โรคงูสวัด อันตรายที่ซ่อนอยู่ วิธีป้องกัน และวัคซีนงูสวัด

โรคงูสวัดเป็นการติดเชื้อไวรัส Varicella zoster ชนิดเดียวกับที่ก่อโรคสุกใส โดยการติดเชื้อนี้เป็นครั้งแรก จะแสดงอาการของโรคสุกใส ซึ่งจะมีตุ่มน้ำใสกระจายทั่วตัว ส่วนใหญ่มักจะเป็นในวัยเด็ก เพราะโรคสุกใสแพร่ระบาดได้ง่าย เนื่องจากติดต่อกันทางลมหายใจ หรือสัมผัสตุ่มน้ำ เมื่อโรคหายแล้ว เชื้อจะยังคงอยู่ในร่างกายโดยซ่อนอยู่ที่ปมประสาท เมื่อร่างกายอ่อนแอ หรือมีภาวะภูมิถดถอยตามวัย เชื้อก็จะถูกกระตุ้นขึ้นมาก่อให้เกิดโรคงูสวัดที่มีความเสี่ยงและอันตรายต่อสุขภาพ ข้อมูลจากการศึกษาในหลายประเทศทั่วโลกพบว่า คนที่อายุ 50 ขึ้นไป มีความเสี่ยงในการเกิดโรคงูสวัดเพิ่มสูงขึ้นมาก นอกจากนี้ยังพบว่าคนวัย(อายุ 50 ปีขึ้นไป) กว่า 90% เคยติดเชื้อไวรัสสุกใสมาแล้ว นั่นหมายความว่า ผู้คนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคงูสวัด ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคปอด โรคไต รวมถึงผู้ที่เคยติดเชื้อ Covid-19 มีความเสี่ยงในการเป็นงูสวัดเพิ่มขึ้น

 

ความอันตรายของโรคงูสวัด

โรคงูสวัดนั้น นอกจากจะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและไม่สบายแล้ว ยังจะทำให้เกิด

  • ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้องูสวัดที่พบบ่อยที่สุด คือ โรคปวดเส้นประสาท (Post Herpetic Neuralgia – PHN) คือ มีอาการปวดเส้นประสาทตลอดเวลา นานหลายเดือนหรือหลายปีหลังจากผื่นหาย
  • ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังจนเกิดเป็นแผลเป็น, งูสวัดขึ้นตา (HZO), ปัญหาโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ (Cardiovascular disease)
  • ภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง แม้พบไม่บ่อยแต่รุนแรงมาก เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เนื้อหุ้มสมองตาย ใบหน้าเป็นอัมพาตครึ่งซีก

 

 

ใครมีความเสี่ยงของโรคงูสวัดบ้าง

ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี, ผู้ที่มีภาวะร่างกายภูมิคุ้มกันต่ำลง เช่น ติดเชื้อ HIV, ได้รับยากดภูมิคุ้มกันหรือยา steroid ขนาดสูงอย่างต่อเนื่อง

ผู้ที่เคยเป็นโรคงูสวัด มีโอกาสเป็นซ้ำประมาณ ร้อยละ 6.2 โดยมีปัจจัยเสี่ยง เช่น เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ อายุมากกว่า 50 ปี ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ติดเชื้อ HIV คนไข้มะเร็ง

 

การดูแลรักษาและป้องกันโรคงูสวัด

การรักษาโรคงูสวัด

ให้ยาต้านไวรัสได้เร็ว โดยเฉพาะในช่วง 72 ชม.แรกที่เกิดผื่นผิวหนัง จะช่วยย่นระยะเวลาของโรค และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้

ดูแลผิวหนังในบริเวณนั้นให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการเกาจะช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย

ในกรณีที่มีอาการรุนแรง อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

การป้องกันโรคงูสวัด

การจัดการความเครียด การรักษาสุขอนามัยจะช่วยลดโอกาสในการกระตุ้นขึ้นมาของเชื้อไวรัสได้ และหลีกเลี่ยงสัมผัสใกล้ชิดกับผู้มีอาการของโรคงูสวัดสามารถลดความเสี่ยงของการติดต่อได้

หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการของโรคงูสวัด

วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด ถือเป็นวิธีป้องกันโรคงูสวัดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

รู้จักวัคซีนโรคงูสวัด

ในปัจจุบันมีวัคซีนโรคงูสวัดอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนแรง(ZVL) และ วัคซีน Protein Subunit ร่วมกับสารเสริมฤทธิ์ (Recombinant Zoster Vaccine - RZV) ซึ่งไม่ใช่วัคซีนเชื้อเป็น

ผลศึกษาทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าทั้งสองวัคซีนมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของโรคงูสวัดและโรคปวดเส้นประสาทได้ แต่วัคซีนชนิดที่ไม่ใช่เชื้อเป็น (Protein Subunit with adjuvant system)  แสดงให้เห็นประสิทธิภาพที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับวัคซีนเชื้อเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอายุที่มากขึ้น วัคซีนทั้งสองชนิดมีความปลอดภัยที่ดี โดยผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปจะไม่รุนแรงและเป็นชั่วคราว

 

ข้อบ่งชี้ของวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด

วัคซีนถือเป็นวิธีป้องกันโรคงูสวัดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย แนะนำให้ฉีดวัคซีนโรคงูสวัดสำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เพราะกลุ่มอายุนี้มีความเสี่ยงสูง และเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่มีโรคประจำตัวหรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งหากเป็นวัคซีนงูสวัดชนิดที่ไม่ใช่เชื้อเป็น สามารถฉีดให้ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรค หรือยากดภูมิได้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่เคยเป็นโรคงูสวัดมาก่อนเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดซ้ำ ซึ่งพบได้ราว 6 -10%

 

รู้จักวัคซีนโรคงูสวัดวัคซีนชนิด Recombinant Zoster Vaccine – RZV

1.เพื่อป้องกันโรคงูสวัด และภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับโรคงูสวัด

  • ในผู้ใหญ่ อายุ 50 ปีขึ้นไป (ให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นแขน 2 โด๊ส ห่างกัน 2-6 เดือน)
  • และผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปี ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคงูสวัดมากกว่าปกติ (ให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นแขน 2 โด๊ส ห่างกัน 1-2 เดือน)

 

2.ประสิทธิภาพของวัคซีนงูสวัด

  • ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคงูสวัด 97% และประสิทธิภาพในการป้องกันโรคปวดเส้นประสาท (PHN) 91.2% ในผู้ใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไป
  • ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคงูสวัด 89% เมื่อติดตามยาวนาน 10 ปี

 

3.กรณีที่คนไข้เคยเป็นโรคงูสวัดมาก่อน

  • สามารถรับวัคซีนงูสวัดได้ โดยให้ 2 โด๊ส และเว้นห่างหลังจากหายจากโรคงูสวัด อย่างน้อย 6 เดือน

 

4.กรณีที่คนไข้เคยได้รับวัคซีนงูสวัดชนิดเชื้อเป็นมาก่อน

  • สามารถรับวัคซีนงูสวัดได้ โดยให้ 2 โด๊ส และเว้นห่างหลังจากวัคซีนเดิม อย่างน้อย 2 เดือน

 

5.การให้วัคซีนงูสวัดร่วมกับวัคซีนตัวอื่น สามารถให้ได้ในวันเดียวกัน แต่คนละตำแหน่ง เช่น แขนคนละข้าง

  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่
  • วัคซีนปอดอักเสบ
  • วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

 

การรู้จักโรคงูสวัดเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและรับมือกับโรคนี้ เพื่อปกป้องสุขภาพของตัวเราและคนที่เรารักให้ห่างไกลจากโรคงูสวัด


Related Articles