินชนิดมุมปิด  จะมีลักษณะมุมตาแคบ ทำให้ขวางกั้นทางเดินระบายน้ำในตา เกิดความดันในลูกตาสูงขึ้น ซึ่งถ้าเกิดแบบเฉียบพลันจะมีอาการปวดมาก และมองเห็นแสงสีรุ้ง ตามัวลงเฉียบพลัน และมีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ผู้ป่วยที่เป็นต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน จะมาพบแพทย์เร็วเพราะมีอาการปวดตามาก ต้อหินชนิดนี้สามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้โดยการยิงเลเซอร์ป้องกันให้มุมตาเปิดกว้างมากขึ้น แต่ถ้าเป็นต้อหินมุมปิดชนิดเรื้อรังที่ความดันตาค่อยๆเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัว จนกว่าเป็นระยะท้ายของโรคแล้ว เหมือนกับต้อหินมุมเปิด  3.การรักษาต้อหิน เนื่องจากโรคต้อหินเส้นประสาทตาจะถูกทำลายอย่างถาวร การรักษาจึงเป็นการประคับประคองเพื่อให้ประสาทตาไม่ถูกทำลายมากขึ้นและเพื่อคงการมองเห็นที่มีอยู่ให้นานที่สุด ทั้งนี้การรักษาจะขึ้นกับชนิดและระยะของโรค ·       การรักษาด้วยยา ซึ่งยาหยอดเหล่านี้จะออกฤทธิ์ลดการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาหรือช่วยให้การไหลเวียนออกของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาดีขึ้น จึงลดความดันตาให้อยู่ในระดับเหมาะสมไม่เกิดการทำลายของเส้นประสาทตา การรักษาด้วยยาจำเป็นต้องหยอดยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง และแพทย์จะนัดติดตามอาการเป็นระยะๆ เพื่อประเมินผลการรักษา การดำเนินโรค และผลข้างเคียงจากยา ·       การใช้เลเซอร์ โดยประเภทของเลเซอร์ที่ใช้จะขึ้นกับชนิดของต้อหินและระยะของโรค -          Selective laser trabeculoplasty (SLT) เป็นการรักษาต้อหินมุมเปิด ใช้ในกรณีที่รักษาด้วยยาหยอดตาแล้วได้ผลไม่ดีนัก หรือรักษาด้วยยาหยอดตาไม่ได้ เช่น ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ หรือมีอการแพ้ยาหยอดตา และมักเลือกใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ -          Laser peripheral iridotomy (LPI) เป็นการรักษาต้อหินมุมปิด -          Laser cyclophotocoagulation มักใช้ในกรณีที่การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล เป็นการทำลายเซลล์มีหน้าที่สร้างน้ำในลูกตา ทำให้น้ำในลูกตาสร้างน้อยลง  ·       การผ่าตัด ใช้รักษาผู้ป่วยที่การรักษาด้วยยาหรือเลเซอร์ไม่สามารถควบคุมความดันตาได้ -          Trabeculectomy เป็นการผ่าตัดทำทางระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา ให้น้ำออกมานอกลูกตามากขึ้น เป็นผลให้ความดันตาลดลง -          Aqueous shunt surgery ทำในกรณีที่การผ่าตัดวิธีแรกไม่ได้ผล เป็นการทำการผ่าตัดด้วยการใส่เครื่องมือที่เป็นท่อระบายเพื่อลดความดันตา   โรคต้อหิน มีความสำคัญเพราะเป็นภัยเงียบที่ทำให้ตาบอดถาวรได้ การตระหนักถึงความสำคัญ โดยการตรวจตาสม่ำเสมอจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อตรวจพบโรคได้ในระยะแรก และรับการรักษาอย่างทันท่วงที

See More

รู้เท่าทันอาการปวดหัว

ข้อมูลโดย : นพ.พงศกร ตนายะพงศ์ อายุรแพทย์ประสาทวิทยา ศูนย์สมองและระบบประสาท รพ.วิภาวดี    ปัจจุบันวิถีการดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปมาก ชีวิตต้องเร่งรีบทำให้เกิดความเครียดมาก ขาดการออกกำลังกายและนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเรามีอาการปวดศีรษะได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามอาการปวดศีรษะบางโรคไม่ได้เกิดจากปัจจัยดังกล่าว แต่เป็นกลุ่มโรคปวดศีรษะที่ร้ายแรงซึ่งทำให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิตได้ ถ้าไม่รีบรักษา โดยทั่วไปเรามักแบ่งโรคปวดศีรษะออกเป็น 2 กลุ่ม       1. กลุ่มที่ไม่มีรอยโรคในสมอง ศีรษะ หรือ คอ (Primary Headache) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่ร้ายแรงมักปวดเป็นๆ หายๆ ช่วงหายจะหายสนิท ได้แก่ ไมเกรน , ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension – type Headache ) ,ปวดศีรษะคลัสเตอร์ (Cluster Headache) เป็นต้น    1.1 ไมเกรน (Migraine) เป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้บ่อยในคนอายุน้อยถึงวัยกลางคน มักปวดศีรษะขมับข้างใดข้างหนึ่ง ร้าวไปกระบอกตา หรือท้ายทอยได้ ปวดลักษณะตุบๆตามจังหวะชีพจรและมักปวดมากขึ้นหลังทำกิจวัตรประจำวัน มีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วยได้ ไม่ชอบแสงจ้าหรือเสียงดัง ระยะเวลาที่ปวดแต่ละครั้งประมาณ 4 ชั่วโมง ถึง 3 วัน สาเหตุ เชื่อว่ามีการขยายตัวของหลอดเลือดที่อยู่ชิดกับเยื่อหุ้มสมอง หลังจากที่ได้รับการกระตุ้น ซึ่งได้แก่  ๐ ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในผู้หญิง เช่น ช่วงใกล้ประจำเดือน ๐ อาหาร เช่น กาแฟ ช็อคโกแลต ชีส แอลกอฮอล์ ๐ การไม่สบายของร่างกายและจิตใจ เช่น นอนไม่พอ ทานอาหารไม่ตรงเวลา ๐ สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นฉุน  1.2 ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension-type Headache) เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดมักปวดมึนศีรษะเหมือนมีอะไรมารัดรอบศีรษะ บางคนร้าวลงต้น คอ บ่า สะบัก  สาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียด  1.3 ปวดศีรษะคลัสเตอร์ (Cluster Headache) พบได้บ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี มีลักษณะพิเศษ ได้แก่ ปวดศีรษะข้างเดียวบริเวณรอบ หรือ หลังเบ้าตาร้าวไปขมับเหมือนมีอะไรแหลมๆแทงเข้าตา ปวดมากจนรู้สึกกระสับกระส่าย ระยะเวลา 15 นาที – 3 ชั่วโมง ใน 1 วัน เป็นได้หลายครั้งและมักปวดเป็นเวลาเดิมของทุกวันติดต่อกันเป็นสัปดาห์ถึงเดือน พอหายปีนี้ ปีหน้าก็อาจปวดในช่วงเดือนใกล้เคียง มีอาการร่วมทาง   ระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ลืมตาลำบาก ตาบวม ตาแดง น้ำตาหรือน้ำมูกไหล ม่านตาหดเล็กลง ซึ่งเป็นข้างเดียวกับที่ปวด  สาเหตุ เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสมองส่วนที่ควบคุมเวลาของร่างกายที่ชื่อ Hypothalamus ทำงานผิดปกติ ทำให้เส้นประสาทสมองที่ 5 ซึ่งทำหน้าที่รับความรู้สึกของใบหน้าพร้อมทั้งระบบประสาทอัตโนมัติและหลอดเลือดข้างคียงเกิดการเปลี่ยนแปลง         2. กลุ่มที่มีรอยโรคในสมอง ศีรษะ หรือ คอ (Secondary Headache) เช่น เนื้องอกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หลอดเลือดสมองโป่งพอง หลอดเลือดอักเสบ เลือดออกในสมอง กระดูกคอเสื่อม ต้อหิน โพรงไซนัสอักเสบ เป็นต้น         วิธีการสังเกตว่าปวดศีรษะจากกลุ่มนี้ ได้แก่ 1. ปวดทันทีและรุนแรงมาก 2. ปวดมากแบบที่ไม่เคยปวดมาก่อนเลยในชีวิต 3. ปวดจนต้องตื่นนอนตอนกลางคืน 4. ปวดมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีช่วงหายปกติ 5. ปวดรูปแบบใหม่ซึ่งไม่เหมือนกับที่เคยปวดมาเป็นประจำ 6. มีอาการต้นคอแข็ง อาเจียนมาก มีไข้ 7. มีอาการอ่อนแรง มองเห็นภาพซ้อน ตามัว พูดไม่ชัด สับสนหรือจำอะไรไม่ได้ 8. ปวดเมื่อไอ จาม หรือ เบ่งปัสสาวะหรืออุจจาระ 9. ปวดครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี 10. ปวดสัมพันธ์กับท่าทาง 11. มีโรคประจำตัวโดยเฉพาะภูมิคุ้มกันร่างกายไม่ดี หากมีอาการดังกล่าว ที่ชวนสงสัยโรคที่น่าจะมีรอยโรคในสมองควรรีบพบแพทย์ แพทย์จะใช้วิธีการถามอาการอย่างละเอียดและตรวจร่างกาย ทางระบบประสาท หากสงสัยว่าจะมีรอยโรค จะตรวจยืนยันด้วยภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT Brain) หรือภาพแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (MRI Brain) หรือตรวจภาพหลอดเลือดสมอง (MRA) หรือว่าสงสัยเยื่อหุ้มสมองอักเสบก็ต้องเจาะหลังตรวจน้ำเลี้ยงสมองและไขสันหลัง อย่างละเอียดต่อไป   อย่างไรก็ตามหากไม่แน่ใจว่าจะเป็นโรคในกลุ่มที่ไม่มีรอยโรคก็ตาม ก็ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาการใช้ยาที่ถูกต้อง ลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงจากยา

See More

Expired And Old Medication: Can You Still Take Them?

Expired And Old Medication: Can You Still Take Them? Expired and old medication should not be overlooked as they can pose serious risks. While medicines are highly beneficial to humans, they can also be dangerous if used incorrectly or inappropriately. One common problem is the issue of deteriorated medication quality. Many people keep unused medications at home, including those received from hospitals, pharmacies, or clinics, and may use them when they fall ill. However, the risk lies in the fact that all medications have an expiration date, meaning they lose their effectiveness over time. Taking expired or degraded medication unknowingly can render the treatment ineffective, or worse, lead to severe consequences such as kidney failure, nephritis, or drug resistance.   Changes in the external appearance of medicine can indicate its deterioration, which can be easily noticed. However, changes in the internal structure of the medicine cannot be seen with the naked eye. One way to verify its effectiveness is to check the manufacture and expiration dates on the medicine label as follows:   The manufacture date is indicated by the terms "Manu. Date" or "Mfg. Date," followed by the day-month-year of production. The expiration date is indicated by the terms "Expiry Date," "Exp. Date," "Exp.," "Used before," "Expiring," or "Used by," followed by the day-month-year of expiration. In cases where only the month and year are specified, the last day of that month should be considered as the expiration date. For example, "Exp. 08/60" means the medicine expires on the last day of August 2060.   In cases where the expiration date is not specified for some medications and only the manufacturing date is provided, general criteria state that unopened liquid medications can be stored for up to 3 years from the manufacturing date. However, if liquid medications have been opened and are properly stored, they can be used for approximately 3 months. For pills, they can be stored for up to 5 years from the manufacturing date. However, if pills have been divided and put into a ziplock bag, their expiration date will be calculated from the date they were separated and will not exceed the actual expiration date indicated on the medication label. Additionally, another way to check for expired or degraded medication is to observe their physical characteristics, such as:   Capsule-shaped pills that have swelled, discolored powder inside, or clumped together. The capsule shell may have mold growing on it or may have changed color. For example, Tetracycline, whose powder has changed from yellow to brown, should be discarded immediately because it can cause kidney damage if taken. Pills that have changed color, have spots or mold growing on them, or are easily crumbled into powder. Pills that are soft and can break apart easily when lightly squeezed should also be discarded. Additionally, if the physical characteristics of the medication (color, odor, taste) change when it is stored in opened packaging from the manufacturer, it is an indication of the medication's instability and should not be used. Sugar-coated pills, which have a glossy appearance (such as multivitamins). These pills usually have a sweet or fruity smell and taste, and they may look sticky and shiny. Suspension liquid medications, such as antacids, that settle and have a powdery substance at the bottom of the container. The liquid may have changed color or consistency.   Powdered medication should not show any signs of deterioration such as discoloration, clumping, or a foul odor. If the powder looks or smells different from when you first purchased it, it may be expired.   Some general tips regarding medicine storage:   Medications should be stored in a cool, dry place away from sunlight and moisture. If the medication has been exposed to high temperatures, humidity or direct sunlight, it may have deteriorated and could be expired.   Overall, if you are unsure about the expiration date or condition of the medication, you can always consult a pharmacist. They can help you determine if the medication is still safe to use and provide guidance on proper storage and disposal.

See More

Pneumonia

Pneumonia Pneumonia is a disease that can be prevented and treated, yet it causes the deaths of more than 900,000 children worldwide. According to data from 2015, it is the infectious disease that claims the most lives of children under the age of five. Other deadly infectious diseases in this age group include malaria, meningitis, and HIV/AIDS.   Pneumonia is caused by viral and bacterial infections, with the Streptococcus pneumoniae bacterium being one of the culprits. It is also a dangerous pathogen that can cause other severe illnesses such as meningitis and sepsis. It is crucial to consult a doctor for advice on how to strengthen your immune system and protect yourself from this disease.   The symptoms of pneumonia include fever, cough, chills, chest pain, and difficulty breathing. If these symptoms persist for more than three days, and the cough becomes severe and prolonged, it is essential to seek medical attention. In severe cases, pneumonia can cause abscesses in the lung tissue, chest pain, low blood pressure, and even death.   Preventing pneumonia:   To prevent pneumonia, it is recommended that infants be breastfed during the first six months of life, drink an adequate amount of water, wash their hands frequently, and seek medical advice for additional guidance on strengthening the immune system against pneumonia.   It is also recommended that families of children become familiar with the danger signs of pneumonia and promptly seek medical attention if symptoms occur.   You may be at risk of contracting pneumonia from the pneumococcus bacterium if you have one or more of the following risk factors:   Being 65 years of age or older Having chronic diseases such as heart disease, liver disease, or kidney disease Having asthma Having diabetes Being an organ transplant recipient Being HIV-positive Having cancer Having muscle weakness or paralysis Wearing a hearing aid Having cerebrospinal fluid leakage Smoking Having chronic alcoholism   Please consult a physician for advice on how to strengthen your immune system.   Wish best wishes, Vibhavadi Hospital   Reference:   Centers for Disease Control and Prevention. Pneumococcal Disease/Transmission and Those at High Risk. 2013. Available from: http://www.cdc.gov/pneumoccol/about/risk-transmission.html [cited 6 June 2015].

See More

Eating a vegan and vegetarian diet

Eating a vegan and vegetarian diet Many people may consume vegan or vegetarian food regularly, and while this type of diet has many benefits for the body, particularly in preventing blood-related diseases, it's essential to be aware that consuming it improperly can have adverse effects on the body. Let's take a look at the recommendations from the Heart Disease Association on how to consume vegan or vegetarian food properly.   Food that includes vegetables contains fiber and many vitamins that aid in the digestive system and prevent obesity. However, it has a low fat content, protein, and iron, including vitamin B12, which is found in animal meat. If consumed improperly, vegan or vegetarian food can lack these essential nutrients. Therefore, the recommendations are as follows:   Consume sufficient protein from sources such as soybeans and yellow beans. Consume legumes, grains, and nuts that have high vitamin content. Consume vegetables that have high iron content, such as spinach and lentils, and if necessary, take iron supplement capsules and vitamin B12 supplements. Avoid foods that are high in sugar or fat.   Protein from animal meat is considered a complete protein source that contains essential amino acids that the human body cannot synthesize entirely on its own. Animal protein is highly valuable, as it not only provides a complete profile of essential amino acids, but also possesses properties that allow it to be easily digested, absorbed, and utilized by the body. In contrast, plant-based proteins and connective tissue proteins tend to have lower essential amino acid profiles, making them less valuable.   The quantity of protein in various animal products can differ. Animal meat refers to the parts of an animal that are consumed as food, including muscle meat and internal organs such as the liver, heart, and other parts that can be consumed, such as skin and bones. The chemical composition of animal meat varies depending on the species and age of the animal. For instance, muscle meat from animals contains approximately 65-80% water, 16-22% protein, 5-25% fat, and 1% carbohydrates and fiber.   Animal meat is also a rich source of various minerals, especially phosphorus and iron, which are predominantly found in the water and protein portions of the meat. Red meat, in particular, is a better source of minerals than meat that contains higher amounts of fat. When cooked, most of the minerals in meat are retained, although some may be lost due to leaching during cooking.   Animal protein is an excellent source of complete protein and essential minerals. Different animal products may have varying protein quantities, and the chemical composition of animal meat may differ depending on the species and age of the animal.   Plant-based foods such as dry beans, rice, and vegetables are very low in vitamin B12. However, fermented foods such as fermented fish sauce and soybeans contain higher amounts of vitamin B12. As a result, individuals who follow a vegan or vegetarian diet but consume soy sauce, and fermented tofu are not at risk of developing anemia due to receiving vitamin B12 from these foods, as well as from the synthesis of bacteria in the large intestine.   A deficiency in vitamin B12 can lead to anemia, nerve damage, and various neurological symptoms such as memory impairment, lack of concentration, and abnormal sensations like burning or itching.   Individuals who are at risk of vitamin B12 deficiency include those who follow a vegan or vegetarian diet without consuming meat or dairy, and people over the age of 50 who may have reduced gastric acid secretion. Currently, the recommended daily intake of vitamin B12 for individuals is not yet known, but most commonly consumed foods contain approximately 2-10 micrograms of vitamin B12.   Taking one vitamin pill per day alongside a meal can address the issue of vitamin B12 deficiency, improve absorption, and prevent such deficiency. Alternatively, taking one pill every other day can also enhance absorption. Vitamin B12 is a molecule that includes cobalt, making it a large molecule that requires intrinsic factor for absorption. Intrinsic factor is a protein that helps transport vitamin B12 to the small intestine and allows it to be absorbed into the bloodstream. Once in the bloodstream, vitamin B12 binds with transporter proteins called transcobalamins and is carried to various organs such as the liver, kidneys, heart, and brain. The body can store up to 5,000 micrograms of vitamin B12, which is the highest amount compared to any other vitamin, primarily in the liver.   Therefore, it is recommended to consume vitamin B12 supplements regularly to ensure adequate intake and prevent deficiencies.   Best wishes from Vibhavadi Hospital     Source: The Bangkok Health Data Center and the Nature Rich website

See More

Hand, Foot and Mouth Disease (HFMD)

Hand, Foot and Mouth Disease (HFMD) Hand, Foot and Mouth Disease (HFMD) is a viral infection that commonly affects infants and young children. The disease is characterized by symptoms such as fever, mouth sores, and clear blisters on the hands, feet, and body. In Thailand, HFMD is frequently caused by the Coxsackie virus A, which is usually not severe and can resolve on its own. However, if the disease is caused by Coxsackie virus B or Enterovirus 71, it can lead to more severe symptoms such as inflammation of the brain and heart muscle or paralysis. Enterovirus 71 is an example of the virus that has been found in Singapore.   HFMD is caused by a group of viruses known as Enteroviruses, which has over 100 strains. The most common strains that cause HFMD are Coxsackievirus A16 and Enterovirus 71. Infants and young children under 5 years old are at higher risk of developing the disease and experiencing more severe symptoms. However, adults can also contract the disease.   The disease can be spread through direct contact with respiratory secretions, such as mucus from the nose and throat, and fluid from the blisters. The virus can also be found in the stool of infected individuals, particularly during the first week of symptoms. The virus can be transmitted through contaminated objects or surfaces, as well as through coughing and sneezing. It is therefore important to practice good hygiene, such as washing hands regularly, to prevent the spread of the disease.   Hand, Foot, and Mouth Disease can be directly transmitted through contact with the secretions from the nose, throat, saliva, and fluid from blisters of infected individuals, as well as feces containing the virus. It can also be indirectly transmitted through contact with contaminated surfaces, toys, and food and drinks. Places where outbreaks of the disease commonly occur include child care centers and preschools, especially during the transition from rainy to cold seasons. However, the disease cannot be transmitted from humans to animals or vice versa.   It is possible for the disease to recur because the immunity developed in patients who have recovered from one strain of the virus may not be effective in preventing infection from other strains, even though they belong to the same subgroup of viruses.   Symptoms and complications of hand, foot, and mouth disease:   The initial symptoms of hand, foot, and mouth disease are similar to those of a cold (it should be emphasized that it is similar to a cold). This includes the appearance of clear blisters or warm sores on several areas in the mouth, as well as red rash or small blisters, about the size of a pencil eraser, on the palms, fingers, soles, or buttocks. The patient may also have a low-grade fever and experience fatigue and joint pain for 5-7 days before the rash and blisters appear, usually within 12-24 hours. Children may also experience discomfort in the mouth and refuse to eat once the sores develop in the mouth, tongue, cheeks, or throat, which are usually found in clusters of 5-10 sores, with the most common locations being the roof of the mouth, tongue, and the soft tissues inside the cheeks.   The mouth sores initially appear as small, red spots or bumps that later become small, grayish blisters with yellow centers and a surrounding red halo (these can be painful and make it difficult for the child to eat, as well as cause swelling and redness of the tongue, but usually disappear within 5-10 days). Clear blisters may also be found on the palms and soles, usually about 3-7 millimeters in size and will heal on their own within 7 days. Skin rashes may occur simultaneously with or after the mouth sores, which may be present in only 2-3 spots or more than 100 spots, with the hands more often affected than the feet. The rash may appear as small, red bumps ranging from 2-10 millimeters in diameter, with small gray blisters often arranged in a line along the skin and a surrounding red rash. The rash may be itchy and last for several days, but will usually resolve without treatment.   However, hand, foot, and mouth disease can cause severe complications, such as inflammation of the brain or encephalitis, brain inflammation, soft and wet muscle paralysis, or even heart muscle inflammation leading to death. The complication symptoms are not related to the number of sores or blisters found on the hands and feet. In cases where severe complications occur, there may be only a few spots or blisters in the throat or just a few blisters on the hands and feet. Therefore, parents should closely monitor their child during the first 1-2 weeks, even if the rash and sores in the mouth have disappeared. Warning signs of severe complications that parents should immediately take the child to see a doctor include:   The child has a persistent low mood, does not play, and refuses to eat or drink milk. The child complains of severe headache, which they cannot tolerate. The child has a speech disorder, alternating with a low mood, or sees strange images. The child has neck pain, stiffness, confusion, and vomiting. The child has tremors, shaking, or some numbness in their arms or hands. The child has a cough, fast breathing, looks breathless, has a pale face, and produces a lot of mucus, with or without a fever.   Moreover, hand, foot, and mouth disease may manifest in various systems, such as:   Respiratory system: symptoms similar to a cold, cough, clear runny nose, and sore throat. Skin: blisters or rashes on the skin. Nervous system: such as the brain, brain covering, or brain inflammation. Digestive system: such as diarrhea, loose stool, headache, and vomiting. Eyes: commonly found chemosis and conjunctivitis. Heart: can cause heart muscle or covering inflammation.   Treatment:   Treating the symptoms involves administering fever-reducing medication when there is a fever. The blisters on the hands and feet usually do not itch or hurt. However, the sores in the mouth can be very painful, causing young children to refuse to suckle or eat. In such cases, a spoon or a dropper may be used to feed the child milk or to administer medication gradually. It is recommended to consume cold milk, suck on small ice cubes or eat ice cream, which can alleviate the pain and provide the child with hydration and some nutrients. This is particularly important for young children.   Prevention of Hand, Foot, and Mouth Disease:   This involves maintaining good hygiene practices and receiving vaccinations to protect against the severe EV71 virus strain that causes hand, foot, and mouth disease. It is recommended to vaccinate children between the ages of 6 months and 5 years 11 months. Parents can prevent the disease and potential life-threatening complications by:   Avoiding close contact between their child and infected individuals. Maintaining personal hygiene, particularly by washing hands thoroughly before handling food for the child to consume and consuming fresh, clean, and cooked food without fruit flies. Drinking clean water is also essential. Avoiding the use of shared utensils, especially spoons, plates, bowls, glasses, and bottles. Quickly washing hands after cleaning a child's runny nose or saliva. Promptly washing and disposing of soiled diapers or clothing in a covered bin without disposing of them in the drainage system. Seeking medical attention immediately if the child exhibits symptoms of hand, foot, and mouth disease. Once diagnosed, the child must stop attending school for at least one week or until the sores have healed.   In cases of severe hand, foot, and mouth disease infections, such as Enterovirus 71, which can result in fatalities, childcare centers and kindergartens may need to implement more stringent prevention measures. These could include closing the entire school for at least two weeks, cleaning classrooms and toys, screening out sick children at the entrance, and promoting handwashing and sanitization.   Furthermore, hand, foot, and mouth disease is a notifiable disease, so any organizations or agencies that identify cases must report them using a reporting card number 506.   For parents and caregivers, it is important to maintain cleanliness and hygiene, keep nails trimmed short, frequently wash hands with soap and water after using the bathroom and before eating, use a communal spoon, and avoid sharing items like cups, straws, face towels, and handkerchiefs.   Childcare centers and kindergartens must provide handwashing stations and sanitary facilities that meet hygiene standards, regularly maintain cleanliness and hygiene of the premises and equipment, and properly handle and dispose of children's excrement to prevent the spread of the disease to other children. In case of sick children, immediate measures must be taken to prevent the transmission of the disease to others.

See More

How To Run Properly For Good Health

How To Run Properly For Good Health   1. How to run safely and avoid injury This topic may take some time to discuss as it is important. The basic principle of exercise is to warm up and cool down the body before and after running, which is necessary to stretch the muscles that are used the most, such as the calf muscles, to prevent cramps, as well as the muscles of the legs, back, and lower pelvis. The muscles of the arms and shoulders are also important. After that, start by jogging lightly. However, before hitting the track, don't forget to dress appropriately. Some people are already aware of this, but for newcomers, I recommend the following: Clothing - Choose suitable clothing according to the weather, generally lightweight, breathable, and quick-drying. Shoes - It is recommended to buy running shoes, especially those with rubber soles, and don't forget to wear socks to reduce the risk of blisters.   Steps to start exercising: Choose a soft running track, such as a grassy field, before switching to a harder surface. Stretch before and after running. It is recommended to walk fast first, then jog slowly for a while, and then gradually increase the speed to stimulate the body and get used to the increased weight-bearing that running requires. If there is any abnormality during running, such as dizziness or pain in various parts of the body, stop and take a break. It would be good to run with a friend to take care of each other in case of injury.   Running Techniques: Foot placement is crucial, and generally, those who run for health recommend landing on the balls of the feet first. Arm movement helps with balance, and the arms should swing back and forth in a loose, relaxed motion, with open hands. Breathing should be done through the nose on inhales and out through the nose or mouth on exhales. It's beneficial to practice breathing techniques such as expanding the chest on inhales and contracting the abdomen on exhales. Sometimes it may be helpful to establish a rhythm such as counting 1, 2, 3; 1, 2, 3.   2. What are some diseases that can result from running or are frequently diagnosed by doctors due to running? Typically, lower body problems are encountered, ranging from the back, hips, legs, knees, ankles, and feet. These include muscle and tendon inflammation, such as hip and leg tendonitis, calf muscle cramps, bruised and inflamed foot tissues, and injuries. Knee and ankle joint issues are also important to note.   3. The body's warning signals during exercise, particularly running, are crucial, especially for those with chronic diseases or older individuals who rely on self-awareness. Each person may experience different symptoms, including: Feeling faint and dizzy, indicating insufficient blood flow to the brain. Muscular pain or joint pain, indicating that muscles and joints are experiencing excessive impact. Feeling excessively tired during the day after exercising, indicating that the body has been pushed too hard. Being unable to speak during exercise, indicating that breathing is inadequate, or that the body is unable to cope with physical activity. Frequent illnesses, indicating that the immune system is weakened by excessive exercise.   4. Restrictions for individuals who should not engage in running as a form of exercise: There are no clear restrictions prohibiting anyone from running as a form of exercise. However, it is important to consult with a doctor beforehand to ensure that one does not overexert themselves and to be cautious in the following cases: Individuals with chronic diseases, especially high blood pressure, heart muscle ischemia, arrhythmia, kidney failure, and asthma. Individuals with obesity should start with proper shoe selection, soft terrain, and gradually increase their exercise intensity while monitoring for joint pain.   5. Medical advice on exercise tips for a healthy body: "Start now" - the most important step. "Take it slowly" - gradually increase exercise intensity. "Monitor yourself for abnormalities". "Consistency is key" - exercise at least 3 times a week. "Don't forget to hydrate" - drink water periodically. "Avoid eating before exercising" - refrain from eating for at least 3 hours before exercising to prevent indigestion. "Get sufficient rest" - for recovery and preparation for future exercise.   We hope that the above information will be useful and serve as a starting point for readers who wish to take care of their own and others' health through exercise.

See More

โปรตีน

Protein   Protein is a vital nutrient for growth. It is especially important for the development of the brain. Small bodies require protein to create various tissues such as muscles, blood, and hormones. The recommended daily protein intake is about 2.5 grams per kilogram of body weight, which is higher than other age groups. Foods that are rich in protein include various types of meat, yellow beans, and products made from beans.

See More

Salt and Blood Pressure

Salt and Blood Pressure   Reducing salt intake is an effective way to lower blood pressure. Therefore, it is recommended to limit the amount of salty foods you eat, and to consume no more than 3/4 teaspoon of salt Comparative amount of salt 1/4 teaspoon of salt equals 500 milligrams of sodium. 1/2 teaspoon of salt equals 1000 milligrams of sodium. 3/4 teaspoon of salt equals 1,500 milligrams of sodium. 1 teaspoon of salt equals 2000 milligrams of sodium.   Best wishes from Heart Center, Vibhavadi Hospital

See More